สมชายคนซื่อ


"ใครเป็นลูกชาวนายกมือขึ้น" นักเรียนชั้นประถมชายหญิงสิบกว่าคน ต่างยกมือขึ้น มีผมอยู่ คนเดียว ที่ไม่ยกมือกับเขา ด้วยครูประจำชั้นจึงถาม "อ้าว!แล้วเธอล่ะสมชาย?" ผมลุกขึ้นตอบ ทันที "ผมเป็นลูกนายสีครับ" (พ่อชื่อสี) นักเรียนหัวเราะ ฮาทั้งห้อง ตั้งแต่วันนั้นมาเพื่อนๆ พบผม ที่ไหนก็จะทักทายผมว่าลูกชาวนา แทนชื่อสมชายของผม เขาว่าผม เป็นคนซื่อๆ ก็คงจริงของเขา เพราะผมไม่เคยคดโกงใคร หรือคิดอยากจะลักขโมยของใคร

ผมช่วยพ่อแม่ทำนามาตั้งแต่เล็กจนโตไถนาถอนกล้าปักดำนาตลอดถึงเก็บเกี่ยว จนชำนาญ และยังขยันออกไปใส่เบ็ด หว่านแห หาปลา ส่องกบเขียดล่าสัตว์อีกต่างหาก เพื่อนำมาเป็น อาหาร พออิ่มท้องได้ตลอดทั้งปี

ผมจับฉลากได้สีดำผ่านจากการเกณฑ์ทหารมาไม่นาน พ่อแม่ก็ได้แบ่งที่นา ขายให้ชาวบ้าน สองไร่ เพื่อนำเงิน มาเป็นสินสอด แต่งงานกับสาวต่างหมู่บ้านวัยเดียวกัน

อยู่กินกันได้ไม่ถึงสิบวัน เมียผมก็หนีตามชู้ไป "ฉันไม่ชอบผู้ชายแบบซื่อๆ" เป็นข้อความสุดท้าย ที่ฝากไว้ ตอนนั้น ผมเสียใจมาก แต่ก็ยังดีมีผู้เฒ่าท่านหนึ่งได้พูดให้สติว่า "ที่เมียของเอ็งหนี จากไปนั้น มันก็มีทั้งข้อเสีย และข้อดี ข้อเสียคือ เอ็งผิดหวังที่คิดว่าจะได้เมียมาช่วยทำไร่ทำนา เป็นแม่เหย้าแม่เรือน ร่วมทุกข์ร่วมสุข เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป แต่ก็มาทิ้งเอ็งไป ส่วนข้อดีก็คือ มันด่วนทิ้งไปก่อนที่มันจะมีลูก แล้วทิ้งลูกให้เอ็งเลี้ยงน่ะดีแล้ว ไม่งั้นเอ็งจะทุกข์ ลำบาก แสนสาหัส ยิ่งกว่านี้นะ"

เมื่อเมียหนีจาก ความคิดก็สับสน พอดีเพื่อนรุ่นเดียวกันมาชวนไปหางานทำ ที่กรุงเทพฯ ชาวบ้าน ที่ไปทำงาน ในกรุงเทพฯ มาก่อน เขามีเงินส่งมาให้ทางบ้านใช้ตลอดปี ผมรีบตกลงไป กรุงเทพฯ กับเพื่อน

"รถหมดระยะถึงหมอชิตแล้วครับ" เสียงพนักงานประจำรถบอกผู้โดยสารที่กำลังพากันหลับ อยู่หลายคน ผมกับเพื่อน ลงจากรถ มองไปรอบๆ เห็นมีแต่รถและผู้คนเดินกันขวักไขว่ "นี่หรือ เมืองกรุงเทพฯ" เป็นความรู้สึกแรก เมื่อได้มาถึง "โก้บ้านนอก มากระจอกในเมือง" คำพูดที่ ชาวบ้านนอก เคยพูดกันความหมายว่า ขนาดคนที่ดูว่าสวยงาม เป็นหนึ่ง ในบ้านนอก พอมาถึง เมืองกรุง ก็จะตกอันดับไปเลย แล้วผมคนบ้านนอก ที่เขายังบอกว่า ออกจะซื่อๆ พอมาถึง เมืองกรุง มันจะตกอันดับ ลงไปขนาดไหนก็ไม่รู้ แต่ยังดีเพื่อนผู้ชวนมา เขาเคยมาทำงาน ในเมืองกรุงมาก่อน ตั้งหลายเดือน เมื่อปีที่แล้ว

เพื่อนพาผมไปสมัครงานที่โรงงานเก่าที่เขาเคยทำ แต่โชคไม่ดี เขามีคนงานอยู่เต็ม จึงไม่รับเพิ่ม เพื่อนผมนึกขึ้นได้ งานลงเรือประมง เงินเดือนสี่พันห้าร้อยบาท ยังประกาศรับคนเข้าทำงานอยู่ เป็นทางเลือกสุดท้ายที่ต้องดู

ชายผิวดำแดงร่างใหญ่แววตาดุดัน ที่เปิดรับแรงงานลงเรือทำงานประมงขับรถพาไปส่ง ยังท่าเรือ ชายตัวผอม ที่ขับเรือ ยื่นเงินห้าพันบาทให้ชายร่างใหญ่ผู้มาส่ งแล้วรีบกลับไปทันที ผมกับเพื่อนลงเรือเล็ก ขนส่งเสบียง และของจำเป็น หลายอย่าง แล้วก็ไปส่งที่เรือใหญ่ กลางทะเล ทันที

เรือประมงลำใหญ่ที่จอดนิ่งอยู่กลางทะเลคือที่ทำงานผมกับเพื่อน เมื่อลำเลียงสัมภาระ จากเรือเล็ก ขึ้นเรือใหญ่ เรียบร้อย ก็เริ่มทำงานทันที อวนลากที่มีลูกบอลห้อยอยู่เป็นระยะ ได้ปล่อยลงทะเล เรือลำใหญ่ เคลื่อนออกไป กลางทะเลอันเวิ้งว้าง

คนงานที่มาก่อนเจ็ดคนรวมพวกผมเป็นเก้า ส่วนผู้คุมงานสามคนกัปตันเรืออีกหนึ่งรวม สิบสาม ชีวิต ที่อยู่ในเรือลำนั้น

เมื่อได้เวลาอวนลากถูกดึงขึ้นมากองบนท้องเรือ คนงานลงมือแยกปลา แต่ละชนิด เข้าที่เก็บแยกกันไว้

ยี่สิบกว่าวันผ่านไป เรือใหญ่ของบริษัทเดียวกันแล่นเข้ามาเทียบแล้วลำเลียงปลา ทั้งหมด มารวมไว้ ที่ห้องเย็น ในเรือที่ผมทำงานอยู่ เพื่อนำปลาเข้าฝั่ง ส่วนคนงานทั้งเก้าคน ผู้คุมสั่ง ให้ขึ้นไปรออยู่ที่เรืออีกลำ ที่มาจอดรอ อยู่ที่กลางทะเล คนงานในเรือทั้งสองลำ จะไม่มีสิทธิ์ กลับขึ้นฝั่งเลย หากผู้คุมไม่อนุญาต เมื่อเรือส่งปลา กลับมาถึง สัมภาระ จำเป็นต่างๆ จะถูกจัด แบ่งให้เรืออีกลำ แล้วรับคนงานออกลากอวน หาปลากันต่อทันที

เรื่องอาหารการกินมีครบ ที่แช่แข็งเอาไว้ในเรือกินกันได้อิ่มทุกมื้อ ส่วนเรื่องเงินเดือนค่าจ้าง ผู้คุมบอกว่า ขึ้นฝั่งเมื่อไหร่ จะจ่ายให้ทุกคน

วันหนึ่งๆ ทุกคนจะสูบน้ำจากทะเลขึ้นมาอาบได้หนึ่งครั้ง แต่จะมีน้ำจืดได้อาบได้ล้างได้ แค่คนละ สองแกลลอน (๑๐ ลิตร) เท่านั้น แต่ที่หนักที่สุด คือต้องเก็บแยกปลาอยู่ตลอด ทั้งกลางวันและกลางคืน และทิ้งช่วงพักห่างกัน ไม่ถึงสามชั่วโมง แม้แดดจะร้อน ฝนจะตก ก็ต้องทนทำงาน ตามผู้คุมสั่ง ใครทำงานอืดอาดอู้งาน ก็จะถูกข่มขู่ และหลายครั้ง ถึงกับลงไม้ลงมือ ตบตีกันอย่างไร้ความปรานี

ผมนึกถึงวัวควายที่คนบังคับมันมาเทียมเกวียนหรือให้มันลากคันไถ มันคงจะมีความรู้สึก ไม่ต่างกันเลย แต่เพราะอำนาจของคน และความกลัวตาย มันจึงต้องจำยอมทำงาน

คนงานชุดเก่าเขาบอกว่า แม้จะลำบากก็จะทนอยู่เอาเงินเดือนก่อน เพื่อนผมก็พูดเช่นเดียวกันว่า จะลองทนอยู่ เพื่อเอาเงินเดือน เมื่อเรือเข้าฝั่ง แต่ผมมั่นใจว่าเรือนรกลำนี้ ได้ซื้อตัวผมกับเพื่อน มา คนละสองพันห้าร้อยบาท จากชายร่างใหญ่ ที่มาส่งลงเรือนั้นแน่นอน ผมต้องหนี กลับไป ทำนา ช่วยพ่อแม่ที่บ้านเกิดดีกว่า

ถึงกำหนดเรือจะเข้าส่งปลาอีกครั้ง เรือที่ผมอยู่จอดนิ่ง เพื่อรอเรืออีกลำเช่นทุกครั้ง ผมมองออก ไปทางท้ายเรือ ได้เห็นเกาะหนึ่ง ดูลิบลับสุดสายตา

ใกล้ค่ำเรืออีกลำแล่นเข้ามาเทียบ เมื่อขนถ่ายปลาแล้วเสร็จก็มืดค่ำ พอดีพวกผมถูกสั่งให้ไปรอ อยู่ที่เรืออีกลำ เช่นเคย ผมตัดเอาบอลสองลูก จากอวนร้อยเชือกห่างกันหนึ่งศอก แล้วแอบลง ทางท้ายเรือ รีบว่ายน้ำ สู่เกาะกลางทะเล โชคดีที่เกาะนั้น ชื่อเกาะกูด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ประจำ ผมจึงได้รับความช่วยเหลือกลับบ้าน ด้วยความปลอดภัย

ในยุคนี้ผู้คนเหินห่างศาสนา จึงไร้ศีลธรรม อำมหิต เห็นแก่ตัวจัด และใช้อำนาจบาตรใหญ่ กดขี่ข่มเหง คนซื่อคนตรง คนอ่อนแอ ประหนึ่งมิใช่คน


พระพุทธองค์ตรัส

ทุกข์ทั้งหลายมีเป็นอันมาก มีกิเลสเป็นเหตุ ย่อมเกิดทุกข์ขึ้น ผู้ใดมิใช่ผู้รู้ ย่อมทำกิเลสขึ้น ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้รู้อยู่ ไม่พึงทำกิเลส เป็นผู้พิจารณาเหตุเกิดทุกข์ พิจารณาเห็นแดนเกิดทุกข์

เราไม่อาจปลดเปลื้องใครๆ ที่มีความสงสัยในโลกได้
ก็แต่เมื่อท่านมารู้ธรรมอันประเสริฐ พึงข้ามกิเลสที่ท่วมทับจิตใจนี้ได้ ด้วยความมารู้อย่างนี้

( พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๐
"เมตตคูมาณวกปัญหานิเทส" ข้อที่ ๑๕๕-๑๕๗
"โธตกมาณวกปัญหานิเทส" ข้อที่ ๒๑๘ )