สงกรานต์บ้าเลือด เดือดไฟสงคราม
- วิมุตตินันทะ -

แม้สงกรานต์จะผ่านไปตามกาละ แต่กรรมนี่สิไม่ควรผ่านไปเลยแน่นอน สำหรับ ๑๐ วัน ตายไปถึง ๖๕๔ บาดเจ็บ ตั้งสามหมื่นเจ็ด ซึ่งพวกพิการ คงมีเยอะ ย่อมเป็นปัญหา ให้คนอื่น ต้องเดือดร้อนต่อไปอีก ในการนี้ นายกฯ ทักษิณ เห็นสำคัญ ในความสำคัญข้อนี้ เป็นอย่างดี โดยถือว่าปัญหาอุบัติเหตุต้องจัดเป็นวาระแห่งชาติ!

จริงอยู่ ที่อุบัติเหตุเทศกาลเช่นสงกรานต์ ต้นเหตุมาจากหลายๆ เหตุปัจจัย ตั้งแต่การพัฒนา เศรษฐกิจ ที่ผิดทาง คือไม่ส่งเสริม กสิกรรม ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ให้สำคัญอันดับหนึ่ง ไพล่ไปส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งนำพา ให้ผู้คนทิ้งถิ่น เข้ามาแออัด ยัดเยียด อยู่กระจุกตัว เมืองใหญ่ มันจึงสร้างปัญหาสังคมตามมาร้อยแปด

เมื่อผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ กลายเป็นมนุษย์เงินเดือน ต้องทำงานดังทาสทุนนิยม เพียงเพื่อ เม็ดเงิน และเกิดเครียดกันง่าย บ้างจำนน ทนทำไป เหมือนตกนรกไป พอถึงวันหยุดยาวที เป็นต้องเผ่นออกชนบท เพื่อผ่อนคลาย หรือเยี่ยมบ้านเดิมบ้าง

ดังนั้น การที่ผู้คนต้องโลดแล่นไปหากินต่างถิ่นต่างแดนมากเท่าไหร่ กลายเป็นเรื่องทุกข์ยาก มากเท่านั้น

หรือแม้แต่ระบบขนส่งมวลชน นับว่าล้ม-เหลวมากที่พึ่งรถยนต์เป็นหลัก รัฐบาลที่แล้วมาถึง ปัจจุบัน ดีแต่ตัดถนน เป็นว่าเล่น บางเส้น เกือบจะให้ควายเดิน ก็สร้างกันไป เมื่อใช้แต่รถวิ่ง ถนนมาก อุบัติเหตุย่อมเสี่ยงสูงไปด้วย ดังเช่นเทศกาลสงกรานต์ นัยว่ามีการใช้รถ ถี่เพิ่มขึ้น ถึงสี่เท่า

น่าเสียดายที่รถไฟไทยไม่ค่อยเอาไหนทั้งที่ตั้งมาร้อยกว่าปี ไม่สู้มีบทบาทสำคัญกับการขนส่ง มวลชน ดังเช่น รถยนต์ รัฐบาลทุกยุค มองข้าม ปล่อยปละละเลย ทั้งที่รถไฟเป็นพาหนะ ขนส่ง ที่เป็นประโยชน์สูง ประหยัดสุด โดยเฉพาะถ้าจัดระบบ เป็นรางคู่ ไม่ต้องมัวรอหลีก เสียเวลา จะตายชัก

ข้อดีเด่นพิเศษของรถไฟอันเป็นตัวบูรณา-การได้เยี่ยมยอด เช่นช่วยจัดระเบียบสังคมและชีวิต ผู้ใช้บริการรถไฟ ส่วนใหญ่ทั่วไป ไม่จำเป็น ต้องลงทุน ซื้อรถส่วนตัวให้เปลืองเงิน หรือแข่งกัน อวดหรูหราด้วยค่านิยมฟุ้งเฟ้อ ผู้คนจะต้องตรงต่อเวลา และใช้บริการ ตามตารางที่กำหนด ต่างกันลิบลับกับผู้ใช้รถยนต์ ยิ่งรถส่วนตัวด้วยแล้ว มันไปได้ทุกที่ทุกเวลาตามใจชอบ จึงบำเรอ กิเลส ได้หายห่วง จนถึงนรก ยังไม่กลัวกันเท่าไหร่เลย

นอกจากนี้ รถไฟยังจอดบริการเฉพาะสถานีตามชุมชน เท่ากับบังคับให้มีการรวมกลุ่มอยู่กัน อย่างชุมชน ถึงจะใช้ บริการรถไฟ ได้สะดวก

ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาอุบัติเหตุอย่างจริงจัง น่าจะต้องปรับระบบคมนาคมและขนส่งทั้งหมด แทนที่จะขนส่ง ด้วยสิบล้อ และชอบเดินทางด้วยรถส่วนตัวก็น่าจะสร้างทางรถไฟให้มันทันสมัย เพื่อเป็นเส้นทางหลักสำคัญ อีกทางเลือกหนึ่ง ขึ้นมาบ้าง

อนึ่งในกรณีอุบัติเหตุจักรยานยนต์จากเวทีเสวนาทางทีวีครั้งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีการ ชี้ให้เห็นว่า เมืองไทย มีจักรยานยนต์ มากถึง ๒๐ ล้านคัน มันจึงน่าคิดถ้ามากมายขนาดนี้ และสาเหตุ สำคัญที่ไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงนักคือค่านิยม แม้จะมีการกวดขัน จับรถซิ่ง ของพวกวัยรุ่น แต่เราไม่ก้าวไปให้ถึงต้นเหตุและปัจจัยยั่วยุต่างๆ

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ตลาดจักรยานยนต์แข่งกันโฆษณาและผลิตรุ่นใหม่ๆ เอาใจนักบิด ส่งไปคารวะ ยมบาลไม่รู้เท่าไหร่ แม้ไม่ตาย ก็พิการบานเบียง

ที่เวียดนาม คงจะมีการใช้จักรยานยนต์มากอยู่เหมือนกัน แต่อุบัติเหตุเขาน้อยกว่าเราเยอะ ได้ยินว่า เขาจำกัดความเร็ว ให้วิ่งต่ำๆ ไว้ได้ดี

ของเราก็น่าจะปรับมาใช้บ้าง โดยเฉพาะการผลิตรถรุ่นแรงๆ ซิ่งได้เกินร้อย มันน่าจะเก็บภาษี ให้หนักๆ ไปเลย เพื่อไม่ให้วัยรุ่น ซื้อขี่เล่นได้ง่ายๆ นัก

การปรับค่านิยมของวัยรุ่นนักซิ่ง พร้อมกับนโยบายการผลิตจักรยานยนต์ของบริษัทญี่ปุ่น ไม่กี่ ยี่ห้อ ที่ควรเปลี่ยนแปลง ด้วยมาตรการ ทางภาษีเป็นต้น ทางแก้เร่งด่วนใน ๒ ข้อนี้ น่าจะช่วยลด อุบัติเหตุได้อีกเยอะเลย

น้ำดีไม่เอา น้ำเน่าดีกว่า
ประเพณีสงกรานต์ ย้อนไปหลายสิบปีก่อนยังถือได้ว่าเป็นงานบุญสุนทาน ทั้งแก่เฒ่าสาวหนุ่ม และเด็กเล็ก พากันเข้าวัด ทำบุญ ก่อพระทราย โดยใช้เรือขนทรายไปกองที่ลานวัด เอาธงทิว ประดับที่กองทราย วัดจะได้มีทราย ไว้ปรับพื้นที่ หรือใช้งานก่อสร้างต่อไป

ตามบ้านมีการรดน้ำผู้ใหญ่พร้อมกันนั้นลูกหลานเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนให้ สมัยโน้นไม่มี น้ำประปา เมษาหน้าแล้ง แน่นอน น้ำหายากจะตาย จะเอาน้ำไปรด หรืออาบให้ผู้เฒ่า ได้ชื่นใจ หน้าร้อนตับแตก มันต้องน้ำดีๆ เย็นๆ ซึ่งไม่มีทาง จะไปหาที่ไหนได้ นอกจากน้ำฝน ที่เก็บไว้เป็น ตุ่มๆ รองตุนไว้เมื่อครึ่งปีก่อน ชาวบ้านแต่ละคนจึงนำน้ำหวงแหน ไว้กินดื่มนี้ คนละน้อย คนละนิด มารวมกันอาบ ให้ท่านผู้ใหญ่ เป็นน้ำใจคาระวะผู้มีอายุ พิธีเก่าก่อน ปู่ย่าตายายนำพา สร้างสรรคุณค่า ดังว่ามานี้แหละ

ทุกวันนี้ สงกรานต์มันเปลี่ยนไปไร้สาระสิ้นดี ซ้ำเป็นสาระอันเลวอีกต่างหาก จึงสมควร จะล้างบาง ได้แล้ว กับประเพณีห่วยแตก ประมาณนี้ เพราะไหนๆ มันไม่มีทางจะกู่กลับได้เลย ในเมื่อมันออกจากวัด ไปเล่นสาดเสีย กลางถนน แถมลามกอนาจาร หรือไม่ก็โหดรุนแรง แกล้งใคร ทุกข์ร้อนได้ กลับเห็นเป็นสนุก การหาอารมณ์สุข บนกองทุกข์คนอื่น แม้จะทีเล่น ทีจริง แรกๆ ไปๆ มันจะหนักข้อขึ้น เกินขีดหยอกล้อ เพราะตั้งจิตไว้ผิดๆ กระทั่งหลงเมาเล่น เลยเถิด จนเกิดโทษ จึงน่าจะต้องเลิกเล่น กันได้แล้วสิท่า...

ภาพนายกฯทักษิณ ไปเล่นสงกรานต์สนุกกลางถนนที่เชียงใหม่ แม้จะดูกลมกลืนตามสมัย ไปกับชาวบ้าน ไม่ถือตัว ก็น่าเลื่อมใส ดีทีเดียว ในแง่นี้ เพียงแต่หากจะคิดใหม่ทำใหม่ ออกจะเป็นห่วงว่า ค่านิยมเอาปิคอัพขนถังใส่น้ำ วิ่งตะลอน ฉีดน้ำสาดใส่ สะเปะสะปะ ไม่เลือกหน้า หรือการเล่นเละเทะหยาบคายอื่นๆ เหล่านี้มันพาสร้างสรร หรือสร้างเสียอยู่เท่าใด อย่างไรบ้าง ... แล้วเมื่อไหร่ จะช่วยกันปลุกจิตสำนึกดี ให้มีสติรู้จักแยกแยะ สาระ อสาระ หรือบาปบุญตามวิถีพุทธ แท้ๆ บ้าง หรือจะปล่อย ให้บานปลาย ผลาญพร่า อย่างน่าเสียดาย และสังเวชต่อไปอีกนานเท่านาน...

มหกรรมสงกรานต์แต่ละปี จากพิธีรดน้ำขอพรผู้มีอายุ มาเป็นเล่นสาดน้ำทำอนาจารและ เมาหยำเป สุดท้าย กลายเป็นเทศกาล ที่พากัน ไปตายอุตลุด หรือบาดเจ็บสาหัสระนาว ราวกับ ไปทำสงครามรบราฆ่าฟันกับใครเสียอีก

เมื่อจะต้องหยุดยั้งมหาภัยเสือถนนสิงห์ป่าคอนกรีตให้จงได้ ตามวาระแห่งชาติของรัฐบาล การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ถ้ายังจะต้องส่งเสริมให้คนเที่ยวเล่นเลอะเทอะ และเสี่ยงตายอีก จะไหวหรือ!

ขนาดเมืองพัทยา สวรรค์ของนักเที่ยวนรกชั้นหนึ่ง ยังเข้าใจคุ้มครองภัย ในงาน "วันไหลพัทยา" ทางเมืองพัทยา ออกกฎเหล็ก ห้ามเล่นสาดน้ำ หลังหกโมงเย็น และห้ามขายท่อพีวีซี สีน้ำ แป้งมัน สุรา รวมทั้งห้ามพกพาอาวุธ สุดท้าย ยังไม่วายเกิดเหตุ วัยรุ่นเมาเหล้า ยกพวกตีกัน ตลอดทั้งวัน โดยตำรวจไล่จับไม่ทัน เพราะจราจรติดขัดไปหมด

น้ำประปามีค่าทุกหยด ต่อให้ปลูกฝังนิสัยใส่สำนึกดีทั้งปีในการประหยัด แต่พอถึงสงกรานต์ น้ำยิ่งไม่พอใช้ กลับมาผลาญทิ้ง เป็นว่าเล่น เพียงเห็นสนุกแบบเด็กอมมือ ถือเป็นค่านิยม ปัญญาอ่อน กระทั่งพระเณรบางวัด โดดออกมาเล่น ใช้รถขนน้ำ สาดกะเขาด้วย

การประปาน่าจะขึ้นค่าน้ำกับบ้านที่ใช้เกินผิดปกติในเดือนเมษา ให้มันแพงหลายเท่าไปเลย เผื่อจะได้เล่น สาดเสียเทเสีย กันน้อยๆ หน่อยบ้าง

นอกจากผลาญพร่าน้ำท่าแล้ว ยังใช้รถซดน้ำมันอีกเท่าไหร่ ซ้ำร้ายซัดน้ำเหล้า เมาซิ่งอีก ต่างหาก ทั้งรถทั้งคน ไม่ชนกัน ก็คว่ำเอง อเนจอนาถ

ขนาดเมายาบ้า ไล่ฆ่าใครสักคน มันน่ากลัวโกลาหล ผวากันทั้งเมือง

แต่เมาเหล้าแล้วผ่าขับรถพาคนตายเจ็บเป็นพันเป็นหมื่น ซ้ำซากทุกสงกรานต์ประเทศไทย ไม่ไหวแล้ว...!

อนึ่ง ผลพวงของหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาฮือฮาอยู่พักหนึ่งคือเหล้าสาโท หรือ ไวน์ ไม่รู้ว่า ช่วยขยายตลาด บริโภคนิยม ไปแค่ไหน ของมอมเมาพรรค์นี้ จะเป็นไทยทำ หรือ นำเข้า ให้เมากันได้ง่ายๆ ถูกๆ มันยิ่งบรรลัย ดังที่เห็นช่วงสงกรานต์

เพราะเราไม่เอาดีตามวิถีพุทธ โดยขาดไตรสิกขาคือ ไม่ถือศีลให้เป็นสมาธิโดยไม่มีภูมิคุ้มกัน ด้วยปัญญา ชีวิตไม่มีระเบียบ เช่นนี้ จึงเสี่ยงตาย เป็นว่าเล่น ยิ่งกว่าพวกพลีชีพ

ถ้าสุรายังยืนยงงานสงกรานต์ ตายพิการบานเบียงเลี่ยงไม่พ้น

เสียงส่วนน้อย ใช่ด้อยสำคัญ
ขณะที่ไทยระเริงสงกรานต์เลือดสาด ที่อิรักระเบิดสงครามกองโจรขับไล่อเมริกาผู้รุกราน วิถีสร้างศัตรู ของนายบุช จึงไม่มีวัน สร้างสันติภาพได้ นับวันยิ่งต้องสู้ภัยก่อการร้ายสาหัส ยุทธการใหม่ของฝ่ายต่อต้าน เล่นจับตัวประกัน คนของชาติ พันธมิตร บีบคั้น ให้พวก เข้าข้าง อเมริกาอย่ามาหนุนยึดอิรักเลย

