คิดคนละขั้ว - แรงรวม ชาวหินฟ้า -
ผีสึนามิมีจริงหรือ ?


จากการสูญเสียชีวิตมากมาย ที่เกิดจากภัยสึนามิ จนแยกไม่ออกว่าศพใครเป็นใคร เพราะสภาพศพ ล้วนอยู่ในสภาพบวมอืดตาถลนลิ้นแลบออกมาคล้ายๆ กันหมด ชวนให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างพากัน ขนลุกขนพองสยองเกล้าไปตามๆ กัน แถมยังมีข่าววิญญาณของผู้ที่ตายแล้ว ไปปรากฏตัวที่นั่นที่นี่ อยู่ตลอดเวลา จน น.ส.พ. ไทยรัฐพาดเป็นข่าวใหญ่ถึง ๒ วันติดต่อกัน เพราะมีภาพหลักฐาน ติดมากับ รูปถ่ายอย่างน่าสงสัยว่าผีมีจริงหรือไม่?

สำหรับผู้ที่กลัวผี หรือสงสัยในเรื่องผี คำสอนในศาสนาพุทธน่าจะให้คำตอบที่ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ โดยมีรายละเอียดของข่าวที่ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๘ ได้ตีพิมพ์ไว้ว่า

พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์พร้อมคณะได้ขึ้นเครื่องบินซี ๑๓๐ เดินทางกลับกรุงเทพฯ มาถึงที่สนามบิน กองทัพอากาศ บน. ๖ เมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. และเมื่อคณะของ พ.ญ. คุณหญิงพรทิพย์ เข้าไปในห้อง อาคารผู้โดยสาร ปรากฏว่า ได้กลิ่นน้ำยาฟอร์มาลินฉีดศพโชยมาทันที สร้างความประหลาดใจ ให้แก่ทุกคน

พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าวถึงเรื่องชวนขนหัวลุก ที่มีผู้บันทึกภาพตัวเองแล้วปรากฏร่างผู้ชายยืนตาถลน อยู่เคียงข้างว่า ภาพนี้ถ่ายช่วงกลางคืนวันที่ ๒ ก.พ. ระหว่างพิธีทำบุญให้คนตาย ก่อนจะปิดศูนย์ ที่วัดย่านยาว โดยคนถ่ายเอามาให้ดูตอนเช้าอีกวันหนึ่ง เห็นแล้วถึงกับอึ้งขนลุกซู่ เพราะไม่เคยเห็นอะไร ขนาดนี้ ภาพที่ปรากฏมันเห็นชัดเจนมาก มีคนยืนอยู่ในลักษณะไหล่บังด้านหน้าตน และสูงกว่า ตอนถ่าย ก็ไม่มีใครมายืนแบบนี้ ถามว่าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าเชื่ออยู่แล้ว แต่เชื่อในเชิงธรรมะ ที่ผ่านมา ไม่เคยเจออะไร ก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จะมีก็ภาพนี้ที่คนถ่ายใช้กล้องมือถือถ่ายภาพ

พระพุทธองค์ตรัสเรื่องผีอย่างไร?
ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่า ตัวรู้ ตัวเห็น แลได้พูดจาด้วยผี ดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่า คนจำพวกนั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวก มิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือ เอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขาเป็นคนเจ้าอุบายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น

ที่มีความรู้จริง เห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้น (เพราะพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า ท่านรู้แจ้งแทงทะลุความเป็นผีทั้งหลาย ที่อยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ได้เป็นอย่างดีแล้ว) ...จากคิริมานนทสูตร

พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้ตอบข้อสงสัยเรื่องผีทั้งหลายเอาไว้ดังนี้

ไอ้ผีตาแฮก ผีปู่ ผีบ้าน ผีอะไรอย่างที่ว่านี้ ผีที่ไปอยู่ในศาลเจ้า อยู่ในอะไรอย่างที่ถามมานี้นะ อาตมา ถึงยืนยันได้ว่า ไม่มี ผีอย่างนี้เป็นความเห็นของอนารยชน คนขาดการศึกษา เป็นพวกไม่มีความรู้ จึงมีผีพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้คนเรากราบไหว้บูชาสิ่งเหล่านี้ วิญญาณอย่างนี้ไม่จริง วิญญาณเป็นธาตุรู้ ซึ่งมีแขกจรคือกิเลสเข้ามาเป็นเจ้าเรือนเท่านั้น แล้วกิเลสก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นอย่างที่คุณคิด ว่าเป็น วิญญาณผีล่องลอยไปเที่ยวได้เข้าคนนั้น ไปแกล้งคนนี้ ไปมีฤทธิ์ไปมีเดชทำอันโน้นทำอันนี้แก่คน

แม้ที่สุดเป็นวิญญาณพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาบันดลบันดาล สร้างโน่นสร้างนี่ พระพุทธเจ้าท่านได้ปฏิเสธ โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าเกิดมาท่ามกลางสังคมพราหมณ์ซึ่งทั่วประเทศอินเดียในขณะนั้น สังคม พราหมณ์เป็นลัทธิยิ่งใหญ่ เชื่อถือว่ามีวิญญาณใหญ่ เรียกว่าปรมาตมัน เป็นวิญญาณสากลที่ยิ่งใหญ่ เหลือเกิน เสร็จแล้ววิญญาณใหญ่อันนี้มีฤทธิ์มีเดชที่สามารถจะบันดาลอะไรก็ได้ อ้อนวอนพระเจ้า ช่วยอย่างโน้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้านี่เป็นชนที่เกิดมาในท่ามกลางสังคมลัทธิอย่างนี้ ท่านศึกษา ลัทธิพราหมณ์ จนทะลุปรุโปร่ง แล้วท่านก็ศึกษาลัทธิของท่าน ท่านศึกษา จนกระทั่ง ท่านทะลุ ตรัสรู้ของท่านเอง

พอตรัสรู้แล้วท่านจึงได้เห็น ได้พิสูจน์วิญญาณจนเห็นวิญญาณจริงว่า อ๋อ! วิญญาณจริง มันไม่เป็น อย่างที่เขาเข้าใจ ผู้ที่เข้าใจวิญญาณอย่างนั้น เป็นพวกที่ยังมีอวิชชายังไม่ทะลุอวิชชา ยังเห็นวิญญาณ ผิดพลาด ท่านถึงประกาศวิญญาณของท่านว่าวิญญาณแท้ๆ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ คือเป็นธาตุรู้ ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นอัตตา เป็นปรมาตมัน เป็นอะไรต่ออะไรอย่างนั้น ไม่ใช่

ท่านขบถต่อศาสนาพราหมณ์เป็นใหญ่ มีพราหมณ์ผู้ใหญ่ ผู้น้อยนับถือลัทธินี้ เขาประกาศศาสนา พราหมณ์กันอยู่อย่างใหญ่โตมโหฬาร พระพุทธเจ้าตอนนั้นประกาศลัทธิ ซึ่งตรงกันข้ามกับอัตตา เป็นลัทธิ อนัตตา เป็นลัทธิวิญญาณไม่ใช่ตัวตน สู้กับพราหมณ์จนสร้างศาสนาได้สำเร็จอย่างน่าภาคภูมิ สำเร็จ อย่างเรียกว่าผงาดเลยที่เดียว

จนแม้ทุกวันนี้ในอินเดียก็ยังยอมรับ ขนาดที่เขารับศาสนาพุทธไว้ไม่ได้ เขายังยอมรับศาสนาพุทธเลย ในอินเดียเดี๋ยวนี้ เขาเคารพนับถือศาสนาพุทธกันอยู่แม้เขาจะนับถือศาสนาพราหมณ์ แต่เขาก็ยังเคารพ ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นลัทธิอนัตตา แม้เขาจะรับศาสนาพุทธไว้ไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถ เข้าถึงได้ ว่าอย่างนั้นเถอะ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่นับถือไอ้ผีตาแฮก ตาเฮิบ ผีปู่ย่า ผีบ้านเรือน ผีในป่าช้า ผีต้นหมากรากไม้ ผีอะไรพวกนี้ ถ้าคุณยังไม่มั่นใจก็มาปฏิบัติธรรมมาปฏิบัติศีล มาปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้าจนกระทั่งวิญญาณของคุณนี่จะสำรอกกิเลสลงไปและมันจะเกิดปัญญา เกิดจิตปัญญา ที่แข็งแรงที่เห็นจริงๆๆๆ ขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ จนสุดท้าย คุณจะเห็นชัดเจนเลยว่า

ปุ๊ดโธ่เอ๋ย วิญญาณมันเป็นธาตุรู้ดีๆ ไม่ใช่ผีที่ไหนๆ เลย ผีหลอกคุณได้ยินใช่ไหม ผู้ที่ว่านี่เป็นผีหลอก ทั้งนั้น ไม่ใช่ผีจริงนะ ใช่ไหม ผีอยู่ป่าช้านี่ผีหลอก ผีหลอกๆ ทั้งหลายแหล่ ไม่ใช่ผีจริงทั้งนั้น ผีอยู่ที่ ศาลเจ้า ก็ผีหลอก ผีอยู่ต้นตะเคียน อยู่ต้นโพธิ์ ก็ผีหลอก นี่เห็นไหมเล่า ผีหลอก ไม่ใช่ผีจริง ไปกลัวทำไม กับผีหลอกๆ ใช่ไหม ดังนั้น ผีต่างๆ ที่ถามมา ล้วนเป็นผีหลอกๆ ทั้งสิ้น

แล้วที่บอกว่า ทำไมคนนั้นเขาเห็นจริงๆ เลย ใช่! เห็นกันได้จริงๆ แต่มันเป็นของจริงที่ไม่จริง เหมือนคำ โกหก ที่มีจริงๆ แต่มันเป็นของไม่จริง มันเป็นของลวง ที่เกิดจากอุปาทานจิตของเรานี่เอง แล้วก็ปั้น อุปาทานจนปั้นได้เหมือนจริง ถึงขั้นทำให้ตาเห็นรูปผียืนท่วมห้องประชุมนี้เลยก็ได้ หรือทำให้จมูก ได้กลิ่นบ้าง หรืออุปาทานปั้นเสียงออกมาให้หูเราได้ยินบ้าง จนถึงขั้นหอมเหมือนกลิ่นธูป เหม็นเหมือน กลิ่นคนเน่าคนตาย ล้วนแล้วแต่เป็นการปั้นของอุปาทานจิตขึ้นมาทั้งสิ้น เรื่องผีอย่างนี้มีมานาน แสนนานแล้ว.



คาถาธรรม
ผู้มาปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ แล้ว จะรู้สึกตนเองได้ว่า
ตนเองเป็นผู้หมดปัญหาลงเรื่อยๆ แม้ปัญหาที่เป็นอยู่ประจำวัน ปัญหาชีวิต
ทั้งที่สุด ปัญหาอื่นๆ ใดๆ กระทั่งปัญหาโลกแตก ที่เราเคยข้องใจ สงสัย
ในเรื่องถึงขั้นวิญญาณ ขั้นโลกต่างๆ นานา เราจะเข้าใจหรือไม่ ก็จะไม่ข้องใจ
จะบรรเทาเบาบาง จะเป็นคนโปร่ง ว่าง สบาย จิตใจ ไม่ห่วงหา ไม่กังวล
จะมีชีวิตอยู่เช่นนั้นเอง ที่เราเรียกว่าสงบ ความเป็นอยู่จะรู้สึกว่า
เป็นไป เพียงวัน เพียงวัน แต่มิใช่ว่า จะซังกะตายอยู่
กลับกัน เมื่อปฏิบัติถูกทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ผู้นั้นปราศจากปัญหา ปราศจากความกังวล ปราศจากความข้องใจ
และจะเป็นคนกระปรี้กระเปร่า เบิกบาน แจ่มใส
เป็นผู้สร้างสรรอยู่อย่างสดชื่น และ เป็นคนขยัน ขวนขวาย
ถ้าผู้ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติดีแล้ว ถึงจริง จะเป็นผู้ที่เจริญ
สุขทั้งตน สบายทั้งตน และ ช่วยทั้งสังคม ประเทศชาติ

*** สมณะโพธิรักษ์ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๖ เดือน มีนาคม ๒๕๔๘ -