ชีวิตนี้มีปัญหา๒ -สมณะโพธิรักษ์ -

ประการที่สอง ก็คือ "ศีล"กับ"สมาธิ"ถูกตัดขาดจากกันแน่นอน ทั้งการตัดความสัมพันธ์ในภาคปฏิบัติ ทั้งภาคปรมัตถธรรม ทั้งภาควิปัสสนาญาณหรือวิชชา

กล่าวคือ ภาคปฏิบัติ ก็นำเอาร่างเอากายของผู้ปฏิบัติออกไป พรากไปจากการมีสัมผัสของทวาร ๕ กันจริงๆ ตามวิธีของสมาธิแบบฤาษีหรือแบบที่ ไม่ใช่"สัมมาสมาธิ"อันเป็นการปฏิบัติ"มรรค ๘" ดังนั้น การปฏิบัติแบบฤาษีจึงไม่มีความสัมผัสสัมพันธ์ภายนอกเด็ดขาด ภาคปรมัตถธรรม คือ จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ก็ไม่ต่อเนื่องไปกับสภาพของชีวิตจริงที่ภายนอกได้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย มีอายตนะนอก-อายตนะใน แล้วก็เกิดอาการสู่จิตภายใน ซึ่งจะมีการเกิดอารมณ์ เกิดกิเลสจริงทันทีที่มีสัมผัส หากกิเลส ของผู้นั้นมีจริงเกิดจริงขณะนั้น ดังนั้น ภาควิปัสสนาญาณหรือวิชชา ก็ไม่มีการศึกษาทันที เป็นปัจจุบันธรรม จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเห็น ของจริง (ภาวสัจจะ) เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่ได้พิจารณา ภาวะ กายในกาย ภาวะเวทนาในเวทนา ภาวะจิตในจิต ภาวะธรรมในธรรมในบัดนั้น ภาคปฏิบัติ จึงไม่เป็นจริงตามหลักมรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ หรือจรณะ ๑๕ และ ภาคปรมัตถธรรม จึงไม่ได้ปฏิบัติ ลดละกิเลสกันจริงๆตามทฤษฎี"โพธิปักขิย ธรรม ๓๗"หรือ"ไตรสิกขา"อย่างถูกต้องครบสมบูรณ์ เพราะไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเป็นมรรคเป็นผล ที่เกิดจริงเป็นจริง และรู้จักรู้แจ้งเห็นจริงของจริง ภาควิปัสสนาญาณ หรือวิชชา ที่จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเห็นจริงของแท้ของจริง จึงไม่เกิดไม่เป็นจริง ด้วยประการฉะนี้

เมื่อ"ศีลกับสมาธิ"ถูกแยกส่วนตัดขาดดังที่สอนผิดๆกันมาแล้ว ตามที่ได้สาธยายมานี้
[มีต่อฉบับหน้า]

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๖ เดือน มีนาคม ๒๕๔๘ -