ชีวิตนี้มีปัญหา ๒ - สมณะโพธิรักษ์ -



หรือ ยิ่งผลของกรรมสำเร็จเป็น"พันธุ์อาริยชนขั้นใดขั้นหนึ่ง" ตนก็ต้อง"เกิด"ตามพันธุ์นั้น เกิดเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ ต้องเกิดตามนั้น(กัมมโยนิ) ตามสัจจะทุกประการ เจ้าของกรรมนี้ต้องเกิดตาม"พันธุ์"ของตนๆ ที่ตนทำ ตนสั่งสมเองแท้ๆ

"กรรม" ทั้งหลาย เป็น"ที่พึ่ง"หรือเป็น "ที่อาศัย" ของสัตวโลกมาตลอดกาลนาน เป็นสมบัติ หรือทรัพย์ของตนๆ โดยแท้ ไม่ว่าตนจะทำ "กรรมชั่ว" หรือ "กรรมดี" ตนก็ต้อง "มีกรรมที่ตนทำ" นั้นๆแหละให้ตน "อาศัย" หรือ ให้ตน "พึ่ง" เลือกไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ เอาทิ้งก็ไม่ได้ แบ่งให้ใคร ก็ไม่ได้ ชีวิตต้อง "พึ่งหรืออาศัยกรรม ที่ตนทำนั้นๆ" ครบถ้วนตามสัจจะไม่ขาดหกตกหล่น

"กรรม"จะสังเคราะห์กันเป็น"วิบาก"(ผลของกรรม จะบวกลบคูณหารกันออกมาให้เจ้าตัว อาศัย หรือพึ่ง) ซึ่งการสังเคราะห์กันของกรรมนั้น ไม่สามารถรู้ได้ง่ายๆเลยว่า สังเคราะห์กันอย่างไร เพราะเกินกว่าที่ คนสามัญ หรือแม้แต่อาริยชนระดับต้นๆ จะคิดจะคำนวณได้ (อจินไตย)

"ตนทำเองตนก็ต้องพึ่งสิ่งที่ตนทำ" ดังคำตรัสที่ว่า "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" ผู้ทำชั่วจึงมี "ที่พึ่งที่อาศัย" เป็นทุกข์ เป็นเรื่องไม่ดี เป็นความลำบากทรมาน ตามที่ตน "กระทำ" (กรรม) มาเองจริงๆ

แต่คนทุกวันนี้ แม้แต่ชาวพุทธ ไม่ค่อย"เชื่อกรรม" ไม่ค่อยเชื่อว่า "กรรมชั่ว"ที่ตนทำนั้นเอง จะสังเคราะห์ มาเป็นวิบากเลว ถึงร้ายรุนแรง ให้ตนทุกข์ ตนลำบากทรมาน ให้ตนอาศัย หรือพึ่ง เพราะวิบากมันยังไม่เกิด ทันตาเห็น จึงกล้าทำชั่วทำบาปกัน เต็มบ้านเต็มเมือง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า "ที่พึ่ง" ที่แท้จริงของคนคือ "กรรม" จึงประกาศศาสนาของพระองค์ว่า คนทุกคนนั้น "พึ่งกรรม" ไม่ใช่ต้อง"พึ่งพระเจ้า" ไม่ใช่"พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ไม่ใช่"พึ่งสิ่งลึกลับ" แต่มีที่พึ่งที่ตนสามารถ ทำเอาเองได้ อย่างรู้แจ้งเห็นจริง เป็น วิทยาศาสตร์ ชนิด "ท้าทาย ต่อการพิสูจน์ หรือเชื้อเชิญให้มาดู มาชม ได้ทีเดียว" (เอหิปัสสิโก) ซึ่งเป็น "สัจจะ" ที่ลึกซึ้งสุดยอด ผู้ทรงค้นพบ หรือตรัสรู้โดยพระองค์เอง คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

"ที่พึ่ง" อันเป็น "กรรมดี" ทั้งหลาย ที่ปราชญ์ผู้รู้หรือศาสดาต่างๆสอนให้พากเพียรสร้างให้พากเพียรทำนั้น ก็เป็น "ที่พึ่งสามัญ" ที่รู้กันได้ทั่วไป เป็นวิสัยของปุถุชน พุทธก็รู้ก็สอน ก็มีด้วย แต่ "ที่พึ่ง" ที่เป็นของ ศาสนาพุทธ โดยเฉพาะนั้น เป็นวิสัยของอาริยชน เป็น "กรรม" ที่นับเป็น "สรณะ" จริงๆแท้ๆ (กัมมปฏิสรณะ) ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ และนำมาประกาศให้มนุษย์ปฏิบัติ อบรมสั่งสมเอา ให้เป็นของตนๆ ให้ได้นั้น นับเป็น ที่พึ่งอันเกษม" ซึ่งชื่อว่า "ไตรสรณะ"

คำว่า "สรณะหรือที่พึ่ง"นี้ เป็น"ที่พึ่ง"พิเศษมีในศาสนาพุทธศาสนาเดียว ไม่มีในศาสนาอื่น ซึ่ง"ที่พึ่ง" นี้ไม่ใช่ อามิส ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่เป็นกาม หรือเป็นอาตมัน (อัตตา)ใดๆ

"ที่พึ่ง"นี้ เป็นประโยชน์ชั้นสูงที่เป็นเนื้อหา แก่นแท้อันประเสริฐของพุทธ ภาษาบาลีว่า "ปรมัตถะ" ที่พึ่ง ที่เป็นประโยชน์ ดังว่านี้ ก็คือ "ไตรสรณะ" ซึ่งเป็นที่นับถือขั้น "ไตรรัตน์" กันทีเดียว นั่นก็หมายความว่า "ไตรรัตน์" นี้เป็น"ที่พึ่ง" ที่ต้องยกย่องเชิดชูบูชา จึงเรียกว่า "รัตนะ"ทั้ง ๓ มิใช่ "ที่พึ่งสามัญ" ดาษดื่นทั่วไป

"ไตรสรณะ"หรือ "พระไตรรัตน์" นี้ไม่ใช่"สรณะ"ที่หมายถึง"กรรมชั่ว"นั้นแน่อยู่แล้ว หรือแม้แต่ "กรรมดีสามัญ ที่ยังเป็นโลกีย์" ก็ยังไม่ใช่ เพราะยังไม่เข้าข่ายความเป็น "ไตรรัตน์" ยังไม่สูงถึงขั้น ที่ยกย่องว่าเป็น "แก้ว" หรือ "รัตนะ" ของพุทธ เพียงแต่ดีทั่วๆไป ที่ศาสนาใดอื่น เขาก็มีได้เป็นได้ ส่วน"กรรมดี"ที่มีคุณสมบัติ เข้าเขต "รัตนะ" นั้น คือ กรรมดีขั้นโลกุตระ ซึ่งได้แก่ "พุทธ -ธรรม -สงฆ์" ที่เป็น"อาริยะ"

[มีต่อฉบับหน้า]

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ -