โลภจูงไป... ใจแปรเปลี่ยน(คุตติลชาดก)

หลงแต่รวยโลภก้าวหน้า ไม่ศึกษาลดกิเลส เปลี่ยนแปลงไปใจทุเรศ กล้าก่อเหตุลบหลู่ครู

คราวที่พระศาสดาประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร

ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายได้กล่าวกับพระเทวทัตว่า

"ดูก่อนพระเทวทัต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านพึ่งพาอาศัยพระพุทธองค์ ศึกษาในธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ตรัสสอน จนทำฌาน ๔ (สภาวะสงบอันประณีตยิ่ง ๔ ขั้น) ให้เกิดขึ้น ก็แล้วบัดนี้ท่านจะมาทำตัวเป็นศัตรูต่อผู้ที่ชื่อว่าเป็นอาจารย์ นั้นไม่สมควรเลย"

พระเทวทัตฟังแล้ว ก็กล่าวแก้เช่นนี้เสมอว่า

"ดูก่อนท่านทั้งหลาย พระสมณโคดมเป็นอาจารย์ของเราละหรือ ในเมื่อธรรมวินัยทั้งปวง เราเรียนด้วย กำลังของตนเองทั้งนั้นมิใช่หรือ ฌานทั้ง ๔ เราก็ทำให้เกิดด้วยตนเองแท้ๆ"

เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ กระทั่ง...วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า

"พระเทวทัตได้บอกคืนความเป็นลูกศิษย์แก่พระพุทธองค์เสียแล้วหนอ มิหนำซ้ำยังกลับเป็นศัตรูต่อพระพุทธองค์อีกด้วย"

ขณะนั้นเอง พระศาสดาเสด็จผ่านมาพอดี ทรงปฏิสันถาร (ทักทายปราศรัย) ว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนากันด้วยเรื่องอะไรอยู่"

ครั้นภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

"เทวทัตมิใช่บอกคืนอาจารย์ แล้วมาเป็นศัตรูต่อเราในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว"

จากนั้นทรงนำเรื่องในอดีต มาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลาย .......................

ในอดีตกาล...ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ปรากฏทารกน้อยคนหนึ่ง เกิดในตระกูลนักขับร้อง มารดาบิดาได้ตั้งชื่อให้ว่า คุตติลกุมาร

เมื่อกุมารเจริญวัยขึ้น ได้ศึกษาเล่าเรียนทางดนตรี การดีดสีตีเป่าอย่างช่ำชอง จนกระทั่งสำเร็จ ศิลปะ การดนตรีและขับร้อง ได้เป็นศิลปินเพลงชั้นยอด มีชื่อเสียงกระจายก้องไปทั่วชมพูทวีป จนได้รับ ขนานนามว่า คุตติลคนธรรพ์ (คนธรรพ์คือชาวสวรรค์ผู้ชำนาญการดนตรีและขับร้อง)

คุตติละนั้นใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ประพฤติตนเป็นคนโสด ไม่ยอมแต่งงานกับหญิงใด และมีความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่ยิ่งนัก แม้ภายหลังเมื่อพ่อแม่ล้มป่วยกระทั่งตาบอด คุตติละ ก็ยังเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี

ในกาลนั้นเอง เหล่าพ่อค้าชาวพาราณสี ได้เดินทางไปค้าขายสินค้าที่เมืองอุชเชนี ซึ่งกำลังจะจัด ให้มีมหรสพการละเล่นต่างๆ ขึ้น จึงเรี่ยไรกันหาดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ตลอดนของขบเคี้ยว เป็นอันมาก โดยมาประชุมกัน ณ ลานกว้าง แล้วให้จัดหาว่าจ้างนักดนตรีชั้นยอดมาแสดงสักคน

ณ เมืองอุชเชนีนี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มนักร้องชั้นนำคนหนึ่งชื่อ มุสิละ ดังนั้นพวกพ่อค้าจึงจ้างเขา ให้มาขับร้อง และเล่นดนตรีให้ฟัง

ในงานนี้ แม้มุสิละจะพยายามดีดพิณ ให้มีความไพเราะสุดฝีมือปานใดก็ตาม เสียงพิณที่มากระทบหู ของเหล่าพ่อค้านั้น ก็ปรากฏดุจดังเสียงเกาเสื่อรำแพน ฉะนั้น เพราะพ่อค้าชาวพาราณสีทั้งหมด เคยได้ฟังดนตรีอันไพเราะจับจิตจับใจ จากการดีดสีของคุตติลคนธรรพ์มาก่อนแล้ว แม้สักคนเดียว จึงไม่ได้แสดงอาการชื่นชม หรือชอบใจเสียงพิณของมุสิละเลย

มุสิละเมื่อเห็นบรรดาพ่อค้าเฉยเมย มิได้ยินดีกับเสียงพิณของตน จึงคิดว่า

"เราคงจะดีดพิณที่ขันสายตึงเกินไป พวกพ่อค้านี้จึงไม่สนใจเป็นแน่ เราจะลดลงมาให้เหลือ ระดับปานกลาง"

แม้มุสิละดีดพิณเสียงกลางแล้ว พวกพ่อค้าก็ยังนั่งฟังเฉยอยู่ เขาจึงคิดเอาเองว่า

"พวกนี้คงฟังดนตรีไม่เป็น ไม่รู้จักความไพเราะของเสียงพิณ"

คิดดังนั้นแล้ว มุสิละจึงแกล้งทำสายพิณให้หย่อน แล้วดีดพิณไปอย่างทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร แต่พวกพ่อค้า ก็ยังคงเฉยเมยดังเดิม มิได้ว่ากล่าวอย่างใดเลย

ในที่สุด มุสิละก็อดทนต่อไปไม่ได้ ต้องกล่าวขึ้นว่า

"ดูก่อนพ่อค้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ดีดพิณให้ฟังแล้ว แต่พวกท่านก็นั่งนิ่งเฉย ไม่เป็นที่พอใจล่ะหรือ"

พวกพ่อค้าจึงพากันตอบว่า

"ก็ท่านดีดพิณประสาอะไรของท่านเล่า พวกเราฟังแล้วมิเข้าใจเลยว่า ท่านขึ้นเสียงพิณดีดสีอะไรอยู่"

มุสิละโดนหมิ่นเช่นนั้น ก็สวนคำออกไปทันที

"พวกท่านไม่ยินดีในเสียงพิณ เพราะไม่รู้จักฟัง หรือเพราะว่าได้เคยฟังอาจารย์ที่เก่งกว่าข้าพเจ้ามาแล้ว"

พวกพ่อค้าก็ตอบตามตรงว่า

"เสียงพิณของท่านนั้น ฟังแล้วเหมือนสตรีกล่อมเด็ก เมื่อเทียบกับที่พวกเราได้เคยฟังเสียงพิณ ของ คุตติลคนธรรพ์ แห่ง พาราณสี"

มุสิละได้ฟังดังนั้น ถึงกับชะงักงันสักครู่ แล้วกล่าวว่า

"ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงรับเอาค่าจ้างที่ให้มาคืนไป ข้าพเจ้าไม่ต้องการค่าจ้างนี้ ก็แต่ว่าหากพวกท่าน จะเดินทางกลับพาราณสีเมื่อใด ช่วยพาข้าพเจ้าไปด้วย"

ดังนั้นเอง ในเวลากลับพวกพ่อค้าจึงพามุสิละไปด้วย แล้วช่วยพาไปถึงที่อยู่ของคุตติล-คนธรรพ์ จากนั้น พวกพ่อค้าจึงค่อยแยกย้ายกลับบ้านของตน

มุสิละก้าวเข้าไปในบ้านของคุตติลคนธรรพ์ แต่ไม่พบใคร เห็นเพียงพิณคู่มือของคุตติละวางอยู่ จึงยกขึ้นมา ลองดีดดู เสียงพิณจึงดังกังวานขึ้น เป็นเหตุให้พ่อแม่ผู้ตาบอดของคุตติลคนธรรพ์ กล่าวเสียงดัง ออกมาจากในห้องว่า

"สงสัยพวกหนูจะมากัดสายพิณเล่นซะแล้ว"

มุสิละได้ยินดังนั้น จึงวางพิณลง แล้วเข้าไปไหว้ท่านทั้งสองทักทายแนะนำตัวเอง บอกจุดประสงค์ ในการมาให้รู้ว่า ต้องการจะขอเรียนศิลปะการดนตรีจากคุตติลคนธรรพ์ ซึ่งขณะนั้นคุตติละ ออกไป ทำธุระนอกบ้านอยู่ มุสิละจึงนั่งรอด้วยการพูดคุยเอาใจเป็นอย่างดีต่อผู้เฒ่าทั้งสอง จนกระทั่ง คุตติลคนธรรพ์ กลับมา จึงปฏิสันถาร (ทักทาย) บอกเหตุผลที่ตนต้องการให้รับรู้

ฝ่ายคุตติละนั้น ได้สังเกตบุคลิกท่าทาง ลีลาอาการ จริตนิสัยของมุสิละแล้ว ให้มีความรู้สึกว่า มุสิละ เป็นคนไม่ดีนัก ไม่น่าไว้วางใจ เมื่อคิดเช่นนี้จึงกล่าวว่า

"อย่าเลยนะ เจ้าจงไปหาอาจารย์อื่นเถิด ศิลปะของเรานี้ ไม่เหมาะสมแก่เจ้าดอก"

มุสิละได้ยินอย่างนั้น เห็นว่าคุตติละไม่ยอมรับตนเป็นศิษย์แน่ จึงรีบคลานไปจับเท้าพ่อแม่ทั้งสอง ของคุตติละ ใช้มือลูบไล้ให้สงสารตน แล้วอ้อนวอนว่า

"ขอคุณพ่อคุณแม่ช่วยมีเมตตากรุณา ให้ลูกชายของท่านรับข้าพเจ้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดศิลปะ การดนตรี ให้ด้วยเถิด"

เมื่อเป็นเช่นนี้ คุตติลคนธรรพ์จึงถูกพ่อแม่รบเร้า โดยการช่วยพูดจาให้แก่มุสิละ ซึ่งในที่สุด ก็ไม่อาจทน ขัดใจท่านทั้งสองได้ จึงตำต้องยอมรับสอนศิลปะการดนตรีให้แก่มุสิละ

ตั้งแต่นั้นมา คุตติลคนธรรพ์ก็ถ่ายทอดวิชาดนตรี ตลอดจนนำพามุสิละติดตามไปในพระราชวังด้วย ทำให้มุสิละพลอยคุ้นเคยกับพระเจ้าพรมหมทัตมากขึ้น และในการอบรมสั่งสอนนั้น คุตติละสอนวิชา ให้ทุกอย่างที่ตนมีความรู้อยู่ทั้งหมด โดยไม่ปิดบังอำพรางสิ่งใดไว้เลย

จนกระทั่ง...วันหนึ่งกล่าวกับลูกศิษย์ว่า

"นี่แน่ะมุสิละ เจ้าได้เรียนศิลปะการดนตรีของเราจบหมดสิ้นแล้วอย่างช่ำชอง บัดนี้เจ้าจะทำอย่างไร ต่อไป"

มุสิละคิดในใจทันทีนั้น

"ตอนนี้เราเก่งมากแล้ว กรุงพาราณสีนี้ก็เป็นเมืองใหญ่เลอเลิศในชมพูทวีป ขณะนี้อาจารย์ก็เริ่มมีวัย ชราภาพแล้ว ฉะนั้นเราควรจะอยู่ในเมืองนี้แหละ"

จึงบอกกับอาจารย์ว่า

"ข้าพเจ้าจะรับราชการอยู่ในเมืองนี้"

คุตติลคนธรรพ์รับรู้ดังนั้น จึงไปเข้าเฝ้าพระราชา แล้วกราบทูลให้ทรงทราบว่า

"ลูกศิษย์ของข้าพระองค์มีใจปรารถนาจะเข้ารับราชการ เพื่อสนองพระคุณแด่พระองค์ ขอพระองค์ ทรงโปรดพระกรุณา พิจารณาเบี้ยหวัดให้แก่เขาด้วย พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงอนุเคราะห์ รับสั่งว่า

"ดีแล้ว เราจะให้เขาได้ครึ่งหนึ่งของเบี้ยหวัดที่ท่านได้"

คุตติละจึงนำเรื่องนี้กลับมาบอก แต่มุสิละกลับกล่าวว่า

"ข้าพเจ้าจะเข้ารับราชการ ก็ต่อเมื่อได้รับเบี้ยหวัดเท่ากับอาจารย์เท่านั้น ถ้าหากไม่ได้รับเบี้ยหวัดเท่า ก็จะไม่ขอรับราชการเลย"

"อ้าว! เพราะเหตุใดกันเล่า"

"ก็เพราะข้าพเจ้าได้เรียนรู้ศิลปะต่างๆ เท่าที่ท่านอาจารย์มีอยู่จนหมดสิ้นแล้ว มิใช่หรือ"

"อืม! ถูกแล้ว ความรู้ของเจ้ารู้เท่าเทียมที่เรารู้ทั้งหมด"

มุสิละจึงย้ำคำหนักแน่นว่า

"ก็ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระราชาจึงพระราชทานเบี้ยหวัดให้แก่ข้าพเจ้าเพียงครึ่งหนึ่ง ของอาจารย์เล่า"

คุตติลคนธรรพ์จึงต้องนำความนี้ ไปกราบทูลแด่พระราชาอีกครั้ง พระเจ้าพรหมทัต ได้สดับดังนั้น ก็ตรัสว่า

"ถ้าหากเขาสามารถแสดงศิลปะการดนตรี มีฝีมือทัดเทียมกับท่านได้ เราก็จะให้เบี้ยหวัดแก่เขา เท่ากับท่าน"

เมื่อมุสิละได้รับการแจ้งบอกดังนั้นจากอาจารย์แล้ว ก็เข้าเฝ้าพระราชาเพื่อกราบทูล

"ข้าพระองค์จะแสดงฝีมือ ให้พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรพระเจ้าข้า โดยจะขอแข่งขันกับอาจารย์ ให้ชม ในวันที่ ๗ นับแต่วันนี้ไป"

พระเจ้าพรหมทัตทรงทัดทานตำหนิว่า

"อันการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับอาจารย์นั้นไม่ดี ไม่สมควรเลย เจ้าคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ"

มุสิละยังคงยืนยันอย่างเดิมอีก

"ข้าแต่พระองค์ โปรดจัดให้ข้าพระองค์ได้แสดงฝีมือแข่งเทียบกับอาจารย์ ในวันที่ ๗ นั้นเถิด พระองค์ จะได้ทรงทราบความจริงว่า ฝีมือใครจะยอดเยี่ยมกว่ากัน"

เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าพรหมทัตจึงรับสั่งให้ประกาศทั่วพระนครว่า

"ในวันที่เจ็ดนับแต่วันนี้ไปคุตติลคนธรรพ์กับลูกศิษย์จะแสดงศิลปะการดนตรี แข่งขันกันที่ประตูวัง ชาวเมือง ทั้งหลายผู้สนใจ จงมาประชุมฟังการประชันดนตรีเถิด"

ฝ่ายคุตติละเมื่อทราบข่าวแล้ว ก็บังเกิดวิตกกังวลว่า

"ลูกศิษย์ของเราคนนี้ ยังหนุ่มแน่น มีกำลังแข็งแรงอยู่ ส่วนตัวเราสิแก่ชราลง กำลังกายก็ถดถอย กิริยา อาการก็ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเก่าก่อน ในการแข่งขันนั้น หากลูกศิษย์แพ้อาจารย์ ย่อมไม่แปลก ประหลาดอะไร แต่ถ้าอาจารย์เกิดพ่ายแพ้ลูกศิษย์เข้า ก็น่าละอายขายหน้ายิ่งนัก เห็นทีเราจะต้อง หลบหน้า หนีไปเสียในป่าคงจะดีกว่า"

ท่ามกลางความคิดลังเลสับสนนั้น คุตติลคนธรรพ์กลัวว่า อาจจะพ่ายแพ้ต้องอับอาย จึงหลบเข้าไปพักอยู่ในป่า

ครั้นอยู่ในป่า ก็เกรงกลัวการทำผิดต่อพระกระแสรับสั่งของพระราชาที่ได้ประกาศ แล้วจึงกลับมาพัก ที่บ้านอีก ซึ่งกระทำการกลับไปกลับมาดังนี้ทุกวัน จนย่างเข้าวันที่ ๖ ด้วยอาการเร่าร้อน กระวน กระวายใจ

ตอนนั้นเอง...ขณะได้รับทุกข์ใหญ่หลวงอยู่ในป่า ท้าวสักกะจอมเทพ (หัวหน้าใหญ่ของผู้มีจิตใจสูง) ทรงรับรู้ เหตุการณ์นั้นแล้ว จึงเสด็จมาปรากฏให้เห็นเป็นรัศมีเรืองรองสว่างไสว ตรัสกับคุตติลคนธรรพ์ว่า

"เราคือเทวดาผู้เป็นใหญ่ จะเป็นที่พึ่งให้แก่ท่าน ท่านจงบอกความทุกข์ให้เราฟัง แล้วเราจะช่วยท่านได้"

คุตติละยินดียิ่งนัก รับก้มลงกราบแล้วเอ่ยว่า

"ข้าพระองค์ได้สอนศิษย์ชื่อมุสิละ ให้เรียนวิชาดีดพิณ ๗ สาย จนกระทั่งเขาสามารถดีดพิณ ให้มีเสียง ไพเราะ จับจิตจับใจคนฟัง แต่แล้วเขากลับมาขันดีดพิณแข่งสู้กับข้าพระองค์ ข้าแต่ท่านจอมเทพ พระองค์โปรดเป็นที่พึ่ง ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด"

ท้าวสักกะทรงสดับแล้ว ช่วยตรัสปลอบประโลมใจว่า

"อย่ากลัวไปเลย เราจะเป็นที่พึ่งของท่าน จะช่วยเหลือท่านเอง เพราะเราเป็นผู้บูชาคุณของอาจารย์ ฉะนั้น ศิษย์จะไม่ชนะท่านได้หรอก แต่ท่านจะชนะศิษย์"

แล้วท้าวสักกะก็ทรงแนะนำวิธีการต่างๆ ทั้งยังมอบห่วงทองคำให้อีก ๓ ห่วง เพื่อใช้ในการแข่งขัน ก่อนจะเสด็จจากไป ได้ตรัสย้ำไว้อีก

"ท่านจงกลับไปพักที่บ้านเถิด ทำใจให้สงบ อย่าได้กังวลหวั่นเกรงใดๆ อีกเลย"

ครั้นถึงเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น...พระราชาเสด็จลงจากปราสาท แล้วประทับนั่งกลางบัลลังก์ ณ มณฑป ที่ประดับประดาไว้ใกล้ประตูพระราชวัง เหล่าอำมาตย์และสตรีอีกหนึ่งหมื่นนาง พราหมณ์ ชาวเมือง ต่างมาร่วมชุมนุมกันคับคั่ง

เช้านี้คุตติลคนธรรพ์อาบน้ำลูบไล้กายแล้ว บริโภคอาหารรสเลิศต่างๆ จากนนั้นก็ถือพิณคู่มือ ออกจากบ้าน ตรงไปยังที่นั่งของตนที่เขาจัดไว้ ส่วนมุสิละนั้นได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว โดยมีหมู่มหาชน ทั้งมวลแวดล้อมมุงดูแน่นขนัด

