พระอรหันต์ กับ พระโพธิสัตว์ จึงคือ คนๆเดียวกัน เป็นผู้มีที่สุดอันเดียวกัน ถ้าแตกกัน แยกเอียงไป ข้างใดข้างหนึ่ง ก็ยังเป็น สังฆเภท อยู่

[มีต่อฉบับหน้า]

พระอรหันต์ กับ พระโพธิสัตว์ ถึงจุดสูงสุดนั้น ก็คือ ผู้หมดตัวหมดตน ผู้ไม่เห็นแก่ตัว ผู้ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น ผู้ทำทานๆ เป็นที่สุด

พระอรหันต์ ที่ไม่มีความเป็นพระโพธิสัตว์ หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่เป็นไปเพื่อผู้อื่น ไม่มีทาน [ไม่เป็น "พหุชนหิตายะ"] จึงคือ ผู้ยังไม่หมดตัวตน จึงยังไม่ใช่ผู้เป็นอรหันต์อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ยังเป็นผู้หลงผิดอยู่ ยังเป็นผู้เอียงขวา เช่นเดียวกันกับผู้มีความเห็นที่อยู่ในนิกายที่เรียกว่า เถรวาท หรือหินยาน ส่วน ผู้ไม่รู้จัก ตัวตน ไม่ทำตนให้หมดตัวตนสักที มัวแต่ไปหลงเพ้ออยู่แต่จะทำทาน จะเสียสละ จะให้ผู้อื่น โดยไม่ทำตน ให้หมดตัวหมดตนก่อน ก็ยังเป็น ผู้เอียงซ้าย เช่นเดียวกันกับผู้มีความเห็นที่อยู่ในนิกายที่เรียกว่า อาจาริยวาท หรือ มหายาน ยังไม่ใช่ผู้ถูกตรงลงตัว ยังเป็นผู้เอียง ยังเป็นผู้ มิจฉาทิฏฐิอยู่ ยังเข้าใจ"ทาน" หรือยัง "ทำทาน" ไม่สัมมาครบองค์มรรค (มัคคังคะ) เพราะยังไม่เป็น "สัมมาทิฏฐิ"สมบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์ใน "ธัมมวิจัย" ยังไม่สมบูรณ์ใน "ปัญญาผล" ยังไม่สมบูรณ์ใน "ปัญญินทรีย์" ยังไม่สมบูรณ์ใน "ปัญญา" จริงๆ แท้ๆ จนถึงระดับ"อนาสวะ"นั่นเอง จึงเป็นผู้ยังสังฆเภทแยกนิกายอยู่ทั้งสิ้น เป็นเถรวาทบ้าง เป็นมหายานบ้าง

อาริยบุคคล ทุกระดับของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมทายาทผู้จะสืบต่อพระพุทธศาสนา ธรรมทายาท ผู้จะพัฒนาตนเอง ให้ถึงระดับสูงสุดเพียงใด ก็จบลง ด้วยทาน เหมือนกันหมด

ตั้งแต่ "วัตถุทาน" แล้วก็"อภัยทาน" และสูงสุดคือ "ธรรมทาน"

ทาน เป็นได้ทั้ง "โลกียกุศล" และ"โลกุตรกุศล"

ทาน ที่เรียกว่า จาคะ เป็นได้ทั้งโลกียะ-โลกุตระ

ทาน ที่เรียกว่า เนกขัมมะ เป็นโลกุตระเท่านั้น

ปุถุชน และ กัลยาณชน ก็ทานได้แค่ขั้นโลกียกุศล

อาริยชน จึงจะทานได้โลกุตรกุศลและโลกียกุศล

ทาน คือ ภาวะแห่งความเจริญของคนทั้งระดับกัลยาณธรรม(ปุถุชน) และอาริยธรรม (โลกุตร-อาริยชน)

ทาน คือ หน้าที่การงานของมนุษย์พัฒนา

ทาน คือ หัวใจความดีความประเสริฐของคน

และ "ทาน"ที่เป็นความเลวความบาปก็มีได้ ซึ่งอาตมาเคยอธิบายมาหลายคราครั้งแล้ว

ทาน มี แน่ๆ เห็นไหม? ทานมี..พอแค่นี้ก่อน

ทีนี้ก็ ทาน มีผลหรือไม่..?

เรื่องของทาน แม้จะมีเพียงรูปรอยเล็กน้อยเท่าใด แม้แค่คนทำทาน มีรูปกิริยาเท่านั้น ก็ยังเป็น กิริยาดี ถึงแม้ใจ จะยังคิดโลภ หวังได้ มากกว่าที่ให้ ต้องการแลกเปลี่ยน แบบค้ากำไรเกินควรเพียงใด เมื่อได้จริง เป็นจริง ใจคิดจริง ก็เป็นอันเป็นตามจริง ทั้งนั้น

ผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อว่า ทานมีผล จึงไม่ทำทาน และเป็นเหตุให้เกิดผลจริง คือ ทำให้โลกขาด ความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ถ้าคนทำทาน ก็จะเกิดผลทันทีเช่นกัน คือ มีการให้ มีการเกื้อกูล มีการทำประโยชน์ ต่อกัน ลดความเบียดเบียนลง นี่คือ ผลของ"ทาน"จริงๆ เห็นได้ชัดๆ ในทันที เป็นเรื่องตามพิสูจน์ได้ พูดถึงได้

ผู้ที่พูดถึงผล คิดถึงผลของทานในอนาคต ที่ต้องด้นเดา ทำให้พูดกันยาก เป็นอจินไตย [เป็นเรื่องยาก ที่ไม่สามารถ จะรู้แจ้งได้เพียงแค่ขบคิด แค่ฟัง แค่รับรู้ แต่จะรู้ได้ต้องถึงเอง เป็นเอง มีเอง แม้กระนั้น ก็ยังยาก ที่จะนำ ออกบอกให้ใคร รู้แจ้งได้ตาม] อย่าพูดดีกว่า

แม้แต่พวกที่เน้นแต่ปัจจุบัน อดีตไม่มี อนาคตไม่มี ก็ย่อมมีความคิดที่ผิด ทุกอย่างในโลกเชื่อมโยง ต่อเนื่อง กันอยู่ ปัจจุบัน คือ อนาคตของอดีต และปัจจุบันจะเป็นอดีตของอนาคต คนเราจะตัดแค่จุดหยุด เพียงปัจจุบัน จุดเดียวย่อมไม่ได้ จริงอยู่ปัจจุบันเป็นภาวะกรรมที่มีฤทธิ์สูงมีผลสูง แต่การใดที่ทำแล้ว ในปัจจุบัน ก็เป็นผลมีฤทธิ์สู่อนาคต หรือสั่งสมเป็นอดีต เมื่อคนเราทำดีได้ในปัจจุบัน จะเป็นการสร้างอดีต ที่ดี ให้แก่อนาคต เพราะมีการฝึก และมีการกระทำเกิดขึ้นจริง จะเป็นเหตุให้เกิดผลดี ต่ออนาคตจริง เช่นกัน เพราะทุกอย่าง มีความเชื่อมโยงกันมีอิทัปปัจจยตา หรือสันตติ กล่าวคือ มีส่วนสัมพันธ์ มีสภาพสืบต่อ มีสภาพต่อเนื่อง

ทาน ซึ่งเป็นพฤติกรรมหนึ่ง มีการกระทำจริง ย่อมมีผลจริง ไม่มีข้อสงสัย

[มีต่อฉบับหน้า]

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ -