ชีวิตนี้มีปัญหา๑ - สมณะโพธิรักษ์ - ต่อจากฉบับ 173


เพราะ"กามตัณหากับภวตัณหา"นั้น อยากได้สภาพที่ยังเป็น "โลกียะ" ส่วน"วิภวตัณหา"นั้น อยากได้ สภาพที่เป็น "โลกุตระ" ซึ่ง"โลกียะ"นี้ เป็น"โลก"สามัญของคนทุกคน เป็นโลกที่ไม่มีการ"ดับภพจบชาติ" เพราะไม่มีทฤษฎีไม่มีวิธี "ดับภพจบชาติ" หรือไม่เคยคิดที่จะดับภพจบชาติเลย หรือแม้จะอยากดับภพ จบชาติ แต่ไม่มีความรู้ในวิธีที่จะดับภพจบชาติอย่าง "ถูกถ้วน" (สัมมา)

"โลกนี้ หรือ โลกชนิดนี้" (อยัง โลโก) ใครๆทุกคนก็เป็นก็มีกันทั้งนั้น ต่อให้ดีสุดสูงสุดยอดสุดขนาดไหน อย่างไร ก็ยังมี"ภพ"มี"ชาติ" ดังนั้น "กามตัณหา"ก็ดี "ภวตัณหา"ก็ดี จึงยังเหลือ"ภพ" แม้จะเป็น"อรูปภพ" ละเอียดสุดสูงสุดปานใดๆ ก็ยังมีอัตตาหรืออาตมัน แม้จะเป็นปรมาตมัน ก็ยังมี"ความเกิด" ที่เรียกว่า "ชาติ" อยู่ใน"ภพ"ที่เกิดนั้นอยู่ทั้งสิ้น ยังไม่ใช่"การสิ้นวัฏสงสาร" หรือ"สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด" (สิ้นชาติสังสาร) แต่อย่างใด

ส่วน "โลกอื่น" (ปรโลก,ปโร โลโก) อีกชนิดหนึ่ง ที่เป็น "โลกใหม่" คนละโลกกันกับโลกชนิดเก่า เป็นโลกพิเศษ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นแบบ "อเทวนิยม" เรียกว่า "ปรโลกแบบอเทวนิยม หรือ แบบพุทธ" มีความแปลกแตกต่างกันไปคนละอย่างกับ "โลกแบบที่ทุกคนเคยเป็นและยังเป็นกันอยู่นี้" (อยัง โลโก) แน่นอน

"โลกอย่างปุถุชนที่เป็นกันอยู่แบบนี้แหละ" (อยัง โลโก) เป็น"โลก"ที่ชาวโลกียะรู้กันทั่ว และเป็นอยู่กัน อย่างสามัญ ผู้ใดปฏิบัติดี ก็ไปอยู่สวรรค์ เป็น"เทวดา"ที่เสวยสุข ทุกศาสนารู้กันอยู่ทั้งนั้น "โลกแบบนี้" (อยัง โลโก) คือ "เทวนิยม" มีแดนสุข (ภพ) มีตัวผู้เสพสุข

และอีกประเด็น ทุกคนก็เข้าใจกันดี ว่า ความเป็น"ปรโลก"ของเทวนิยม นั้นคือ การย้ายที่อยู่ของ จิตวิญญาณในร่างกายนี้ อันถือว่า"ภพนี้" (อยัง โลโก) เมื่อตายลงจิตวิญญาณก็ย้ายออกจากร่างกาย ไปสู่อีก"ภพอื่น" (ปโร โลโก) ที่ไม่มีร่างกาย เพราะร่างกายแตกทำลาย (กายัสสะ เภทา) ไปแล้ว ก็ออกไปอยู่ใน "ภพอื่น" (ปรโลก) ที่ไม่ใช่ภพในร่างกายเดิม นี่คือ "ภพอื่น" (ปรโลก) ตามคตินิยมของ ชาวเทวนิยม ซึ่งเป็นการย้ายภพ เปลี่ยน ที่อยู่ไปเท่านั้น "ภพอื่น"แบบนี้ จึงไม่มีวันจะสิ้นสุด "ภพ" ไปได้ ไม่มีทางดับภพจบชาติแน่นอน

ส่วน "โลกอื่น" หรือ "ปรโลก" ชนิดใหม่ ที่เป็นแบบ "อเทวนิยม" ตามคตินิยมของพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองนั้น เป็นชนิดที่"รู้แจ้งในความเป็นภพ" ทั้งกามภพ และภวภพ ทั้งรูปภพ-อรูปภพ อันล้วนเป็น"โลกียะ" (วิสัยสามัญของปุถุชน) ส่วนโลกที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบใหม่ เรียกว่า"โลกุตระ" หรือ"วิภวภพ" ภาษาก็บอกชัดอยู่แล้วว่า"วิภว" (ไม่มีภพ ซึ่งพ้นวิสัยของปุถุชน) นั่นเอง เพราะมีวิธี"ดับตัณหาที่พาไปเกิดในภพโลกียะ" ทั้งกามภพ ทั้งภวภพ ไม่เหลือแม้แต่รูปภพและอรูปภพ ที่ยังเป็นส่วนโลกียะ จึงสิ้นภพจบชาติสนิทได้ ไม่เกิดใน "ภพ" ใดๆ อีกได้เด็ดขาดจริง จึงสิ้น"ชาติ"ได้แท้ (ชาติกขย) ไม่มีการเสวยสุข-ทุกข์ใดๆในภพไหนๆอีกเลย (สิ้นทุกขอาริยสัจ) ไม่มีภาวะอัตตา หรืออาตมัน ที่สุดแม้แต่ปรมาตมันใดๆก็ไม่เหลือ (อนัตตา) "การดับภพจบชาติ"เช่นนี้ คือนิพพานของ "อเทวนิยม"

ดังนั้น ความเป็น"ปรโลก"ของอเทวนิยม จิตวิญญาณจึงไม่ต้องออกจากร่างกายนี้ไป แค่เพียง การเปลี่ยน "ภูมิของจิตในจิต" โดยการศึกษาปฏิบัติให้เป็นจิตใหม่ ให้"เกิดใหม่"เท่านั้น ซึ่งเป็นการเกิด แบบ "โอปปาติกโยนิ" (การผุดเกิดของจิตอยู่ในจิต) จิตวิญญาณไม่ต้องย้ายออกไปจากร่างกาย แบบที่"เทวนิยม"ย้ายภพภูมิกันหรอก อยู่ในร่างกายที่เดิมนี่แหละ แต่มี "การออกจาก" ภพภูมิได้จริง อันเป็นภพภูมิของจิตที่"ผุดเกิด"อยู่ในจิต โดยการปฏิบัติ จนสามารถทำให้จิตในจิตเปลี่ยน"ภพภูมิ" จาก "ภพเก่าหรือภูมิปุถุชน (โลกียภูมิ) " "หลุดพ้น" ไปจากภพภูมิเก่านั้นๆ ได้ขึ้นไปสู่ "ภพใหม่หรือภูมิอาริยชน (โลกุตรภูมิ) " ซึ่งเป็นเทวภูมิหรือพรหมภูมิ ตามแบบ "อเทวนิยม"

นั่นก็หมายความว่า ผู้ศึกษาจะต้องมีความรู้ใน "สัตตาวาส ๙" (ภพเป็นที่อยู่ของสัตว์ มี ๙ ภูมิ) และ ภพภูมินัยอื่นๆ แล้วปฏิบัติจนกระทั่งจิตวิญญาณที่ยังเป็นสัตว์ภูมิต่ำ (อบาบภูมิเป็นต้น) ผุดเกิด (โอปปาติกโยนิ) เป็นสัตว์ภูมิสูง (เทวภูมิเป็นต้น) เจริญขึ้นๆสู่"โลกุตรภูมิ" ที่สุด"นิพพานภูมิ" อันเป็น "ภูมิขั้นวิภวภพ" (ณ ที่ไม่มีภพ) "การออกจาก" ภพภูมิต่ำ ขึ้นไปสู่ภูมิสูงขึ้นๆได้จริงฉะนี้แล ที่ภาษาบาลี เรียกว่า "เนกขัมมะ" หรือ "ความหลุดพ้น" จากภพภูมิต่ำ ขึ้นไปสู่ภูมิสูงขึ้นๆ ได้จริง นี้คือ "วิมุติ" ของ "อเทวนิยม" หรือของพุทธ

ตั้งหลักให้ดีๆ อย่าสับสนเป็นอันขาด การอยากได้ ไม่ว่าจะอยากได้นรก สวรรค์ หรือ อยากได้ ความดี อยากได้ ธรรมะให้สุดสูงสุดยอดปานใดก็ตาม ก็ต้องถือว่า เป็น "การอยากได้" แม้..การอยากได้ "นิพพาน" ก็ดี อยากได้ "อาริยภูมิหรือโลกุตระ"ก็ดี แน่นอนล่ะว่า เป็นการอยากได้ อยู่นั่นเอง แต่มิใช่ อยากได้ "ความมีภพ" ทว่าอยากได้ "ความไม่มีภพ" ต่างหาก ซึ่งภาษาบาลีคือ "วิภว" พยายามทำ ความเข้าใจให้คมๆชัดๆลึกๆ

"วิภว"มิใช่แปลว่า ความไม่อยากได้ แต่แปลว่า ความไม่มีภพ-ไม่เป็นภพ "ตัณหา"ต่างหากที่แปลว่า ความอยากได้ หรือ จะความไม่อยากได้ ก็ตาม "วิภว" นั้น คือ ความไม่มีภพ ดังนั้น ถ้าเป็นความอยาก จึงมิใช่อยากได้"ความมีภพ" (ภวตัณหา) แต่อยากได้"ความไม่มีภพ" วิภวตัณหา จึงมิใช่การอยากได้"ภพ" หรืออยากสร้าง"ภพ" ไม่ว่าจะเป็นกามภพ-รูปภพ-อรูปภพ ใดๆมาให้แก่ตน แต่อยากได้หรือต้องการ "ลบล้างภพ-ดับรูปดับอรูป" ออกไปต่างหาก

แม้ผู้ปฏิบัติบางคนบางลัทธิ จะไม่อยากได้"กาม" แล้วปลีกหนีจากสังคมที่เต็มไปด้วยกาม ออกไปสู่ ป่าเขาถ้ำแล้วก็มุ่ง "ทำสมาธิ" แบบฤาษีดาบส กระทั่งสามารถ เข้าถึง "ภพ" ที่เป็น "อรูป" และเรียก "อรูป" นี้ว่า "อรูปฌาน" โดยเข้าใจว่า "อรูปฌาน" นี้สมบูรณ์ไปถึงที่สุดถึงขั้น"ว่าง-ไม่มีอะไร" และเข้าใจว่า นี่คือ ความไม่มีตัวตน โดยหลงว่าเป็น"อนัตตา" แม้อย่างนี้ก็ยังมี"ภพ" เพราะการปฏิบัติดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ทฤษฎี หรือวิธีปฏิบัติ"สัมมาอาริยมรรค องค์ ๘" แต่เป็นทฤษฎี หรือการใช้วิธีทำตามที่ได้รู้ หรือ เรียนมาแบบ ฤาษีดาบสเก่าๆเดิมๆ แล้วก็ปฏิบัติจนได้ผล (ลัพภต) "เกิดอรูป" มาให้แก่ตน หรือปฏิบัติจน "ได้ตัวตน" (อัตตปฏิลาโภ) เป็นผลสำเร็จ

"ตัวตน" ที่ได้ด้วยการทำ"อรูปฌาน"ดังกล่าวนี้ คือ ภาวะของความเป็น"อัตตา"อยู่แท้ๆ ซึ่งอยู่ในลักษณะ ของ "อรูป" และเป็น"อรูป"ที่ชื่อว่า "มโนมยอัตตา" กล่าวคือ เป็น "อัตตา" ที่เจ้าตัวเองเนรมิต หรือพยายาม สร้างขึ้นจนได้จนสำเร็จด้วยจิตตนเอง เพียงแต่ว่า เป็น"อรูป"แค่นั้น จะเรียกว่า "อรูปที่สำเร็จด้วยจิต"ก็ได้