พอถึงเวลา...ทั้งสองก็ประชันดีดพิณทันที แสดงฝีมืออย่างทัดเทียมกัน จนทำให้มหาชนโห่ร้อง ยินดีกับ การบรรเลง อันไพเราะนั้น

เมื่อฝีมือเสมอกัน คุตติลคนธรรพ์จึงทำตามที่ท้าวสักกะจอมเทพทรงบอกได้ โดยเด็ดพิณสายที่ ๑ ทิ้งไป เมื่อมุสิละเห็นดังนั้น จึงปลดสายพิณสายที่ ๑ ของตนออกไปบ้าง แล้วทำการบรรเลงพิณแข่งกันอีก ครานี้ เสียงพิณของคุตติละยังคงเหมือนเดิม แต่เสียงพิณของมุสิละเริ่มลดหายไป

ตอนนี้เองคุตติละก็เด็ดสายพิณสายที่ ๒, ๓, ๔,๕,๖,๗ ทิ้งไปอีกเป็นลำดับ ซึ่งมุสิละก็ทำตามเช่นกัน แต่เสียงพิณของคุตติละนั้น แม้เหลือเพียงคันพิณเปล่าๆ ก็ยังคงดังกังวานก้องไปทั่วพระนคร ส่วน เสียงพิณของมุสิละค่อยๆ มีเสียงลดน้อยลง จนเมื่อเหลือคันพิณเปล่า ก็ไร้เสียงโดยสิ้นเชิง

และแล้ว...เสียงโห่ร้องและธงก็โบกสะบัดขึ้นทุกทิศทาง คุตติลคนธรรพ์เห็นเป็นโอกาสเหมาะแล้ว จึงโยนห่วงทองที่ ๑ ขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้น...นางอัปสร (นางผู้มีจิตใจสูง) ๓๐๐ นาง ก็ปรากฏ ออกมาขับฟ้อน เมื่อโยนห่วงทองที่ ๒ นางอัปสรอีก ๓๐๐ นาง ก็ลอยมาฟ้อนรำเบื้องหน้าพิณของ คุตติลคนธรรพ์ ครั้นโยนห่วงที่ ๓ นางอัปสรอีก ๓๐๐ นาง ก็ลงมาฟ้อนรำต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย บนลานแข่งขันนั้น นั่นคือความพ่ายแพ้ตกอยู่กับมุสิละ อย่างเด็ดขาดชัดเจนแล้ว

เมื่อผลออกมาเช่นนี้ ฝูงชนก็พากันลุกฮือขึ้น ส่งเสียงดุด่าคุกคามมุสิละอย่างรุนแรง

"เจ้ากล้าแข็งข้อกับอาจารย์ อวดเก่งทำตัวตีเสมออาจารย์ ไม่เคารพอาจารย์ ไม่รู้จักประมาณตน"

จากนั้นก็ขว้างก้อนดิน ก้อนหิน ท่อนไม้ ใส่มุสิละมากมายทำให้ถึงตายได้ ส่วนคุตติล-คนธรรพ์นั้น ทั้งพระราชาและชาวเมืองพากันโยนทรัพย์ให้มากมาย ดุจฝนลูกเห็บโปรยปรายลงมา

แล้วพากันยกย่องสรรเสริญในฝีมือดนตรีของคุตติละว่าเป็นเลิศยอดเยี่ยมกว่าใครๆ ในชมพูทวีป อีกทั้งพรรณนาถึงศีล และคุณธรรมอันดีงามของคุตติลคนธรรพ์ ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ผู้มีพระคุณด้วย...

พระศาสดาทรงนำชาดกนี้มาเทศนาจบแล้ว ได้ตรัสเฉลยว่า

"มุสิละในครั้งนั้นคือพระเทวทัตในบัดนี้ท้าวสักกะคือพระอนุรุธในบัดนี้ พระเจ้าพรหมทัตคือ พระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนคุตติลคนธรรพ์ คือเราตถาคตเอง" (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๓๓๖ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๔๙๔)

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๕ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ -