เรื่องสั้น - สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ -
กฎนักเลง


๑.

" สมพงษ์ เทียนบูชา" เฒ่าจำศีลวัย ๗๗ ปี นั่งคิดถึงความหลังที่ชานเรือนไทย ยกพื้นสูง กันน้ำท่วม เลขที่๙๑/๑ หมู่ ๑ ต.บ้านหลวง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา กลางชาน เรือนมีตั่งขนาดย่อม ตั้งไว้รับแขก บนตั่งเพียบ-พร้อมด้วยขันเงินขนาดใหญ่ บรรจุน้ำฝน แช่น้ำแข็งยูนิค โรยดอกมะลิ หอมชื่นใจ และขันเงินขนาดจิ๋ว ๒ ใบ สำหรับตักน้ำดื่ม รอบบริเวณเรือนแวดล้อม ด้วยทุ่งนาข้าว เขียวขจี ครั้งที่ ๒ ของปี นกนานาชนิด บินว่อนให้เห็น อยู่ไกลๆใต้ปุยเมฆสีเทาจางๆ บ้าง เดินหาปูหอย กินตามประสา ลมรำเพยสัมผัสผิวกายเย็นสบาย แลลิบๆ เห็นหลังคาโบสถ์ และยอดเมรุวัด "มารวิชัย" พลันเฒ่าจำศีลลุกไปหยิบกรอบรูปบูชาในห้องพระซึ่งอยู่ใกล้ๆ แล้วมานั่งพิจารณา ณ ที่เดิม ในกรอบรูปบูชานั้น เป็นภาพศพของชายวัย ๒๗ ปี สภาพถูก ถอดเสื้อ นุ่งกางเกง ขาสั้น ถูกผูกติดกับต้นตะโกใหญ่ ข้างตัวด้านซ้ายมีปืนยาววางอยู่ ใต้รูปเขียนว่า "ดอกรัก พ.ศ. ๒๔๔๕ ปีขาล..." ภาพในอดีตย้อนเข้ามา ในความทรงจำทันที และเล่าได้เป็นฉากๆ
"ดอกรัก" อายุ ๑๖ ปี เป็นเณรเรียนหนังสือสายนักธรรมอยู่ที่วัดมารวิชัยได้ ๓ ปี วันหนึ่ง ชายฉกรรจ์ ๓ คน ไล่ต้อนควาย ๗ ตัวผ่านวัดไป
"ไอ้เปี๊ยก! ต้อนควายเร็วๆ หน่อยสิ เดี๋ยวค่ำจะมองไม่เห็นทาง ดีนะที่ไอ้กำนันปืนโหด มันเข้าเมือง ถ้าเป็นวันอื่น ยืดยาดอย่างนี้ จะพากันตายโหงหมด" คนหนึ่งตะโกนไล่หลัง น้ำเสียงเชิง ออกคำสั่ง
"โยม โยม หยุดก่อน ไปปล้นควายจากหมู่บ้านไหนมาล่ะ กระหืดกระหอบเชียว รู้ไหม ทำอย่างนี้ มันเป็นบาปนะ ไม่เกรงใจพระเกรงใจวัดเลย" เณรดอกรักเตือนสติ
"มันเรื่องของฆราวาส พระไม่เกี่ยวนะครับ พ่อแม่ ลูกเมียผมอดอยาก พระมาอด มาอยาก กับพวกผมไหม ไม่ต้องมาสั่งสอนผมหรอก หน้าที่ใครหน้าที่มัน บำรุงศาสนาให้ดีก่อนเถอะ" หัวหน้าโจรโต้ตอบไม่ลดละ
"มีคนมาเป็นกระจก ให้มองเห็นตัวเองได้ชัดเจนก็นับว่าโชคดี ไฉนจึงไปโกรธกระจก และคิดหนีกระจกเล่า เป็นอย่างนี้ ความผิดพลาดและความบกพร่องจะหมดไปได้หรือ ไม่ต้องมีมากก็เป็นสุขได้ ไม่ต้องได้มากก็เป็นสุขได้ สุขมันอยู่ที่ใจ ใจเราสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่เศร้าหมอง ก็เพียงพอกับชีวิตแล้ว" เทศน์นอกธรรมาสน์ต่อ
"คนเราเกิดมา ได้รับความยุติธรรมไม่เท่ากัน พรหมลิขิตผมเป็นเช่นนี้ เมื่อผมจน ก็ต้องแย่ง อาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ คนเรา จะรู้ว่าใครดีไม่ดี มันอยู่ที่เงิน ไม่ใช่ธรรมะ"
"โยมคิดอย่างนั้น มันไม่ถูกต้องนะ เมื่อเกิดเรื่องอะไรๆ ในชีวิต อย่าคิดว่าเป็นเรื่อง คนอื่นทำให้ อย่าคิดว่า เป็นโชคชะตาราศี อย่าคิดว่าดวงดีไม่ดี อย่าคิดว่าอะไรๆ ทำให้เป็น แต่จงคิด ให้ถูกต้องว่า ฉันนี่แหละเป็นผู้ทำสิ่งนั้นทั้งสิ้น คนขี้เกียจทำกิน จะหาศิลปะ ที่ไหนได้ คนไม่มีศิลปะ จะหาเงินจากที่ไหนได้ คนไม่มีเงินจะมีมิตรได้อย่างไร ที่เห็นๆ อยู่มันไม่ใช่มิตรนะ"
"พระกับฆราวาสอยู่ร่วมสังคมเดียวกันไม่ได้หรอก เหมือนแมวกับหมา ย่อมเป็นศัตรูกัน ตามธรรมชาติ ยิ่งท่านกับผมอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เรื่องทางโลกยังอ่อนกว่าผมนัก จะมาสอนผมได้อย่างไร ก่อนผมจะมาปล้นควายครั้งแรกนี้ ผมลักขโมยควายมาแล้วนับสิบครั้ง มันเป็นเรื่อง ของลูกผู้ชาย มันเป็นเรื่องของนักเลง ไม่จำเป็นจริงๆ ผมไม่ฆ่า ใครนะ วันนี้ดวง มันซวย เจ้าของควายมันสู้ก็เลยยิงไปสองนัด จมกองเลือดเลย" พูดด้วยความหดหู่ในเหตุการณ์
"เกิดมาเป็นคนทั้งที ยังยึดหลักอะไรไม่ได้ ปล่อยตัวปล่อยใจตามกระแสโลกเกินไป ปล่อยวันเวลา ให้ล่วงเลย ด้วยการหาความสุขเทียมไปวันๆ หรือจมปลักอยู่กับความคิด ความเห็นของตัว อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ยอมรับรู้รับฟังอะไรทั้งสิ้น ก็ดูเหมือนว่า จะเสียที เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขา บุคคลเช่นนี้ ท่านเรียกว่า เป็นคนหลักลอยในโลก"
"หยุดนะ! ไม่ต้องมาสั่งสอนผมได้ไหม ท่านพูดให้น้อยที่สุดนั่นแหละ จะแก้ไขความยุ่งยาก ได้เร็วที่สุด มิฉะนั้นท่านจะเป็นศพอีกคน การพูดเป็นสมบัติของคนทุกคน แต่ความฉลาด สุขุม เป็นของคนน้อยคน ท่านกับผมไม่สามารถวัดความดีกับความชั่วกันได้หรอก ชีวิตคือ การเบียดเสียด เพื่อแก่งแย่งซึ่งกันและกัน ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็กเสมอ ชีวิตของมนุษย์ มีทั้งสุขและทุกข์เรื่อยไป ตามจังหวะของช่วงชีวิต จะพ้นได้ก็ต่อเมื่อตายเท่านั้นเอง"
"คนมาวัด ก็มาศึกษาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต รู้แล้วเข้าใจแล้ว เอาไปใช้ในชีวิต ประจำวัน สิ่งทั้งหลาย ก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ คนจะเป็นคนเลวก็ไม่ใช่เพราะชาติสกุล เป็นผู้ประเสริฐ ก็ไม่ใช่ เพราะชาติสกุล แต่คนจะเป็นคนดี ก็เพราะการกระทำดี การมองกันในแง่ดี เป็นการสร้างสรรค์ สังคมให้น่าอยู่ ตรงกันข้ามการมองกัน ในแง่ร้าย เป็นการทำลายสังคม ทำลายหมู่คณะ โดยไม่รู้ตัว แล้วทำไมเราจะต้องมามองคนอื่น ในแง่ร้ายกันด้วย ควาย ๗ ตัว นี้อาตมาขอ บิณฑบาตนะ หรือขอไถ่ถอนในราคาไม่แพงนัก เพื่อคืนลูกเจ้าของควายไป..."
เณรดอกรัก พูดไม่ขาดคำ หัวหน้าโจรประทับปืนยาวที่ไหล่ ยิงขาซ้ายเณรดอกรัก ๑ นัด
"เปรี้ยง!"
"โอ๊ย!"
"นี่คือการสั่งสอน ที่ไม่เอาถึงตาย เพราะยังเห็นแก่ผ้าเหลือง ไอ้เปี๊ยก! ไอ้ปี๊ด! รีบไล่ต้อนควายเร็ว!"

๒.

๓ เดือนผ่านไป เหลือไว้แต่ความทรงจำ แผลกระสุนปืนยาวที่ขาซ้ายของอดีตเณรดอกรัก หายสนิท แต่แผลใจ มิได้หายแม้แต่น้อย
"ดอกรัก" เข้าใจสภาพสังคมเกษตรกรรมท้องถิ่นเป็นอย่างดี กับพฤติกรรมการลักขโมย หรือ ปล้นควาย เพื่อการผลิตแบบยังชีพ คือวิถีชีวิตการแสดงออกของนักเลง อันเป็นการเฉลี่ยรายได้ ในชุมชน ซึ่งกันและกัน เป็นอาชญากรรมที่ชาวบ้านยอมรับกันได้ เพราะไม่มีการทำร้าย เจ้าของควาย ถึงตาย แต่ดอกรักหวนระลึกถึงพฤติกรรม ของโจร วัยฉกรรจ์ ๓ คน เพียงปล้นควาย ครั้งแรก มันยิงเจ้าของควายถึงตาย และยิงพระ ด้วยพฤติกรรมนี้ เกินกว่า จะให้อภัยได้
ดอกรักเชื่อว่า คนดีต้องมีเขี้ยว-เล็บป้องกันตัว นอกเหนือจากอุดมคติประจำใจ มุ่งบำราบ คนพาล อภิบาลคนดี ไมตรีทั่วหน้า พัฒนามวลชน นำตนถึงธรรม ถ้าคนดีทำตัว เหมือนต้นตาลเดี่ยว ถูกลมพัดก็หักโค่น เพราะอยู่โดดเดี่ยว ไม่มีพวก ไม่มีเพื่อน คอยช่วย ต้านลมฉันใด คนที่ไม่เอาญาติเอาพวก ก็มักจะถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย ว้าเหว่ และสุดท้าย ก็หมดลม ตามลำพัง เพราะไม่มีใครสนใจจะมาแยแสดูแลช่วยเหลือด้วย ฉันนั้น ดอกรัก จึงหาเพื่อนสนิท ๔-๕ คน ตามล่าฆ่าโจรวัยฉกรรจ์ ๓ คน ตลอดทั้งนักเลง รับซื้อขาย ไถ่ถอนควาย ตายตกไปตามกัน จนชื่อเสียงขจรไกล ชาวบ้านแถวลุ่มน้ำ เจ้าพระยาตอนกลาง ต่างชื่นชมกัน และแบ่งปันข้าวปลาอาหาร ให้เสมอมา คราใด ที่เกิดเรื่องทำนองนี้ ในที่อื่นๆ ดอกรักก็อาสา ไปบำราบคนพาล อภิบาล คนดี จนมีคดี ติดตัวถึง ๑๒ คดี ทางการ จากส่วนกลาง ประกาศจับเป็น หรือจับตาย "เสือดอกรัก" และพวกไปทั่ว วันหนึ่ง เสือดอกรัก และพวก อยู่ในวงล้อมของตำรวจ
"ไอ้เสือดอกรัก มอบตัวเสียดีๆ โทษหนักจะเป็นเบา ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกัน" ตำรวจใหญ่ ตะโกนเสียงดัง
"คนเราจะรู้ว่าใครดีไม่ดี ก็ต่อเมื่อได้เห็นน้ำใจกันก่อน น้ำใจย่อมมีค่าสูง และมีพลัง มากกว่าน้ำใดๆ ในโลก แต่ผมไม่เชื่อท่านหรอก ตายเป็นตาย"
เสือดอกรัก ตะโกนตอบด้วยเสียงดังเช่นกัน พลางหันมากระซิบบอกเพื่อนสนิท ๔-๕ คน
"ความเป็นจริงเป็นสิ่งไม่ตาย พวกเอ็งกระจายกันหนีไปทางด้านหลังข้านะ เอาชีวิตรอด ให้ได้ ข้าจะยิง คุ้มกันให้ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า"
เสือดอกรักใช้ปืนยาวประจำตัวยิงขึ้นฟ้าหลายนัด เพื่อนสนิท ๔-๕ คนก้มหลังวิ่งไป อย่างรวดเร็ว พร้อมยิงปืน ฝ่าวงล้อมด้านหลังออกไป สักครู่เสียงปืนเงียบสงบ ตำรวจค่อยๆ บีบวงล้อมแคบ ลงๆ เข้าหาเสือดอกรัก ไม่กี่อึดใจ เสือดอกรักก็ใช้ปืนกระบอกเดียวกันนั้น กรอกปาก ปลิดชีพ ตัวเอง ทิ้งตำนานเสือดอกรัก นับแต่นั้นมา

๓.

"คุณตาครับ ทำไมคุณตาเล่าตำนานเสือดอกรักได้เป็นฉากๆ ทราบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากมาย เหมือนใกล้ชิดหรืออยู่ในเหตุการณ์จริงก็ไม่ปาน" นักประวัติศาสตร์หนุ่ม ร่างผอมบาง สวมแว่นสายตา หนาเตอะ ถามอย่างสนใจ ขณะนั่งอยู่ต่อหน้าสมพงษ์ เทียนบูชา
"หลานเอ้ย...ตาต้องรู้สิ เพราะตาเป็นลูกชายคนเดียวของเสือปลิว เพื่อนสนิทของ เสือดอกรัก ๑ ใน ๔ คนที่หนีรอดไปได้ เสือปลิวเป็นคนเล่าตำนานนี้ให้ตาฟัง มาตั้งแต่ เด็กๆ และ หลายครั้งด้วย"
เฒ่าจำศีลวัย ๗๗ ปี ยิ้มและหัวเราะเบาๆ แม้จะภาคภูมิใจในวีรกรรมของเสือดอกรัก และเสือปลิว แต่ก็อดขัดแย้งในใจตนเองไม่ได้ว่า วีรกรรมเช่นนี้ ไม่ใช่วิถีธรรม .

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๕ เมษายน ๒๕๔๗-