รัฐบาลไทยส่งทหารไปอิรักเพื่อเอาใจอเมริกา อ้างว่าจำเป็นต้องเข้าข้างมหามิตรอยู่กลางๆ ไม่เข้าข้างไหนเลยไม่ได้ อีกเหตุผล คือไปทำงาน ด้านมนุษยธรรม ไปเอื้ออาทรชาวอิรัก ข้ออ้าง อันหลังบังหน้านี่แหละ ยกมาโต้ซ้ำซาก เพื่อหลอกลวง ประชาชน เพราะพูดความจริง เพียงครึ่งเดียว คนโง่เท่านั้น จะเชื่อรัฐบาลบริสุทธิ์ใจเต็มร้อย

ผลพวงตามมาเท่ากับไทยเราชักศึกเข้าบ้านชัดๆ วุฒิสภาประชุมมติถอนทหารไทยจากอิรัก เห็นด้วย ๕๐ ค้าน ๖๘ งดออกเสียง ๖ สะท้อนให้เห็น วุฒิสมาชิก ที่ให้ถอนแพ้ฝ่ายค้าน ไม่มาก เท่าไรนัก รัฐบาลจึงควรรับฟังเสียงให้ถอนนั้น มีน้ำหนัก พอควรทีเดียว

ไฟใต้ที่ดูถูกว่าโจรกระจอก สี่เดือนแล้วยังหมดท่าจะดับได้ มันอาจจะมีอะไรโยงใยกรณี รัฐบาล เข้าข้าง อเมริกาเต็มที่ แต่คนไทยไม่น้อย เกลียดอเมริกา จึงไม่ควรประมาทกับปฏิกิริยา จากทางใต้ว่า จะไม่มีส่วนมุ่งกระทบ รัฐบาลทักษิณ โทษฐานเข้าข้าง นายบุชยึดอิรักต่อ โดยข้ามหัวยูเอ็น

รัฐบาล ถือว่าโจรชนส่วนน้อยกระจิริด ๐.๕ % นั้นร้ายนัก ต้องปราบให้เหี้ยน ในมุมของโจร ก็เพ่งโทษได้ เหมือนกับว่า โจรในเครื่องแบบ เช่นตำรวจใหญ่ ของรัฐบาลแท้ๆ กลับทำราวกับ บ้านป่าเมืองเถื่อน ในยุคประชาธิปไตยเต็มใบ เช่น กรณีอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นต้น การต่อสู้ทางอุดมการณ์ อันขัอแย้งกันแม้ด้วยวิธีรุนแรง จึงไม่ควรเอาชนะผิวเผิน โดยไม่ล้วงลึก อกเขาอกเรา นานาจิตตัง

รัฐบาลทักษิณสำเร็จอย่างงดงามตามนโยบายประชานิยมโดยตลอด มาถึงปีลิงนี้ ทีท่า ไทยรักไทย ถูกมองว่า ขาลง นายกฯทักษิณ ช่างฉลาด เดินสาย เป็นพ่อนกขมิ้นเหลืองอ่อน ตะลอนอีสาน นอนวัดอดข้าวเย็น กางมุ้งนอนเรือนผู้ใหญ่บ้าน ทำตัวติดดิน จนดูเด่นกว่านายกฯ เก่าก่อน ที่เคยมีมาทั้งหมด คงช่วยไม่ได้ ที่จะต้องโกยคะแนนศรัทธา อื้อซ่า

มันก็ดีเยี่ยมแหละที่ผู้นำฟังเสียงชาวบ้านส่วนใหญ่ พ่อบุญมีนางบุญมา สามารถร้องทุกข์ เข้าถึงนายกฯ ในละแวกบ้านได้ แค่นี้ย่อมช่วยให้ คนใกล้ ไกลสบายใจ ไปตั้งเท่าไหร่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ใครจะฉลาดใช้ประชา-นิยมกล้าหาญทำอะไรดีๆ ขึ้นมาแทน คุณแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน คะแนนเสียงรับรองของมหาชนส่วนใหญ่ดังว่านี้ ไม่น่าฉวยโอกาส รับรอง ความชอบธรรม ในการตัดสินอะไรๆ ได้หมดเลย หน้าไหนๆ อย่ามาขวางเพราะประชาชน เลือกมา ขนาดนี้ มันคงอันตรายน่าดู หากถือดีสุดโต่ง ประมาณนั้น

โดยเฉพาะสภาอันถือเป็นตัวแทนปวงชน ก็เหมือนจะเป็นสภาจัดตั้งมากกว่า รัฐบาลมักจะ ตัดสิน ใหญ่ๆ โดยไม่พึ่งสภา อะไรเลยด้วยซ้ำ

จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อเกิดภาพพจน์ของนายกฯ ชอบขัดแย้ง ดูแคลนเหล่านักวิชาการ หรือ สื่อมวลชนมากเกินไป

ทั้งนี้และทั้งนั้น ที่ชวนกังวล เนื่องด้วยประชาธิปไตย แม้เสียงส่วนใหญ่ย่อมถือเป็นหลัก ชอบธรรม แต่ในหลายๆ กรณี เสียงชนส่วนน้อย ย่อมควรรับฟังอย่างยิ่ง ความจริงคือ คนฉลาด ย่อมเป็นชนส่วนน้อย ของสังคม ตัวอย่างม็อป กฟผ. ที่ก่อตัวขึ้นมา ค้านแปรรูปไฟฟ้าขณะนี้ เดิมที่ เริ่มจากคนแค่ ๕-๖ คนเท่านั้นเอง

เรื่องของเรื่อง เพียงอยากเข้าใจว่า เสียงส่วนใหญ่ที่ใครจะยึดถือเป็นเครื่องมือตัดสินใจนั้น มันเป็นเพียง วิธีรุนแรงสุดท้าย เมื่อไม่มีอะไร ยุติชัดเจน ดีกว่านั้น สาระที่แท้จริงแล้ว น่าจะขึ้นอยู่กับน้ำหนัก น้ำเนื้อความจริงของบาปบุญคุณโทษ ข้อดี-ข้อเสีย ของเรื่องที่ถกเถียง ขัดแย้งต่างๆ แทนที่จะเล่นนับหัวลูกเดียวว่า พวกข้างไหนมากกว่ากัน ซึ่งมันตื้นเขินเกินไป ก็เป็นได้

การรับฟังและเข้าถึงความเป็นจริง ทั้งจากชนส่วนใหญ่ หรือแม้ชนส่วนน้อย แต่เป็นปราชญ์ สัตบุรุษ ประชาธิปไตย โดยมีธรรม คือสัปปุริสธรรมเช่นนี้ ย่อมจะช่วยให้คนฉลาดสามารถ แก้ไขปัญหาสงคราม หรือความขัดแย้ง ทุกระดับรูปแบบ ตามวิสัย ชาวพุทธพันธุ์แท้ ผู้มีไตรสิกขา


 

คนจนที่แท้ หรือกระยาจกเข็ญใจที่จริงนั้น
คือ คนที่ขี้เกียจ ไม่ทำงาน ไม่สร้าง ไม่สรร
และแม้มีเงินแล้วเป็นร้อยๆ ชั่ง พันๆ หมื่นๆ
ก็ยังไม่มีความอิ่มความพอ
จะมีแต่ความหวง ความตระหนี่
มีแต่ความโลภแล้วโลภอีก
ส่วนคนรวยที่แท้ หรือเศรษฐีมีบุญจริงนั้น
คือ คนที่แม้มีเงินเพียงสิบบาท
ก็ยังเจียดแบ่งให้คนอื่นได้ง่ายๆ
หรือคนที่แม้ไม่มีเงินเลย ก็ยังเร่งสร้างเร่งสรร
มีกำลังกายก็ทำงานช่วยผู้อื่นด้วยกายได้
มีแรงสมองก็ทำงานช่วยผู้อื่น
ด้วยปัญญาอยู่อย่างเบิกบาน สดชื่น

จากหนังสือ "โศลกธรรม"
*** พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ๒๖ ม.ค. ๒๑

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๖ พฤษภาคม ๒๕๔๗ -