คิดคนละขั้ว - แรงรวม ชาวหินฟ้า -

มติชนสุดสัปดาห์ฉบับ ทักษิโณเวน(Thaksinowen) รายงานกระบวนการซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ของฝ่ายไทย ในนามของรัฐบาลไทยครั้งนี้ว่า เป็นปรากฏการณ์ ครั้งแรกของโลก และเป็น ประวัติศาสตร์ครั้งแรกของสังคมไทย เป็นการตัดต่อพันธุ์กรรม หรือการผสมพันธ์แบบข้าม พันธุกรรมกัน ระหว่างดีเอ็นเอ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ที่ก้าว มาเล่นการเมือง จนเป็นผู้นำประเทศกับ ไมเคิล โอเวน นักฟุตบอล ระดับซูเปอร์สตาร์ของโลก ของทีมชาติอังกฤษ ที่เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์รุ่นใหม่ของมนุษยชาติ

ซึ่งการตัดต่อมนุษยชาติเผ่าพันธุ์ใหม่เผ่าพันธุ์ "ทักษิ+โณเวน" ในครั้งนี้ สื่อมวลชนต่างประเทศ มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จากน.ส.พ.เดลินิวส์ ฉบับ ๑๖ พ.ค. ๒๕๔๗ รายงานในบทนำไว้ว่า... "ลิเวอร์พูลแค่จะซื้อก็ ถูกหยาม"

ไม่เพียงแต่...ในประเทศไทยเท่านั้นที่ตื่นกระแส การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายก-รัฐมนตรี อยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อหุ้น สโมสรลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษเอง ก็เกิดกระแส การวิพากษ์ วิจารณ์กรณีนี้ไม่น้อย ยิ่งนายสตีฟ มอร์แกน หุ้นส่วนอันดับ ๓ ของสโมสรลิเวอร์พูล ยื่นข้อเสนอ ขอซื้อหุ้น ในราคาที่สูงกว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งได้ชูประเด็นว่า ผู้ถือหุ้นสโมสรลิเวอร์พูลควรเป็น แฟนของสโมสร อย่างแท้จริง ยิ่งทำให้ชาวอังกฤษที่เป็นแฟนฟุตบอล สโมสรลิเวอร์พูลจำนวนมาก ให้การสนับสนุน นายมอร์แกน เต็มที่

สื่อมวลชนได้รายงานข่าวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง มีข่าวและบทความการกระแนะกระแหน นายก รัฐมนตรีไทยว่า ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับ สโมสรลิเวอร์พูลมากนัก ก็มีคำตอบ ได้เพียงรู้จัก ไมเคิล โอเวน เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้นายมอร์แกน และสื่อหลายสำนักของอังกฤษ ต่างรุมเหน็บแนมว่า เป็นเรื่องที่ น่าอายมาก สำหรับคนที่คิดจะซื้อหุ้น ในสโมสรลิเวอร์พูล ทั้งยังมีข้อเขียนของคอลัมนิสต์ ฟุตบอล ชื่อดัง กล่าวว่าลิเวอร์พูล เป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่ และมีประวัติศาสตร์ อันยาวนาน แต่ได้ทำเรื่อง อันน่าละอาย โดยการเปิดรับข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเปรียบเปรย เรียกนายกฯ ทักษิณว่า เป็น "นักการเมือง ผู้ทะเยอทะยาน จากกรุงเทพฯ" และนักการเมืองที่ยังไม่แน่ว่า จะบอก ชื่อนักเตะหงส์แดง ได้เกิน ๒ คนหรือเปล่า

ยังมีรายงานข่าวว่าแฟนฟุตบอลเมืองลิเวอร์พูลจำนวนหนึ่ง แสดงความไม่พอใจ ในกรณีที่ สโมสร ลิเวอร์พูล ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ให้แฟนๆ ได้ทราบ โดยกล่าวว่า สโมสรเป็นของเรา ทำไมไม่มีใคร ยอมบอกให้เรารู้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้น ทีมฟุตบอลของเราจะถูกขาย ให้ต่างชาติจริงหรือ เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ยังมีอีกว่า สโมสรลิเวอร์พูล ตอบรับข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้ ชื่อเสียงของสโมสรลิเวอร์พูล ที่สั่งสมมากว่า ๑๐๐ ปี เสื่อมเสีย เพราะเปรียบเหมือน การปล่อยให้ จิตวิญญาณ ของสโมสรลิเวอร์พูล ถูกแทรกแซงโดยคนต่างชาติ ที่เอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ ด้านธุรกิจ และการเมือง

นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของคนอังกฤษ ที่คัดค้านการขายหุ้นสโมสรลิเวอร์พูล ให้พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่ว่าจะในนามส่วนตัว หรือในนามประเทศไทยก็ตาม อีกทั้งมีการแสดงความเห็น ที่ดูหมิ่น ดูแคลนอีกต่างหาก เราจึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดเลย ที่จะต้องไปซื้อหุ้น สโมสรฟุตบอล แห่งนี้ แม้ในที่สุด คณะกรรมการสโมสร จะเห็นด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายเราก็ตาม ตอบปฏิเสธ ไปเสียเลย เป็นการดีที่สุด และก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรน ไปซื้อสโมสรแห่งอื่นอีก เอาเงินไว้ทำประโยชน์ อย่างอื่น ยังดีเสียกว่า

ส่วนมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับเดอะแม้ว (๑๔-๒๐พ.ค.๒๕๔๗)ในคอลัมน์เทศมองไทย นำเหตุผล ที่ต่างชาติ พากันสนับสนุน การซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ของรัฐบาลไทย ในครั้งนี้ว่า

บรรดาผู้เชี่ยวชาญเขาให้เหตุผลในการเชียร์ให้ลิเวอร์พูลขายให้ไทยก็คือลิเวอร์พูล มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสียอะไรเลย สักอย่างเดียว

สโมสรก็ได้เงินมาใช้จับจ่าย นั่นอย่างหนึ่งล่ะ แต่ที่สำคัญกว่านั้นและเป็นประเด็นหลัก ในการเชียร์ ก็คือ ฟุตบอลสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ ของอังกฤษน่ะ มันเป็นยิ่งกว่าฟุตบอล ไปแล้ว

มันเป็นความตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ เป็นภาพลักษณ์ เป็นเรื่องของซูเปอร์สตาร์ นอกเหนือจากไมเคิล โอเวน และ สตีเฟนเจอร์ราด ได้เพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อหาประโยชน์ เพิ่มเติมจาก "ยี่ห้อ" ลิเวอร์พูล ซึ่งจะมาในรูปของยอดจำหน่าย เสื้อทีม และ สปอนเซอร์ เป็นอาทิ

แอนโทนี่ ไกรม์ส อาจารย์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยฮัล บอกว่าถ้าเป็นเงินของรัฐบาล เป็นงบประมาณ ของชาติ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะถือ เป็นโอกาส ด้านการตลาด ที่ไม่เคยมีใคร ถูกหยิบยื่นให้มาก่อน

อาจารย์ไกรม์สให้ข้อมูลไว้ว่า ในเมืองไทยน่ะเดิมมีแฟนลิเวอร์พูลอยู่แล้วราวๆ ๑ ล้านคน แต่การ เข้าไปซื้อ ด้วยเงิน จากรัฐบาลไทย หนนี้ ก็เหมือนกับไทยทั้งประเทศ เป็นเจ้าของทีมบอล อย่าง ลิเวอร์พูล มันเหมือนกับลิเวอร์พูล มีเจ้าของอยู่สักกว่า ๖๐ ล้านคน คิดดูก็แล้วกัน ว่าจะเป็น ประโยชน์มหาศาลแค่ไหน กับการขายของที่ระลึก ของทีมและอื่นๆ

และถ้าทีมประสบความสำเร็จมากๆ อาจจะขายให้ประเทศอื่นในละแวกนี้ได้อีก ลิเวอร์พูล ก็อาจกลายเป็น ทีมฟุตบอล ของเอเชีย-โอกาสทางธุรกิจ ระดับมหึมาเลยทีเดียว ลิเวอร์พูล มีแต่ได้ กับได้ แล้วคนไทยตาดำๆ จะได้รับอะไรครับ?

บทสรุปของเรื่องนี้ คงต้องขออนุญาตนำเอาข้อท้วงติงของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ในคอลัมน์ บุคคลในข่าว ของกระสุนทอง ซึ่งได้ให้ข้อคิดไว้อย่างสำคัญว่า

ออกหวย เอาเงินประชาชนไปซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ก็เท่ากับเอาการพนันมาล่อใจคน อยากได้รางวัลตั้ง ๑,๐๐๐ ล้าน แต่นั่นก็เป็น ความเชื่อมั่นของ ผู้นำซีอีโอ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ฟังเสียงใคร มีอำนาจ ซะอย่าง จะทำอย่างไรก็ได้... ในส่วนของประชาชน คนจะซื้อหวย ซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล นั่นต่างหาก ต้องตั้งสติให้ดี คนไม่ถูกหวยบอล ต้องถูกหวยกิน มีข้อมูลอะไรว่า จะได้กำไร จากหุ้นบอล ในอนาคต ประเด็นหุ้นลิเวอร์พูลจะมีกำไร ได้ปันผลแน่หรือ ประชาชนต้องเรียกร้องให้ นายกฯ ทักษิณ แจกแจงให้ชัดเสียแต่ตอนนี้เพราะเกิดพลาดพลั้ง ขาดทุน หรือถึงขั้น สูญเสีย ไม่คุ้ม... ข่าวคราว หลังความดังกระหึ่มของ "ทักษิณ" ก็คือ ประเทศไทยเสียหาย เนื่องจากเอาการกีฬา แห่งประเทศไทย หน่วยงานรัฐวิสาหกิจไทย ไปเป็นคู่สัญญากับสโมสรฟุตบอล เอกชนของ ต่างประเทศ...นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ประเทศไทยต้องอยู่ตลอดไป บรรดาแฟนหงส์แดง เริ่มฉุกคิดให้รอบด้าน คิดแบบบูรณาการกันได้แล้ว ถ้าฝันไม่เป็นจริง คนเอาประเทศไทย ไปผูกไว้ กับหงส์แดง ซึ่งมีแต่ได้กับได้ แล้วตอนนี้ เขาไม่เสียหายอะไรด้วยหรอก ในอนาคตแน่จริง ทำไมไม่ให้ เอกชนเป็นเจ้าของ "หงส์แดง" เหมือนที่อังกฤษ

"มาร์ก วิเวียน โฟเอ" มิดฟิลด์ตัวเก่งของทีมชาติแคเมอรูน สิ้นใจคาสังเวียนแข้งรอบตัดเชือก คอนเฟดเดอร์เรชันส์ คัพ กับทีมชาติ โคลอมเบีย ยังคงติดตาแฟนบอลทั่วโลกที่จู่ๆ เขาก็ล้มฟุบ หมดสติกลางสนาม ตาเหลือกโพลง เห็นแต่ตาขาว ในนาทีที่ ๗๒ เขาถูกหามลงเปล ไปปฐมพยาบาล ข้างสนาม แพทย์ช่วยชีวิตทุกวิถีทาง แต่ยื้อยุดไม่ได้ เขาเสียชีวิตด้วยอายุ ๒๘ ปี หลายคนกล่าวว่า ทัวร์นาเมนต์นี้ จัดเพื่อสนองตัณหาหาเงินเข้ากระเป๋าของฟีฟ่า โดยไม่คำนึงถึง นักเตะว่า ต้องการพักผ่อนหลังกรำศึก' (ไทยรัฐ ๖ ก.ค.๔๖)

ทุกวันนี้เน้นกีฬา ฟังไว้ กีฬาคืออบายมุข พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จัดอยู่ในอบายมุข เพราะกีฬาเดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องทุนนิยม เป็นเรื่องนายทุน ของระบบโลก เป็นตัวนำมาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจ อธิบาย ไม่ไหว และมันทำลายร่างกาย เพราะมันโอเวอร์โหลด ออกแรงมากเกิน พวกนักกีฬาอาชีพนี่ ออกแรง มากเกินขอบเขตทั้งนั้น ถ้าทำงานเหนื่อยขนาดหนึ่งก็พัก แต่ในสนามเหนื่อยเกินกว่า ที่เราทำงานเสมอๆ แล้วชัก พลังงานพิเศษขึ้นมาด้วย ยังไม่ทันหมดเกม ก็จะต้องเร่งเอาพลังงาน ออกมา

ฉะนั้นนักกีฬาทุกคนผิดสภาพสามัญของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างสุขภาพ เป็นการทำลายสุขภาพ นอกจาก สุขภาพเสียแล้ว ยังหลงติด ในสิ่งที่ไม่ควรหลงติด

*** สมณะโพธิรักษ์

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ -