บ้านป่า นาดอย - จำลอง ศรีเมือง -


พอขึ้นเดือนเมษายนอากาศร้อนอบอ้าว ไปที่ไหนได้ยินแต่คนบ่น อยู่ในกรุงก็ร้อน อยู่บ้านนอกก็ร้อน ธรรมชาติช่างแจกความร้อน ให้เท่าเทียมกันดีแท้ ที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลก อะไรเลย เคยร้อนมากๆ อย่างนี้มาไม่รู้กี่ปีแล้ว

ตอนเด็กๆ คืนไหนอากาศร้อนมาก ก่อนนอนผมจะเอาน้ำราดบนพื้นกระดานจนชุ่ม แล้วนอนทับไปเลย ไม่ต้องปูเสื่อ เย็น หลับสบายจนถึงเช้า
สมัยนี้ผู้คนเปราะบาง ไม่ทนต่อสภาพอากาศ ถูกประคบประหงมในห้องปรับอากาศ เสียจนชิน เมื่อออกมาข้างนอกก็อึดอัดขัดเคือง
เดือนมีนาคมเราใช้ไฟฟ้าเปลืองกว่าปีก่อนๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน ถ้าไฟฟ้าเกิดไม่พอขึ้นมา คนกรุงคงแย่แน่ๆ หลายต่อหลายบ้าน หลายที่ทำงาน อาศัยเครื่องปรับอากาศทั้งนั้น
ที่บ้านป่า เราช่วยกันเร่งให้ฤดูร้อนผ่านไปเร็วๆ ให้ฝนมาไวๆ คนมือบอนจะได้หยุด เผาป่า สัตว์ป่าจะได้รอด จากการถูกไฟคลอก ทางราชการได้รณรงค์ต่อต้านการเผาป่าก่อน หน้านี้ ก็ยังไม่ดีขึ้น เช่นเดียวกับที่ช่วยกันตีฆ้องร้องป่าว ลดอุบัติเหตุการจราจรที่จะตายกัน มากๆ ในช่วงสงกรานต์ คงเหลวอีกตามเคย เป็นคนไทยซะอย่าง ทำอะไรตามใจคือไทยแท้
สมาชิก เราคิดอะไร บางท่านคงเหมือนผม เมื่อเห็นป้าย "เมาไม่ขับ" สังคมไทยต้องการเพียงแค่นั้นเองหรือ เมาไปเถิดขออย่างเดียวเวลาเมาอย่าขับรถก็แล้วกัน ทั้งๆ ที่ศีลข้อ ๕ ห้ามไว้ชัดๆ ว่าอย่าดื่มของมึนเมา
เมื่อกลางเดือนมีนาคมโรงเรียนผู้นำมีโอกาสต้อนรับสมาชิกมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว (ท่านวุฒิสมาชิก โสภณ สุภาพงษ์ เป็นประธานมูลนิธิ) พ่อแม่ผู้ปกครองและหนูๆ เข้าค่ายทำกิจกรรมร่วมกัน น่ารักดีไม่มีใครผิดศีลทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ทั้งตอนอยู่ที่บ้าน และตอนเข้าค่าย ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กอย่างแท้จริง
เด็กมีลักษณะเปิดเผย คิดอะไรก็พูดตามนั้น พูดอะไรให้ฟังขำๆ อยู่เสมอๆ ขณะที่ ผมเดินไปต้อนรับหน้าห้องประชุม เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งจูงลูกสาววัยห้าหกขวบ เดินยิ้มมาแต่ไกล
คุณแม่เอ่ยกับลูก "หนูไหว้คุณตาสิ รู้ไหมคุณตากำลังจะเล่นหนัง" หนูน้อยยกมือ ไหว้อย่างนอบน้อม ทำตาลุกโพลง "คุณตาคะ คุณตาจะเล่นหนังจริงๆ หรือคะ คุณตาต้อง เล่นให้ดีนะ อย่าให้ผิดหวัง" พูดยังกับมีใครบอกบท
ผู้ที่ไปพบกับพวกเราที่โรงเรียนผู้นำ ส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่ นานๆ จะมีกลุ่มเด็กๆ ไปสักครั้ง ถัดจากการพบกับเด็กๆ ของมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว เราได้ต้อนรับเด็กชาวเขา ซึ่งเป็นเด็กโตๆ กำลังเรียนชั้นมัธยมบ้าง เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยบ้าง มีหลายเผ่าคือ ม้ง เย้า อีก้อ มูเซอ ลีซอ ละว้า และกะเหรี่ยง
เด็กๆ ชาวเขากลุ่มนั้น มีความคิดความอ่านผิดแผกแตกต่างจากเด็กชาวเรา ซึ่งเด็กชาวเขา คิดถึงคนอื่น คิดถึงสังคมประเทศชาติมากกว่าตัวเอง รักความเป็นไทย รักถิ่นกำเนิด มีความประหยัด ขยัน อดทน ถ้ากระทรวงศึกษาธิการ สนับสนุน ให้มีโอกาสเรียนมากๆ ในอนาคตเราจะได้คนดีมีประสิทธิภาพ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ผมมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ ดินแดนมะขามหวานก่อนที่มะขาม จะหมดรุ่น ถือโอกาสซื้อไปขาย ที่ร้านอาหารมังสวิรัติ (ราคาถูกมาก กิโลกรัมละ ๒๕ บาท แทนที่จะราคา ห้าสิบหกสิบบาท) แม่ค้าเพชรบูรณ์ยืนยันหนักแน่นว่า มะขามหวาน แต่ละถุง น้ำหนัก ไม่มีขาดแน่ มีแต่เกิน
"หนูไม่โกงหรอกค่ะ ชาตินี้หนูก็หน้าตาแย่อยู่แล้ว ถ้าโกง ชาติหน้าจะยิ่งขี้เหร่กว่านี้อีก" แม่ค้าซึ่งเป็นคนบ้านนอก มีสัมมาทิฐิ เชื่อมั่นว่ามีชาติที่แล้ว มีชาติหน้า ทุกคนเป็นผลมา จากกรรม ผิดจากคนกรุงแม้จะเรียนสูงๆ มีตำแหน่งใหญ่โต ก็ยังเชื่ออยู่อย่างเดิม ว่าตายแล้วสูญ หลายคนไม่เกรงกลัวต่อบาป กอบโกยโกงกินให้ได้มากที่สุด คิดเอาเองว่า เมื่อตายแล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องรับผลกรรมอะไร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งผมไปแวะกินอาหารกลางวันอยู่นั้น เจ้าของร้านข้างเคียงพอรู้เข้าก็ดีใจ รีบไปพบ ตะโกนบอก ๒ ชีวิตที่เดินตามต้อยๆ
"บิ๊กกับบูบู้เร้ว รีบไปหาคุณตาคุณยายนะลูก วันนี้โชคดีแล้วที่ได้พบ คุณตาคุณยายใจดีเลี้ยงพวกเราเป็นพันๆ"
บิ๊กรูปร่างใหญ่โตกว่า ทั้งบิ๊กและบูบู้เป็นสุนัขจรจัด โชคดีมีแม่ค้าอุปการะ ตัวอ้วน สะอาด น่ารัก พูดรู้เรื่อง
แม่ค้าออกความเห็น "ถ้าทางราชการช่วยสักหน่อย หาที่ให้ใช้ พวกหนูจะช่วยกันเลี้ยง สุนัขจรจัด หลายตัวถูกทิ้งๆ ขว้างๆ อดๆ อยากๆ น่าสงสาร
มีคนบอกผมว่า ได้อ่านพบในหนังสือพิมพ์ ไต้หวันออกกฎหมายห้ามกินเนื้อสุนัข เนื้อแมว ใครฝ่าฝืน จะถูกลงโทษ ถ้าจริงจะได้เป็นตัวอย่างให้ประเทศไทยออกกฎหมายบ้าง
ทราบมานานแล้วว่า ชาวจีนไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ กินเนื้อสุนัข โดยเฉพาะสุนัขสีดำ ต่อมามีการแสดงออก ซึ่งความเมตตาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชาวจีนไต้หวัน เป็นนักมังสวิรัติ จำนวนมากมาย ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ก็เริ่มฟื้นฟูการกินเจ ดังที่ผมได้เล่าใน เราคิดอะไร ฉบับก่อนมาบ้างแล้ว ขอเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม
ได้มีการจดทะเบียน ก่อตั้ง สมาคมเจ ที่นครซัวเถาเรียบร้อยแล้ว เชิญผมเป็นประธานเปิดสมาคม และแนะนำอาหารเจ เจแพร่หลาย จากจีน ไปประเทศต่างๆ ทั่วโลก แล้ว อยู่มาวันหนึ่งการกินเจในประเทศจีนซบเซาลง ต้องเชิญคนไทย ไปเปิดสมาคมเจ ก็แปลกดี
คณะกรรมการ สมาคมเจ กำหนดวันเปิดได้แล้ว ผมไปไม่ได้ ก็อุตส่าห์เลื่อนวันตามใจผม พอใกล้วันกำหนดนัด ผมติดอีก ต้องออกเดินทาง จากเมืองไทย ช่วงบ่าย แทนที่จะเป็นเช้า ตามกำหนดเดิม เมื่อเครื่องบินไปถึงกวางโจว ต่อเครื่องบิน ไปซัวเถาไม่ทัน สมาคมเจ จัดรถตู้ขนาดใหญ่ เดินทางรอนแรมไป ๖ ชั่วโมง ถึงที่พักเอาตอนตีสี่ ตอนเช้ารีบตื่น เข้าร่วมประชุม สมาคมวิจัยวัฒนธรรม แล้วเดินทางต่อ เพื่อทำพิธีเปิดสมาคมเจ ผมพูดกับสมาชิกสมาคม และนักธุรกิจที่ไปร่วมพิธี แสดงความขอบคุณ ประเทศจีน ที่เป็นต้นกำเนิด ของการกินเจทั่วโลก ผมพูดโน้มน้าว ให้เห็นประโยชน์ ของอาหารเจ ชาวจีนจะได้หันกลับมากินเจมากขึ้น
เรื่องประโยชน์ต่อร่างกาย มีผู้สนใจมากที่สุด ผมย้ำว่า คนกินเจมีโอกาสเป็นโรคภัยไข้เจ็บ น้อยกว่าคนกินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องกลัวเป็นโรคไข้หวัดนก เป็นโรควัวบ้า และโรคร้ายแรงอื่นๆ อันเนื่องมาจากเนื้อสัตว์
ไม่น่าเชื่อ ซัวเถาเป็นเมืองใหญ่มาก แต่มีร้านอาหารเจเพียง ๒ ร้านเท่านั้นเอง คาดกันว่า หลังจากเปิดสมาคมเจแล้ว จะมีเพิ่มขึ้นอีกหลายร้าน รสอาหารของจีน และไทยนิยม ต่างกัน เขานิยมรสจืดๆ มันๆ ส่วนเราชอบรสจัดและเผ็ดๆ ถ้านิยมรสเหมือนกัน เราสามารถ ส่งแม่ครัวมังสวิรัติ ฝีมือเอก ไปช่วยสอนเขาได้ ไปไหนมาไหน เมื่อมีใครทักตามธรรมเนียมว่า "สบายดีหรือ" ผมต้องตอบ ตามความจริงว่า "ไม่สบายครับ" เจ็บที่หัวเข่า เป็นเพราะเดินมาก วิ่งมาก ปีนเขามากเกินไป ผมรับการรักษามาแล้ว ๘ หมอ กำลังรักษาหมอที่ ๙ หมอที่พบล้วนแล้วแต่ เก่ง ทั้งนั้น รักษาคนไข้ หายมาเยอะแยะ อาจเป็นเพราะผมยังไม่พ้นวิบาก จึงยังไม่เจอหมอที่ตรงกับโรค ก็เป็นได้ ยังคงเจ็บเข่า ต่อเนื่องมา ๖ เดือนเศษ
คุณจงเป็นนักธุรกิจอายุเท่าผมพอดี ปวดหลังมา ๒ ปีเต็ม ปวดที่หลังแล้วลามลงไปถึงขาทั้ง ๒ ข้าง ปวดรุนแรงเท่ากับปวดฟันเอาทีเดียว ตระเวนหา หมอรักษาหมดเงินเป็นแสนๆ ก็ไม่หาย เห็นเครื่องนวดด้วยไฟฟ้ามีขายที่ไหนซื้อมาหมด จนวางกองเต็มบ้าน มีทั้งเก้าอี้ เตียงนอน เก้าอี้หกคะเมน ตีลังกา ลองทุกเครื่อง อาการปวดไม่บรรเทาเบาบาง ลงเลย
วันหนึ่งคุณจง เดินทางไปฮ่องกง ทดลอง ใช้เตียงนวดที่ทำจากเกาหลีใต้ ปวดน้อยลงมาก พยามขอซื้อเท่าไร ก็ไม่ขาย ตัดสินใจลงทุนซื้อ ตั๋วเครื่องบิน ไปที่โรงงานเกาหลีใต้ ซื้อมาเครื่องหนึ่ง ใช้เครื่องซ้ำๆ กันหลายครั้ง หายเป็นปรกติ นึกถึงคนอื่นที่รับทุกข์ทรมาน จากการเจ็บปวด จึงสั่งซื้อทีเดียว ๘ เครื่อง เปิดสถานบำบัด ที่ถนนพัฒนาการ ซอย ๓๐
คุณจง ทำแบบ บุญนิยม ไม่เก็บเงินจากคนไข้ แม้ตัวเองจะต้องลงทุนซื้อเครื่อง จ้างนักกายภาพบำบัด ระดับปริญญาไปให้คำแนะนำถึง ๓ คน ติดเครื่องปรับอากาศ มีน้ำ และเครื่องดื่มบริการฟรี
เครื่องนวด จะทำงานพร้อมๆ กัน สามอย่างเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง คือ นวดกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ท้ายทอยลงไปถึงก้นกบ พร้อมกับให้ความร้อนด้วย ในขณะเดียวกัน ก็มีแสง อินฟราเรด และแผ่นกระตุ้นด้วยไฟฟ้าให้การบำบัดอวัยวะส่วนที่มีอาการปวด
บ้านสวนไผ่สุขภาพ ตรงข้ามปากซอยราชครู ถนนพหลโยธิน เป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ ที่พยายามจะให้มีอะไรหลายอย่างครบวงจร มีเครื่องนวดดังกล่าว ให้บริการ ๓ เตียง ไม่มีวันหยุด ตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น.
สถานบำบัดของคุณจง ที่ถนนพัฒนาการ ๓๐ ชื่อ บริษัทเอเซียสไปนัล ให้บริการฟรี ทุกวันตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. หยุดวันอาทิตย์ สมาชิก "เราคิดอะไร" ท่านใด มีอาการปวดเมื่อย เชิญไปใช้บริการได้ ทั้งสองแห่ง
จู่ๆ บุญก็ลอยไปหา คุณศิริลักษณ์ และผมในเวลาเกือบจะพร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องการติดตั้ง เครื่องนวดด้วยไฟฟ้า ที่บ้านสวนไผ่สุขภาพ และเรื่องการตั้ง โรงพยาบาลเพื่อการกุศล
คุณหมอผู้ใหญ่ ท่านหนึ่ง อายุแก่กว่าผม เกษียณอายุราชการแล้ว เชี่ยวชาญการรักษา โรคมะเร็ง หมออีกท่านหนึ่งยังหนุ่มอยู่ เชี่ยวชาญ การรักษาโรคไต ทั้งสองท่าน ชวนผม ให้ไปช่วยมูลนิธิแห่งหนึ่ง ย่านฝั่งธน ที่ช่วยรักษาคนยากจน
เมื่อคนไข้แห่กันไป รักษามากๆ เข้า ผู้ร่วมงานบางคนก็ตาโต มองเห็นผลประโยชน์ ถ้าเปลี่ยนการรักษา แบบบุญนิยม เป็นทุนนิยม ในที่สุด ก็บีบให้หมอบุญนิยม ลาออก ก่อนที่จะถูกออกนั้น หมอได้ดำเนินการรักษาคนยากจน อย่างเป็นหลักเป็นฐาน มั่นคงแล้ว
หลายปีมาแล้ว สหรัฐอเมริกายังไม่ร่ำรวย การรักษาพยาบาลส่วนใหญ่ ประชาชน ต้องดิ้นรนกันเอง มีคนหัวใสหาเงิน ตั้งเป็นกองทุน รักษาคนยากจน โดยขอเงินจาก บริษัท ผลิตขนมปัง ขอรับบริจาคจากการขายขนมปัง ทุกถุง ถุงละ ๕ เซนต์ (๒ บาท) ปรากฏว่า ได้เงินไปรักษาพยาบาล อย่างเป็นกอบเป็นกำ ต่อมาเมื่อสหรัฐรวยขึ้น เกิดความละอาย ยอมใช้เงินงบประมาณ มาทดแทนเงิน ที่ได้จากส่วนแบ่ง จากขนมปัง
เมื่อสองปีกว่าๆ เจ้าของบริษัทที่ขายข้าวหอมมะลิลือชื่อแห่งหนึ่งป่วยหนัก เป็นโรคไต เฉียบพลัน ได้เรียกลูกๆ มาสั่งเสียเรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมตัว เพราะอย่างไรเสีย คงไม่รอดแน่ อายุก็มากโรคก็หนัก โชคดีหมอหนุ่มบุญนิยมรักษา จนพ้นขีดอันตราย แข็งแรง สามารถไปท่องเที่ยว ไปทำบุญที่ไหนๆ ได้ เพียงแต่ต้องล้างไต ตามระยะเวลา เท่านั้นเอง
ในประเทศไทย ปีหนึ่งๆ คนที่จำเป็นต้องล้างไตมีจำนวน ๒๕,๐๐๐ คน แต่คนที่มีเงินล้างไต มีเพียง ๓,๐๐๐ คน อีก ๒๒,๐๐๐ คน ต้องตายไป อาเสี่ยท่านนั้น หารือกับหมอว่า ทำอย่างไร จะช่วยได้บ้าง หมอบุญนิยมเสนอการหาเงิน แบบเดียวกับอเมริกา คนไทยกินข้าว ไม่ได้กินขนมปัง ข้าวหอมมะลิ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถุงละ ๑๔๐ ถึง ๑๖๐ บาท นั้น บริจาค ถุงละ ๕ บาท ก็ช่วยได้แล้ว จึงเกิดโครงการ "ซื้อข้าวได้บุญ" ขึ้น
เหมือนๆ กับที่ผมเคยเขียนใน เราคิดอะไร เมื่อตอน "รวมน้ำใจชาวไทย สู่ชาวอิรัก" บริษัทบางจาก หักเงินน้ำมัน ที่ขายบริจาค ลิตรละ ๒ สตางค์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม สมทบทุนได้ตั้ง ๓ ล้าน บาทเศษ
การล้างไตตามโรงพยาบาลต่างๆ คนไข้จะต้องเสียเงินครั้งละ ๓,๕๐๐ บาท ขึ้นไป เมื่อถึงคราวล้างแล้วไม่ล้าง ต้องตาย ภายใน ๒ สัปดาห คนยากจนจริงๆ จะเอาเงินที่ไหนมาเสีย
ค่าใช้จ่ายจริงๆ ครั้งละ ๗๐๐ บาทเท่านั้นเอง (ราคาบุญนิยม)
เมื่อหมอบุญนิยม ถูกออก คนไข้ก็เคว้งไม่รู้จะไปรักษาที่ไหน ผมกับคุณศิริลักษณ์จึงตัดสินใจให้หมอใช้อาคารมูลนิธิที่ถนนรามคำแหง ๓๙ (ซอยวัดเทพลีลา) ใช้รักษาโดยไม่เก็บค่าเช่า
เราสองคน เสนอให้คุณหมอ ตั้งชื่อโรงพยาบาล ตามแต่จะเห็นเหมาะสม หมอขอใช้ชื่อมูลนิธิจำลอง ศรีเมือง ที่มีอยู่แล้ว โดยจะใช้ชื่อเต็มๆ ว่า "โรงพยาบาลโรคไตและมะเร็ง มูลนิธิจำลอง ศรีเมือง" เป็นโรงพยาบาลเพื่อการกุศล (บุญนิยม)
ที่แล้วมา มักจะเกิดกรณีบังเอิญ ให้ผมได้มีโอกาสทำตามวัดสันติอโศก โดยพระไม่ต้องสั่ง เช่นกสิกรรมไร้สารพิษ ที่ผมทำมา ๑๑ ปี ตรงกับบุญญาวุธ หมายเลข ๓ ของสันติอโศก ขณะนี้กำลังรีบเร่งตั้งโรงพยาบาล บุญนิยม (ตรงกับบุญญาวุธหมายเลข ๔) ซึ่ง สถานที่มีแล้ว หมอมีแล้ว คนไข้มีแล้ว ขาดอย่างอื่นอีกไม่มาก
สันติอโศกกำลังสร้าง โรงพยาบาล ใช้ชื่อว่า "ศูนย์พลาภิบาล" อยู่ที่พุทธสถานปฐมอโศก ขณะนี้ตอกเสาเข็ม เรียบร้อยแล้ว
ปัจจัยเวลา ก็เป็นเรื่องบังเอิญอีก ศาลได้พิพากษาคดีสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เรื่องอาคารมูลนิธิ ซึ่งพรรคพลังธรรม ร้องต่อศาลว่า การที่มูลนิธิได้เข้าไปใช้อาคารนั้น ทำให้พรรคเสียหาย มูลนิธิต้องชดใช้เงิน พรรคฟ้อง ๓ ครั้ง มูลนิธิฯ ตั้งใจว่า ถ้าฟ้องครั้งที่ ๔ มูลนิธิฯ จะต้อง ฟ้องกลับบ้าง มิฉะนั้น ก็ไม่หยุดฟ้องเสียที พรรคฟ้องครั้งที่ ๔ จริงๆ มูลนิธิฯ จึงต้องฟ้องกลับ
จากการที่พรรคพลังธรรม ฟ้อง ๔ ครั้ง และมูลนิธิฯ ฟ้องกลับ ๑ ครั้ง ศาลได้ตัดสิน ครั้งสุดท้าย เมื่อกลางเดือน มีนาคมนี้เอง ให้มูลนิธิ จ่ายเงินชดเชยพรรค ๕ หมื่นบาท และให้พรรคจ่ายเงินชดใช้มูลนิธิ ๗ แสน ๘ หมื่นบาท หักกลบลบกันแล้ว พรรคพลังธรรม ต้องจ่ายให้มูลนิธิ ๗ แสน ๓ หมื่นบาท
การตั้งโรงพยาบาลโรคไตและมะเร็ง เพื่อการกุศล จึงใช้อาคารมูลนิธิจำลอง ศรีเมือง ได้อย่างเต็มที่ทั้ง ๔ ชั้นทั้งปัจจุบันและในอนาคต
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ชุมนุมประท้วงการแปรรูปมาเดือนเศษแล้ว วิทยุหลายรายการ ได้จัดให้ผู้ฟังแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ปรากฏว่า สนใจกันมาก มีคนบอกผมว่า รายการของคุณอัญชลี ไพรีรักษ์ ๙๖.๕ เมกะเฮิรตซ์ มีคนถามผู้จัดรายการว่า ผมหายไปไหน ทำไมไม่ออกมา
ผมเรียนให้คุณอัญชลีทราบ นอกรายการว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ส่งนักบริหาร ไปรับการฝึกอบรม ที่โรงเรียนผู้นำเป็นรุ่นๆ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่า นักบริหารระดับ ๙ จะขึ้นระดับ ๑๐ ต้องผ่านโรงเรียนผู้นำ ผมจึงมีความสนิทสนม กับนักบริหาร ระดับกลางๆ
เมื่อประมาณ ๔ ปีมาแล้ว ขณะที่พนักงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต กำลังมีความคิดต่อต้าน การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ของรัฐบาลชุดที่แล้ว พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ถามผมว่า จะต่อสู้อย่างไร
เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ต้องบอก คือต้องต่อสู้เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง และ หมู่คณะ หากจะต่อสู้ด้วยพลังของ กฟผ.เองก็ได้ แต่ต้องเหนื่อย และเอาชนะยาก ถ้าจะไม่เหนื่อยมาก และมีโอกาสชนะ ก็ต้องเอาประชาชนเข้าช่วย
แต่วิธีที่ ๒ นั้น พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จะต้องเสียสละ สลัดสิทธิพิเศษทั้งหมด ที่ตัวเองได้รับอยู่ สลัดออกให้สิ้น ประชาชนจึงจะเอาด้วย เพราะเป็นการยืนยันว่า ชุมนุมประท้วงเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
จนถึงขณะนี้ ผมก็ยังมีความเห็นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งหมดก็มาขมวดที่ "ความเสียสละ" ซึ่งโรงเรียนผู้นำ ย้ำอยู่เสมอว่า ต้องสะอาด ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ เสียสละ กตัญญู .
-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๕ เมษายน ๒๕๔๗-