"รูปที่สำเร็จด้วยจิต" ไม่ว่าจะเป็น"รูป" หรือละเอียดไปถึงขั้น"อรูป" ถ้าได้"รูปหรืออรูป" ดังกล่าว ก็เรียกว่า "มโนมยอัตตา" หรือจะเรียกว่า รูปที่ได้คือ "อรูปอัตตา"ก็ได้ ถ้าไม่สับสนในภาษาที่สื่อ ไม่สับสน ในสภาวะ ที่เป็นจริง เพราะสภาพแท้ก็คือ ปฏิบัติเข้าไปจนกระทั่ง "ได้ตัวตน" (อัตตปฏิลาภา) ที่เป็น "อรูป"

ซึ่งมิใช่การปฏิบัติชนิด"ลดละถูกตัวตนแห่งเหตุ" จนกระทั่ง"เหตุ"นั้นๆดับสิ้นสนิทสัมบูรณ์ เมื่อ"เหตุ" (สมุทัย) ที่จะก่อให้เกิดนั้นๆดับสนิทเด็ดขาดไปจริงๆ "ตัวตน"นั้นจึงเกิดไม่ได้อีกแล้ว "ตัวตน"นั้นจึงไม่มี จึงหมดสิ้นไปเด็ดขาด นี้คือ "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดกับ "ความเป็นอรูป"

แม้การปฏิบัติหรือวิธีปฏิบัติก็เห็นได้ชัดเจนอยู่โต้งๆแล้วว่า การปฏิบัติที่ได้"อรูปฌาน"แบบนั่งหลับตา สะกดจิตเข้าไปในภวังค์นั้น ไม่ได้รู้จัก"ความเป็นแห่งตัวตนที่เกิดแล้ว" (ชาตัตตะ) ใดๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ไม่รู้จัก"ต้นเหตุแห่งการเกิด" (ชาติปภวะ,ชาติสัมภวะ) และดับถูก "ตัวตน" ของ "ต้นเหตุ" นั้นๆ จนสิ้นสภาพ ตั้งแต่ตัวตนระดับ"สักกายะ" กระทั่งตัวตนระดับ"อาสวะ"อย่างจับมั่นคั้นตาย โดยมี"วิชชา ๙"เป็น"ความรู้ยิ่งที่รอบรู้อย่างวิเศษ" ตามรู้ตามเห็น (อนุปัสส) มาตลอดสาย

ฉะนั้น การได้"อรูป"มาตามวิธีนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์ จึงมิใช่"ความสิ้นไปแห่งการเกิด" (ชาติกขยะ) มิใช่"ความดับสูญแห่งการเกิด" (ชาตินิโรธ) แต่เป็น"ตัวตน"ที่เป็น"ความไม่มีรูป" (อรูป) ต่างหากที่เกิดมาให้แก่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งยังมี"ชาตัตตะ" (ตัวตนของการเกิดยังมีอยู่, ความเป็นหรือตัวตน แห่งผู้ที่เกิดแล้ว) หรือเป็นสภาพที่ยังมี"ชาติ" ยังไม่พ้น"การเกิด" (ชาต) และยังมี"ภพ"อยู่ โดยแท้ เพียงแต่เป็น "อรูปภพ" เท่านั้นเอง

ยังมีคนหลง (โมหะ) หรือเข้าใจผิด (มิจฉาทิฏฐิ) จริงๆว่า การได้"อรูปฌาน"ตามแบบนั่งสะกดจิตนี้ คือ การทำให้ไม่มีภพ หรือเข้าไป"ดับภพจบชาติ" หรือ"ดับกิเลส" หรือได้"ดับนิวรณ์ ๕"อย่างสมบูรณ์

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๔ มกราคม ๒๕๔๘ -