ลึกซึ้งแค่ไหน กับนัยของคนจนมหัศจรรย์ ? - จริงใจ ตามภูมิ -

คนจนจะมี ๓ ลักษณะ
ลักษณะ ๑. คือคนจนที่จนจริงๆ ปุถุชนซึ่งอยากรวย แต่ก็รวยไม่ได้ มันจนตั้งแต่ขอทานไปจนถึงผู้กระจอกงอกง่อย ขี้เกียจ ขี้คร้าน งอมืองอเท้า หรือเป็นคนที่ไม่มีสมรรถนะ ไม่มีความสามารถ หรือเป็นคนผลาญพร่าฟุ่มเฟือย ไม่ประมาณตน หรือคนทะเยอทะยานทุ่มเสี่ยงเกินตัว จนล้มละลาย กลายเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว มันก็จนกันได้ทั้งนั้น สุดท้ายฆ่าตัวตายก็มี เป็นต้น

คนจนลักษณะนี้ ทุกคนเข้าใจได้ดี เพราะเป็นสามัญโลกๆ ไม่ใช่ "คนจนมหัศจรรย์" แน่ เป็นเพียงคนจนดกดื่นธรรมดาๆ ที่เขาจน กันอยู่ทั่วไป เป็นคนจนที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่น่านับถืออะไร

ลักษณะที่ ๒. คือ คนจนที่ "มีคุณธรรม" เป็นคนจนที่ปฏิบัติตัวมักน้อยสันโดษ หรือปฏิบัติธรรม จนกระทั่ง เป็นคนมักน้อย สันโดษ ความมักน้อยสันโดษชนิดนี้หลายลัทธิศาสนามักน้อยสันโดษได้มากๆ มากยิ่งเกินกว่าศาสนา-พุทธซะอีก เช่น บางลัทธิ มักน้อยสันโดษกันจนกระทั่งผ้าก็ไม่นุ่ง ไม่มีสมบัติอะไรติดตัว อย่างพวกเชน พวกนิครนถ์ เป็นมนุษย์ทิฆัมพร นุ่งลม ห่มฟ้า มีแค่ภาชนะสำหรับใส่อาหารกินชิ้นเดียว แล้วก็ปัดเช็ดกันอยู่นั่นแล้วให้มันปราศจากสัตว์เล็กๆ มีไม้ปัดนุ่มๆ คอยใช้ ปัดสัตว์ ไม่ให้ตายไปทุกที่ที่ตนจะนั่งจะนอน ไม่เบียดเบียนสัตว์อย่างสุดๆ มีชีวิตมักน้อยสันโดษยิ่งจริงๆ แถมอยู่ปลีกเดี่ยว ไม่เกี่ยวกับใคร แต่บิณฑบาตขอเขากินไปวันๆ ไม่สะสมอะไรยิ่งกว่านักปฏิบัติชาวพุทธมากเลย

คนจนชนิดนี้ แม้ชาวพุทธที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็มีการปฏิบัติเอาอย่างลัทธิดังกล่าวนี้อยู่มากในวงการศาสนาพุทธ แม้จะไม่ถึงขั้น ไม่นุ่งผ้านุ่งผ่อนก็พยายามมักน้อยให้ยิ่งๆ โดยฝึกกันไปตามประสาที่รู้ที่เรียนไม่สัมมาทิฏฐินั่นแหละ ก็สามารถมักน้อย สันโดษได้ เหมือนศาสนาอื่นเขาทำ ก็เป็นคนจนที่ถือว่า "มีคุณธรรม" เช่นกัน แต่ยังไม่ใช่ "คนจนมหัศจรรย์" ที่เข้าขั้นอาริยชน และ เป็นโลกุตระของพุทธแท้

คนจนลักษณะที่ ๓. ที่ชื่อว่า "คนจนมหัศจรรย์" ก็คือ คนจนที่ปฏิบัติตามทฤษฎีของศาสนาพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ ซึ่งแน่ ยิ่งกว่าแน่ ว่าไม่ใช่คนจนในลักษณะที่ ๑ แต่มีคุณสมบัติมักน้อยสันโดษคล้ายลักษณะที่ ๒ เขามีแน่นอน ทว่าไม่สุดโต่ง ไปถึงขนาดนั้น เป็นคนจนเป็นคนมักน้อยสันโดษที่เป็นไปตามลำดับ มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่ได้บังคับทุกคน เป็นไป ตามฐานานุฐานะ เท่าที่จะสามารถจัดสรรจิตวิญญาณของเราได้ดี อยู่ได้ขนาดนั้นขนาดนี้ จนกระทั่งมีขีดเขตของมัน เช่น ขั้นพื้นฐาน ก็ศีล ๕ สูงขึ้นก็ศีล ๘ สูงขึ้นไปอีกก็ศีล ๑๐ ซึ่งถึงขั้นไม่ต้องมีเงิน ไม่รับเงินรับทองเลยในชีวิตก็ได้ ไม่ต้องสะสม สมบัติ มีแค่ปัจจัยที่ใช้สอยอาศัยในชีวิตนิดๆ หน่อยๆก็พอเพียง เป็นต้น ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังพิสูจน์ความเป็นไปได้นี้กันอยู่ ยืนยัน อกาลิโก

"คนจนมหัศจรรย์"เป็นแบบของพระพุทธเจ้า ไม่จนจนเกินขอบเขต เหมือนกับลัทธิศาสนาอื่นที่ปฏิบัติมากเกินสุดโต่ง จนไม่มี ประโยชน์ต่อสังคม ไม่รู้จักการอยู่กับสังคมอย่างชัดเจน เพราะไม่เข้าใจฐานะของสังคมเป็นโลกวิทู ไม่มีเบื้องต้น-ท่ามกลาง-บั้นปลาย อย่างมีลำดับ มีสัดส่วน ที่รู้ยืดหยุ่นอนุโลมให้แก่ความเป็นจริงของแต่ละฐานะ ปรับตัวและพัฒนาขึ้นมาสู่ทิศทาง ที่สูงขึ้นๆ เป็นทิศทางความเจริญของมนุษยชาติ ซึ่งรู้ว่ามนุษยชาติคืออะไรอย่างชัดเจน คนจนในลักษณะของพุทธ ที่เรา เรียกว่า "คนจนมหัศจรรย์" ก็คือ จนอย่างชนิดที่เต็มใจจน และมีบุญบารมี จนอย่างมีปัญญาในสัจธรรม จนชนิดที่พึ่งตนเอง ได้แล้ว ก็พอเพียง และจนชนิดที่แจกจ่ายทำทานช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นชนิดรู้จักความพอเหมาะแห่งตนแห่งท่าน เป็นคนจน ที่ทำทาน ชนิดที่ไม่ต้องล่อด้วยบุญ ไม่งมงายในทาน ไม่ค้าบุญขายบุญ แต่มีปัญญาที่เป็นปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ สามารถ "กล้าจน" ด้วยศรัทธินทรีย์-ศรัทธาพละ

สัจธรรมของศาสนาพุทธมีวิบาก ทั้งวิบากบุญวิบากบาป โดยเฉพาะวิบากบุญ สามารถสั่งสมได้ในแต่ละชาติ จนมีบุญ สนับสนุน อย่างแท้จริง เพราะเชื่อในกรรมในวิบากและในความมีกรรมเป็นของของตน ชนิดที่เชื้อเชิญให้มาดูมาพิสูจน์ได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น คนจนชนิดนี้ จะเห็นได้ว่า ในชีวิตปัจจุบันจนจริงๆ นะ ถึงขั้นกล้าที่จะไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่อง เรือนชาน เป็นอนาคาริกชน เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร มีความรู้ความสามารถ เป็นคนจนที่ ถ้าเป็นแบบคนโลกๆ โลกีย์ ก็เป็นคนที่มีกิจการมาก มีงานมาก มีบริษัทหรือกลุ่มสร้างสรรพัฒนาอยู่ในสังคมเยอะแยะ แต่ท่านก็ไม่เอาอะไร ไม่ยึดอะไร เป็นของตัวของตนเลย นี่คือลักษณะยอดๆ ของคนจนมหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นคนจนที่มีลักษณะอย่างนี้ จะมี หลายระดับ ลดหลั่นรองๆ กันลงมา เป็นคนจนที่เป็นหมู่เป็นมวลเป็นบริษัท ทำงานร่วมกัน ร่วมมือสอดประสานกัน อยู่อย่างเป็นปึกแผ่น

สรุปแล้ว คนจนคือคนที่ปฏิบัติธรรม เป็นคนละเลิกโกรธหลง ละกิเลสในตัวออกไปได้จริงๆ ขั้นโลกุตระ และก็ประพฤติปฏิบัติ จนเป็นวัฒนธรรม เป็นวิถีการดำเนินชีวิตอยู่อย่างคนบริษัทเดียวกัน มีฐานานุฐานะ เป็นเครือแหสอดประสานกันอยู่ อย่างมี ลำดับเป็นระบบ ถึงขั้นไม่สะสม อยู่อย่างเป็นอนาคาริกชน เป็นคนที่ไม่ต้องมีเงินทอง ทรัพย์ศฤงคารของตนเอง แต่อยู่ ในสังคมได้ โดยมีสาธารณโภคี มีส่วนกลาง และก็อาศัยอยู่กับส่วนกลาง จะกินจะอยู่ จะไปจะมา จะทำงานทำการ ก็สามารถ มีเครื่องทุ่นแรง มีเครื่องมือเครื่องใช้ให้ทำงานได้ไม่ด้อย อยู่ในเกณฑ์มืออาชีพ แต่ท่านก็ไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเองเลย คนจน ชนิดนี้ จะเป็นแบบอย่าง และเป็นหลักให้แก่มนุษยชาติ เพื่อให้คนอื่นมาประพฤติเหมือนท่านที่ทำได้ ไม่ได้ฝืน เป็นคนจน ที่มีความสุขสบาย เบิกบานร่าเริง ไม่อึดอัดขัดเคืองมีน้อยใช้น้อยก็ได้ มีมากให้ใช้ก็ใช้ เพื่อประโยชน์คนอื่นสะพัดไปสู่คนอื่น ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงปากพูด เป็นปรัชญาลอยลมสวยๆหรูๆ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ และมีคนชนิดนี้ ในลักษณะ เดียวกันนี้ เป็นคนที่มุ่งมาจน และก็มาจนได้สำเร็จตามลำดับ คนจนเหล่านี้เป็นกลุ่ม "คนมหัศจรรย์" ที่จะกอบกู้สังคม มนุษยชาติ ให้ไปรอด ไปอย่างแท้จริง

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๖ มกราคม ๒๕๔๙ -