ไม่มีคำว่าสายในการทำความดี


ผมยังจำได้ไม่ลืม เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ชั้น ป.๒ วันนั้นใกล้จะเที่ยงวันผมมีอาการหวิวๆ เป็นลม ฟุบลง เพราะไม่ได้กินข้าว ก่อนมาโรงเรียน เมื่อคืนนั้น พ่อผมออกไปกินเหล้า กับพวกชาวบ้าน จนเช้า ก็ยังไม่กลับมา ข้าวสารก็หมด เงินก็ไม่มีสักบาท หลายครั้ง ที่ผมเคยอดข้าวเช้า มาเรียนหนังสือ ก็พอทนได้ แต่วันที่ผมเป็นลม รู้สึกอายเพื่อนๆ มาก กลัวเขาจะว่าเป็นคนอ่อนแอ เหมือนพวกผู้หญิง

ส่วนแม่นั้นผมได้เคยได้เห็นหน้าเลย รู้แต่เพียงว่าชื่อนิด ถึงวันนี้ผมยังไม่รู้ว่า แม่ยังคง มีชีวิต อยู่หรือเปล่า พ่อเคยบอกว่า แม่มาอยู่กับพ่อ ได้ไม่ถึงปี แม่ก็ทิ้งผมไว้กับย่า แล้วหนีจากไป เพราะทนนิสัยของพ่อไม่ไหวที่วันๆ ก็เอาแต่คบเพื่อน ชวนกันไปกินเหล้า ไม่คิดทำการ ทำงานอะไร

อายุผมย่างเข้าปีที่สิบเรียนอยู่ชั้น ป.๔ วันหนึ่งหลังจากผมเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน พ่อไม่อยู่ ผมไปถามเพื่อนบ้าน จึงรู้ว่าเมื่อตอนช่วงบ่าย พ่อออกไปกินเหล้าที่บ้านลุงเชื่อง มีสุนัขขี้เรื้อน ตัวหนึ่ง ถูกรถยนต์ชนตายอยู่ข้างถนน พวกนักเลงเหล้า จึงชำแหละ ปิ้งแกล้มเหล้ากัน ผมรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาดี คนในกลุ่มที่พ่อชอบไปกินเหล้าด้วยนั้น จะมีกันอยู่ห้าหกคน แต่ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ที่ลุงเชื่องอายุตั้งหกสิบกว่า หัวหงอกขาวโพลน ส่วนพ่อของผม ตอนนั้น คงจะสามสิบกว่าๆ พร้อมพวกหนุ่มวัยรุ่น อายุไม่ถึงยี่สิบปี สองสามคน และบ้าน ของแต่ละคน ก็อยู่ห่างกันสุดเหนือ สุดใต้ของหมู่บ้าน แต่ก็มุ่งมาคบกัน ตั้งวงกินเหล้า เป็นเพื่อนกัน มีความนึกคิดไปในแนวเดียวกัน

"อาหารมื้อค่ำเราจะกินอะไร" เป็นเรื่องที่ต้องคิดในวันนั้น แล้วคำพูดของเพื่อนนักเรียนก็แว่วมา ให้คิดอีกครั้ง "ลุงมีแกเอาไก่ยี่สิบกว่าตัว ที่เลี้ยงอยู่ที่บ้าน ออกไปปล่อยไว้ที่เถียงนาริมป่า เพราะไก่ในหมู่บ้านติดโรคระบาด เริ่มตายกันมาก โรคไก่ตายห่านั้น พอถึงฤดูแล้ง ก็จะระบาด มาทุกปี ลุงมีแกจะออกไปนอนเฝ้า แต่ในตอนกลางคืนเท่านั้น"

ผมนึกถึงอาหารที่ได้นำมาทำกับข้าวในแต่ละมื้อ ส่วนมากก็มีปูปลา กบเขียด กะปอม หนูท้องขาว ตั๊กแตน จิ้งหรีด แมงกุ๊ดจี่ นานๆ ถึงจะได้กินเป็ดไก่ เนื้อวัวควายสักครั้ง หากได้กิน ต้มไก่คงจะอร่อยแท้ ผมรู้สึกอยากกินไก่ต้มขึ้นมาตงิดๆ

แล้วผมก็ตัดสินใจเดินเข้าป่าทะลุออกมาที่เถียงนาของลุงมี ผมปีนข้ามรั้วไม้ไผ่ ที่นำมาปิด เป็นราว กั้นรอบบริเวณเถียงนา และโรงฟาง ที่เก็บข้าว ให้วัวควายกิน ในฤดูฝน ไก่หลายตัว วิ่งหนีเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ มองเห็นแม่ไก่กำลังหมอบกกไข่ อยู่ในชะลอม ที่มีฟางรองอยู่ ผมรีบเอามือ จับคอแม่ไก่ออกมาจากรังทันที แม่ไก่ดิ้นผลึบผลับๆ ผมรีบจับขามันรวบ แล้วฟาดหัวแม่ไก่ กับเสาไม้ของโรงฟาง เสียงดังเปาะ แม่ไก่ชักกระตุก มีเลือดไหล ออกมาทางปากและจมูก แล้วมันก็แน่นิ่งไปกับมือ

ทันใดนั้นผมมองไปเห็นลุงมี กำลังขี่มอเตอร์ไซค์ไต่คันนาตรงมาพอดี ให้ตายสิ ผมตกใจสุดขีด รีบอุ้มไก่กระโดด ข้ามรั้วไม้ไผ่ เพื่อจะวิ่งเข้าป่า แต่โชคไม่เข้าข้าง ผมกระโดดผิดจังหวะ ข้อเท้าเลยแพลง เจ็บปวดไม่สามารถวิ่งหนีไปได้ ผมจึงถูกจับไปข่มขู่ และว่ากล่าวตักเตือน กันยกใหญ่

ผมจึงถูกเพื่อนๆ ประณามว่า "ไอ้ขี้ขโมย" จะไปเดินเที่ยวเล่นที่ไหนๆ ชาวบ้านต่างจ้องมอง กลัวว่าผมจะไปแอบขโมยของ ของเขา รู้สึกว่าสังคมในวงกว้าง เริ่มปิดกั้นผม ผมจึงมีเพื่อน อยู่แค่สองสามคน ที่เห็นใจคอยให้กำลังใจกัน เพราะพวกเพื่อนๆ ผมเขาก็มีฐานะ ที่ยากจน เหมือนกัน มีพ่อแม่ที่ติดเหล้าเจ้าชู้ ติดการพนัน มีปัญหาในครอบครัว ที่ไม่แตกต่างกัน

ผมจบป.๖ ออกจากโรงเรียนมา ไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตอย่างไร ความรู้สึกผมไม่ต่างกับลอยคว้าง อยู่กลางทะเล มีอะไรพอได้เกาะได้ รีบคว้า เอามาทันที แต่ในสภาพของคนกำลังไร้ที่พึ่งพิงนั้น เหล้าบุหรี่การพนัน กลายเป็นที่พึ่งยามยาก ผมกินเหล้าสูบบุหรี่ และมั่วสุม อยู่ในแวดวง การพนัน คอยรับใช้ นักเล่นออกไปซื้อข้าวบุหรี่ และเครื่องดื่มชูกำลัง ให้อยู่หลายปี จนพลอยติด โดยไม่รู้ตัว เหล้าบุหรี่การพนัน มันยึดอาณาจักรใจของผม เอาไว้หมดแล้ว เรื่องที่จะให้ผม เกิดปัญญา ไปคิดทำงานขุดดิน ถางหญ้า หางานสุจริต เพื่อก่อร่าง สร้างตัวนั้น มันได้ถูกลบ ออกไปจาก ความนึกคิดเสียแล้ว ผมไม่คิดถึงเรื่องของอนาคต เพราะผมเข้าใจว่า อนาคต ของคน คือ ต้องไปสู่จุดที่ต้อง มีอาหารการกิน จนเหลือเฟือ มีที่ดินอีกมากหลาย มีเงินทอง อีกมากมายนั่นแหละ คืออนาคตของคน

เมื่อไม่คิดถึงอนาคต จึงยึดอาชีพขี้ขโมยฉกชิงวิ่งราว งัดแงะและจี้ปล้นตามลำดับ เพื่อหาเลี้ยง ปากท้อง ได้อิ่มไปวันๆ ผมถูกจับเข้าคุก หลายครั้ง ก็ยังไม่เข็ดหลาบ เพราะชีวิตไร้เป้าหมาย เพียงอยู่ไปวันๆ เข้าคุกมาในงวดนี้ ผมได้อ่านหนังสือธรรมะ ในห้องสมุดบ่อยๆ จึงเกิดปัญญา รู้เข้าใจกรรมนั้นมีจริง เข้าใจคำว่าอนาคตใหม่ ไม่ใช่สมบัติทรัพย์สินเงินทอง อนาคตคือ การทำกรรมดี กรรมชั่วนั้นต่างหาก คนที่เกิดมาพิกลพิการตามกรรม แม้เขาจะอยู่ในตระกูล ที่ร่ำรวย มหาศาลเพียงใด เงินทองมากมีนั้น ก็มาแปรเปลี่ยน คนที่พิกลพิการ ให้มีอาการ ครบสามสิบสองนั้น ไม่ได้เลย

ผมได้ฟังเพื่อนนักโทษรุ่นเก่าที่อยู่ในคุกมานาน เขาเล่าว่าพัศดีคนหนึ่งชอบชกต่อยตีนักโทษ ที่หมดทางที่จะต่อสู้ อยู่เป็นประจำ จนติดเป็นนิสัย หากวันใดไม่ได้ต่อยนักโทษ จะนอน แทบไม่หลับ แล้วพอเขาแต่งงาน ภรรยาเขาคลอดลูกออกมา คนแล้วคนเล่า ก็เป็นคน ไม่สมประกอบ หูหนวกเป็นใบ้พิกลพิการ ไปเสียกันทุกคน

และพัศดีอีกคนหนึ่ง เมื่อกินเหล้าเมามาทีไร ก็ชอบมาพานหาเรื่องแล้วลงมือตบตีนักโทษ ด้วยความเมามัน พอเขาเกษียณอายุออกไป เขาก็ติดเหล้า เป็นนักเลงเหล้า และมักจะถูก เพื่อนๆ ที่กินเหล้าด้วยกัน ชกต่อยอยู่เป็นประจำ แล้ววันหนึ่งพัศดีคนนั้น ก็ถูกพวก นักเลงเหล้า ชกต่อยทุบตี นอนตายกับกองขี้หมา ริมถนนเป็นที่น่าสมเพชยิ่งนัก

ต่อไปนี้เมื่อผมได้พ้นโทษออกไป ผมจะพัฒนาตนไปในทางที่ดี ผมจะเริ่มสะสมกรรมดี เพราะผมได้สร้าง กรรมชั่วมามาก เกินพอแล้ว...

 

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗-