>เราคิดอะไร


ความขยัน คือ สมบัติของผู้เจริญ


ช่วงตีสี่เช้ามืดของทุกวัน เสียงไก่ขันดังเอ้กอีเอ้กประสานเสียงเป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติ บอกเวลาให้ผู้คน ตื่นขึ้นมาเริ่มต้นชีวิต ในวันใหม่กันอีกครั้ง

เสียงรองเท้าผ้าใบสองคู่ดังปุบปับไปตามถนนกลางหมู่บ้าน สุนัขวิ่งจากบ้านออกมาที่รั้วริมทาง ส่งเสียงเห่าหอน ดังระงม

เพราะทางโรงเรียน จะจัดการแข่งขันกีฬาในต้นเดือนหน้า และเป็นเจ้าภาพเปิดสนามที่มีนักกีฬา จากกลุ่ม โรงเรียน ในเขตทุกหมู่บ้านของตำบล เจ้าจุกก็ได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาทั้งวิ่ง ๑๐๐ เมตร และวิ่ง ๔ คูณ ๑๐๐ เมตร และยังเป็นนักกีฬาฟุตบอล ของโรงเรียน การวิ่งออกกำลังตอนเช้ามืดจึงเป็นเรื่องต้องฝึกซ้อม เจ้าจุกชวนพ่อให้ออกไปวิ่งด้วยเพราะกลัวผีและกลัวสุนัขที่ออกมาเห่าริมถนน

มีแสงไฟจากบางบ้านคงมีคนตื่นมาก่อไฟนึ่งข้าวกันแล้ว แต่อีกหลายบ้านยังคงปิดไฟมืด เจ้าจุก รู้สึกว่า ในช่วงเช้ามืดนี้ อากาศเย็นสบายมีความสุขสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงตอนเช้ามืดวันก่อนๆ ที่เคยนอนหลับไหลทิ้งเวลาไปเปล่าตั้งหลายชั่วโมง หากตื่นขึ้นมาแต่เช้าๆ ทุกวันคง จะทำงานช่วยพ่อแม่ ให้แล้วเสร็จได้ตั้งอีกหลายอย่าง

เจ้าจุกนึกถึงครูสุรศักดิ์ที่เคยนำเอาพืชผักไปฝากชาวบ้านขายให้แล้วแบ่งกำไรส่วนหนึ่งเป็นค่าตอบแทน จนมีชาวบ้านคนหนึ่งพูดว่า "ที่จริงหนะ ชาวบ้านน่าจะปลูกผัก เอามาขาย ให้คุณครู แต่คุณครูกลับเป็น ผู้ปลูกผัก เอามาขายให้ชาวบ้านชาวสวนเอง" แต่ก่อนเจ้าจุก ยังคิดไม่ออก มันหมายความว่าอย่างไรกัน แต่เมื่อได้ตื่นออกมาวิ่งในตอนเช้ามืดจึงคิดได้ว่า เพราะครูสุรศักดิ์ขยันกว่าชาวบ้านนั่นเอง แม้จะมีอาชีพครู แต่ก็ยังเจียดเวลา ทำสวนปลูกผัก จนมีผลผลิต มีเหลือกิน เอาไปขายได้เงิน เพิ่มอีกทาง ครูคงจะตื่นแต่เช้า จึงมีเวลาไปทำงานสวนเสริมได้อีกงาน

ถนนลูกรังตัดจากหมู่บ้านออกไปสู่ถนนใหญ่ยาวสองกิโลเมตร เจ้าจุกกับพ่อวิ่งออกกำลังจนถึงศาลา พักผู้โดยสาร ริมถนนปากทางเข้าหมู่บ้านจึงแวะนั่งพักเหนื่อย ยืนโยกแขนสะบัดขา ทำลีลาตามแบบ นักวิ่งทั่วไป ก่อนจะวิ่งวกกลับอีกเที่ยว

"พ่อครับวันหยุดเมื่อวานนี้ ไอ้แก่นกับเพื่อนสามคนมันเอาหนังสติ๊กพร้อมลูกหินพากันเข้าป่าไปล่ากะปอม (กิ่งก่าพื้นบ้านที่มี ๓ ชนิด มีกะปอมดงลำตัวใหญ่เท่าตัวตุ๊กแกที่คอออกสีเขียวชอบอยู่ตามลำต้นไม้ใหญ่ กะปอมแดงตัวเล็ก เท่าหัวแม่มือ มีสีเหลืองชอบอยู่ตามพุ่มไม้ และกะปอม ปีกตัวเล็ก เท่ากับ กะปอมแดง ชอบไต่ขึ้นไปถึงยอดต้นไม้สูงแล้วกางหนังตรงสีข้างออก คล้ายปีกร่อนจากที่สูง ไปยังต้นไม้อีกต้น) ตอนขากลับ ไปเห็นไก่ของชาวบ้าน ที่ออกไปหาคุ้ยเขี่ย หาอาหาร ตามชายป่า เจ้าแก่นเอาหนังสติ๊ก ยิงไก่ตัวหนึ่ง โดนหัวของมันอย่างจังจนไก่ตัวนั้นชักกระตุกตาย ไอ้แก่นเลยหาใบตอง หุ้มไก่ แล้วอุ้มกลับไป ต้มที่บ้าน พอแม่ของมันรู้เรื่องเข้า เลยเฆี่ยนตีโทษที่ริเป็นนักขโมยให้หลาบจำจนขาเป็นรอย หากว่าผม ไปเป็นนักขโมย อย่างไอ้แก่นแล้ว พ่อจะลงโทษผมอย่างไร"

เจ้าจุกนึกสงสัยเพราะไม่เคยถูกพ่อแม่เฆี่ยน มีแต่บอกสอนว่ากล่าว ตักเตือนให้แก้ไขปรับปรุง และขาดไม่ได้คือ ยกเอาเรื่องบุญ เรื่องบาปเอามาเสริมเป็นทุกครั้ง

"พ่อคิดว่าลูกคงจะไม่โง่พอที่จะไปทำเลวถึงขนาดนั้นได้หรอก" เจ้าจุกยิ้มที่พ่ออ่านใจของตนออก เพราะในความรู้สึกจริง เรื่องที่จะไปอยากได้ของคนอื่น เอามาไว้เป็นของตน ด้วยวิธีขโมยมานั้น แม้เป็นเพียง ความนึกคิดก็ยังไม่มี

"ที่จริงเรื่องการฆ่าสัตว์หรือขโมย พ่อเคยบอกสอนชี้ถึงผลที่เป็นบาปกรรมที่จะคอยตามมาสนองอยู่หลายครั้ง วันนี้มีอีกเรื่อง ที่จะเล่าให้ฟัง

"ที่นา ๕๐ ไร่ทุกปีลุงสีจะให้ครอบครัวชาวบ้าน ที่ไม่มีนา ให้ทำนาโดยสัญญากันว่า หากได้ข้าว เจ้าของที่นา เอาหนึ่งส่วน ผู้ทำนา จะเอาสองส่วน แค่ได้ข้าวหนึ่งในสามส่วน จากนา ๕๐ ไร่ ลุงสีก็พอมีข้าว เก็บเอาไว้กินได้ ตลอดปี แกไม่ทำนาเองเพราะขี้เกียจ นอนตื่นสาย แต่ขยันอยู่เรื่องหนึ่ง คือลักเล็กขโมยน้อย ชอบขโมยสัตว์เลี้ยง ของชาวบ้าน มาเป็นอาหาร เลี้ยงครอบครัวอยู่เสมอ หลายครั้งลุงสีแบกหน้าไม้ ไปแอบยิงไก่ชาวบ้าน ที่ออกมาคุ้ยเขี่ย หาอาหาร ตามชายป่า บางครั้งตอนหัวค่ำ ลุงสีจะหิ้วแห พร้อมถุงปลวก แล้วย่องออกไปที่บ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน แม้บ่อปลาจะอยู่ไม่ห่างจากเถียงนา ที่มีเจ้าของมานอนเฝ้า อยู่แค่ร้อยเมตร ก็ไม่นึกกลัว เพราะลุงสี แกจะเลือกเวลา ในช่วงเจ้าของบ่อปลา กำลังตั้งวงกินข้าวมื้อเย็น เพราะพวกสุนัข มันจะไม่สนใจ ในสิ่งอื่นใด นอกจากจะจ้องคอยเศษกระดูก ที่เจ้านายมันโยนทิ้งมาให้

"มองไปเห็นแสงตะเกียงวับๆ แวมๆ อยู่บนเถียงนา ลุงสีไม่สนใจรีบเอาปลวกที่เตรียมมาหว่านลงไปในน้ำ สักพักหนึ่ง กะว่าปลาหลายตัว กินอาหารรวมกันแล้ว ลุงสีรีบหว่าน ลงไปทันที แหเพลา (แหที่รั้งลูกแห เป็นถุงรอบตีนแห เมื่อหว่านลงไปแล้วชักขึ้นมา ปลาก็จะติดถุงแห หรือเพลาขึ้นมา) ได้ปลาหลายกิโล

"ลุงสีแกมีลูกชายหนึ่งคนที่ขี้เกียจไม่ต่างไปจากพ่อ ไม่ยอมสนใจหนังสือก็เลยอ่านไม่ออกเขียนหนังสือไม่เป็น มาจนเติบใหญ่ ลูกลุงสีหลงไปเสพกัญชายาเสพติด แล้วต่อมาลุงสีและภรรยาก็ล้มป่วยตายจากไป ทิ้งที่นา ๕๐ ไร่พร้อมบ้านเก่าๆ หลังเล็กๆ เอาไว้ให้ ลูกลุงสี ไม่คิดทำงานอะไร แต่ต้องการเงินไปซื้อกัญชา จึงไปกู้เงินชาวบ้าน ไม่ถึงสองปีที่นา ๕๐ ไร่ก็ถูกยึดเหลือแต่ที่ปลูกบ้าน ๓๐ ตารางเมตรเท่านั้น จากวันนั้น ที่เขายึดที่นาไป จนถึงวันนี้ นานถึง ๒๕ ปี สภาพบ้านของลูกลุงสียังคงทรุดโทรมเช่นเดิม ลูกลุงสีเดินผ่าน บ้านญาติที่อยู่ใกล้ พวกญาติจะเอาข้าวสารใส่ถุงแบ่งปันให้อยู่เสมอ แต่ทุกครั้ง ลูกลุงสี ก็จะปฏิเสธ ไม่ยอมเอา เพราะที่บ้านไม่มีครัวไฟ จะหุงอาหาร ชีวิตประจำวัน ของลูกลุงสี คือไปจกข้าววัด (ขอข้าวก้นบาตร เช้าเพล) ไว้กินอยู่ทุกวันๆ

"เพราะลุงสีแกเป็นคนตื่นสาย ขี้เกียจทำงาน และชอบลักขโมยอยู่เป็นนิจ วิบากกรรมจึงส่งผล ให้อดอยากจน และตกทอดไปถึงลูกอย่างน่าสงสาร"

เจ้าจุกตั้งใจแน่วแน่ว่า ต่อไปจะตื่นนอนแต่เช้า ช่วยพ่อแม่ทำการงาน เพื่ออนาคตจะได้เติบใหญ่ ไปเป็นผู้มีปัญญา อันมีคุณค่าต่อสังคม

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖-