สิบห้านาทีกับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
อโศกรำลึก '33
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 142 เดือนมิถุนายน 2533
"อโศกรำลึก'33"


อโศกรำลึก
‘๓๓

วันคืนหมุนเปลี่ยนเวียนวน แต่ไม่วนกับมาที่เก่าหรอก อาจจะวนชนวันชนเดือน หากปี พ.ศ.ย่อมเปลี่ยนไป

อโศกรำลึก ‘๓๓ ก็ผ่านมาแล้วผ่านไปอีกวาระหนึ่ง หลังมรสุมที่กระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่า ราวจะทดสอบความมั่นคงของชาวอโศก ซึ่งผลกระทบจะเป็นอย่างไร เราก็มาคุยกับพ่อท่านกันดีกว่า...


พ่อท่านว่า อโศกรำลึกปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ควรจะเป็นไหมคะ?


ก็เป็นไปเรื่อยๆน่ะ มันก็กำลังพัฒนาตัวเอง จัดสรรตัวมันเองไปเรื่อยๆ แล้วอาตมาก็เห็นว่าจุดไหนที่ควรจะเน้นให้เข้าเป้าหมาย อย่างที่บอกไว้แล้วว่าเป็นวันว่าง วันส่วนตัว วันเบา วันง่าย วันอิ่ม อะไรต่างๆ อาตมารู้ความหมายของมัน ว่ามันจะกินความว่าอย่างไร เราก็มาทำกันให้เป็นไปตามทิศทางนั้น

อันไหนที่มันผิด อันไหนที่มันจะออกนอก อาตมาก็ตัดไว้ ตะล่อมไว้ มันจะพัฒนาไปเป็นวัฒนธรรม ก็ค่อยเป็นไป เจริญขึ้นเรื่อยๆ


เป็นที่น่าพอใจ


อือม์ พอใจอยู่เสมอ อาตมาไม่มีอะไรไม่พอใจ


พ่อท่านสังเกตไหมคะ ว่าอโศกรำลึกปีนี้แตกต่างกับปีที่แล้วอย่างไร การที่เรามีคดีนี่ ทำให้เกิดผลกระทบ เช่น คนน้อยลงหรือไม่?


ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างนะ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง คนก็ไม่น้อยลง แล้วก็ไม่มากขึ้นเกินการอะไร แต่ก็เห็นว่ามันพัฒนา มันไม่มีผลกระทบที่จะเป็นการลดหย่อน หรือไม่ดีเท่าที่ควรอะไรเห็นว่าปีนี้มันดีขึ้น เจริญขึ้น รู้สึกว่ากำลังเข้ารูปเข้ารอย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ปีนี้อดข้าวกันขึ้นเยอะ แล้วก็ดูแจ่มใสมีการสังสรรค์ มีอะรต่ออะไรเกิดไปตามบทบาทของมัน ก็ดี ก็เป็นไปตามลักษณะของมัน ที่มันเกิดเอง


การที่หลายคนมุ่งประเด็นไปที่การอดข้าวเป็นสำคัญ พ่อท่านเห็นว่าถูกต้องไหมคะ?


สำหรับรูปธรรมง่ายๆ รูปแบบง่ายๆว่าเป็นวันอิ่ม อิ่มคือเราไม่กินอะไร แล้วก็เป็นวันมัธยัสถ์ เป็นวันอด วันลด มันก็เข้าลักษณะนี้ การไม่รับประทานอาหารก็สอดคล้องกับตบะ สอดคล้องกับการหัดอด หัดลด หัดทน ซึ่งอดข้าวหนึ่งวันนี่มันไม่ตาย ยังไงๆก็ไม่ตาย สุขภาพก็ไม่เสียด้วย ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

การที่ทุกคนตั้งอกตั้งใจทำกัน มีมวล มีกำลังแบบรวมๆ แล้วก็นำพากันไปได้ มันก็ดีนี่


แม้จะเป็นการทำตามๆกันไป โดยไม่รู้ว่าจะได้มรรคผลอะไรก็ตามหรือคะ?


คนที่ยังไม่เคยอดข้าว พอมาได้อด แม้จะตามๆกันไปนี่ มันก็เกิด เออ!เราทำได้ แม้จะเป็นพลังของหมู่มวลตามๆเขาไปก็ตาม คนที่ทำได้ก็จะเกิดความมั่นใจ แล้วก็รู้สึกว่า เอ๊ะมันไม่เห็นหิวเท่าไหร่ เขาจะรู้สึกของเขา เอ๊ะมันไม่ตายนะ ไม่ทรมานเกินการนี่นะ ก็พอเป็นไปได้นี่นะ มันจะเกิดความเชื่อมั่น ว่าได้ผ่านประสพการณ์ ได้ทดลองปฏิบัติเอง ประสบผลเองอะไรอย่างนี้


จริงๆ แล้วการอดข้าวนี่ ได้มรรคผลอะไรคะ


อ้าว! เราก็ได้ฝึกจิตของเรา ได้เรียนรู้ว่า ความหัดอดหัดลดอะไร หัดละหัดหน่ายคลายอะไรมันทำได้ เอาแค่บำเรอตนมานักหนามากมาย เราก็มาหัดลดบ้าง หยุดบ้าง อดทนบ้าง

อย่างน้อยก็สร้างความอดทน สร้างกำลังใจ สูงไปกว่านั้น ก็ได้มีการได้รับสัมผัส ได้รู้รสชาติความอด เกิดความมั่นใจอย่างที่ว่า เราทำอะไรสักอย่างขึ้นมานี่ ภาวนาตบะธรรมหรืออะไรนี่มันไม่ง่ายนักสำหรับคนโลกๆเขา แล้วเราทำได้ อย่างนี้มันเหนือกว่าปกติอยู่นะ มันก็เกิดกำลังใจ


เกี่ยวกับการตัดกิเลสด้วยไหมคะ?


เกี่ยวสิ ถือว่ามันมีพลังใจ และจะได้ซับซาบความจริงว่า เรานี่ไปหลงติดอะไรอยู่เยอะแยะมากมายนี่ ถ้าเราลดมาบ้างก็ลดได้ มันก็เป็นองค์ประกอบที่ช่วย เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง เป็นแพ็คเตอร์หนึ่งที่จะย้ำว่า เรามาหัดลดอันนี้ หน่ายคลายอันนี้ ปล่อยวางอันโน้น มันก็เป็นการเสริมหนุนกันไป


แต่ก็ต้องดูด้วยว่าร่างกายเราไหวหรือไม่ไหวใช่ไหมคะ?


ร่างกายเราไหวหรือไม่ไหวนี่ ที่จริงร่างกายมันไหวนะ แต่ใจน่ะมันจะไม่ไหวก่อน เห็นไหมว่าคนที่ป่วย จนกระทั่งร่างกายผอม เขาก็ยังไหวในขนาดหนึ่งนะ

บางคนไม่ถึงป่ายหรอก แต่ร่างกายมันไม่สมบูรณ์ มันก็ผอมลง-ผอมลง แต่เขาก็ยังทำการทำงานได้ ไม่เป็นลมเป็นแล้งอะไร เรี่ยวแรงก็ยังไม่หมด แต่มันก็ผอมลงไป

ธรรดาอดข้าว ๕ วัน ๘ วัน มันไม่ผอมถึงขนาดนั้นหรอก แล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ ใจต่างหากที่มันจะไม่ไหวก่อน ใจนี่แหละที่มันจะทนได้หรือไม่ได้ มันจะเป็นลมแล้งอะไร ใจเป็นตัวการ ไม่ได้อยู่ที่กายเท่าไหร่หรอก เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกไง ปฏิบัติฝึกใจกันจริงๆ


ถ้าว่าเป็นเรื่องของจิตใจจริงๆ แล้วทำไมอย่างคนที่เขาอดข้าวประท้วงโน่นนี่ เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังเป็นลมเป็นแล้งล่ะคะ?


ก็เขาไม่ได้ฝึก


ก็จิตมันน่าจะแรงสิคะ?


จิตสามัญ จิตนอก จิตพื้นๆ ไม่ใช่จิตใต้สำนึก เรามาปฏิบัติธรรมนี่ หยั่งลงไปถึงจิตใต้สำนึก แต่คนข้างนอกเขาไม่ปฏิบัติธรรม เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปถึงจิตใต้สำนึกหรอก ที่เป็นลมเป็นแล้ง แม้ตั้งใจจะอดทนสู้ มันก็คือจิตเอาชนะคะคาน อยู่ข้างบนเท่านั้น ข้างนอกเปลือกๆ

จิตใต้สำนึกมันออเซาะ กิเลสน่ะมันออเซาะมากกว่านั้น แล้วมันก็ทนไม่ได้ ทั้งที่จริงๆข้างนอกนะ เขาไม่อยากเป็นลมนะ อยากจะเก๋ อยากจะโก้ อยากจะอดทนได้ แต่มันทนไม่ได้น่ะ


เพราะไม่เคยตัดกิเลสมาก่อน


ใช่ ! กิเลสมันก็เล่นงานอยู่เต็มที่ของมัน ทีนี้พวกเรามาอดได้มาก ก็เพราะเราเล่นกับกิเลสเลย มันก็ลดลงไปได้ ข้างนอกมันก็ไม่เป็นไร ตั้งใจข้างหน้าโน่นซิ ตั้งไว้ในจิตสำนึก ตั้งใจให้อดให้ได้มากๆ อดไปๆจิตใต้สำนึกเราก็ลดกิเลส ลด ๆ ๆ ๆมันถึงได้นานวัน

เพราะฉะนั้น ถ้าอย่างเราไปอดข้าวประท้วงอะไร โอ้ ! ถ้าเกิดเหตุการณ์ให้ไปนั่งทำจริงๆนะ สนุก ! จะเป็นปาฏิหาริย์ที่คนเขางงนะ เพราะพวกเรานี่อดกันได้ถึง ๑๐ วัน แต่คนข้างนอกเขาไม่ได้

แล้วเขาอดไม่เหมือนเรานะ เขาอดข้าวจริงนะ แต่เขากินน้ำผลไม้ กินโน่นนี่ ขนาดนั้นเขายังเป็นลมเลย ถ้าพวกเราไปอดอย่างนั้นบ้างนี่นะ รับรองเป็นเดือนเลย ซดน้ำอ้อยกันไป ก็ไม่กินข้าวนี่ คุณมานั่งดูได้ กลางวันกลางคืนก็ไม่กิน ซดอย่างนี้นี่นะ มีน้ำอะไรก็ล่อเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งซดกลูโค้สด้วยแล้ว เป็นปีๆก็อยู่ได้


ถ้าอย่างนั้น พ่อท่านมีแนวโน้มจะพาอดมากวันขึ้นไหมคะ?


ไม่ ๆ ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโก้ มันจะกลายเป็นเรื่องโก้เก๋ไป ให้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ให้เห็นว่ามันได้ผล ได้ประโยชน์ ก็เป็นแง่มุมหนึ่ง เป็นการปฏิบัติธรรมขนาดหนึ่ง ไม่ใช่ปฏิบัติเรื่องนี้ให้ทะลุทะลวงไปถึงขนาดอดข้าวอย่างเดียวนี่ เป็นพระอรหันต์เลยก็ไม่ใช่


เห็นพ่อท่านว่า ปีหน้าจะเลื่อนวันอโศกรำลึกจากวันที่ ๕ เป็นวันที่ ๑๐ มิ.ย. เพราะอะไรคะ ทั้งๆที่วันที่ ๕ ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดพ่อท่านด้วย


ก็เพราะเป็นวันเกิดอาตมาซิ เลยถึงจะเลื่อน มาจำเพาะว่าเป็นวันเกิดอาตมา ไปสำคัญกันว่าเป็นวันเกิดอาตมา อาตมาก็เลยเห็นว่ามันไม่ดี ก็อยากจะให้เปลี่ยนไปเสียจากวันเกิดนี่ ให้เป็นวันอโศกรำลึกโดยตรง ที่อโศกเรามีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เกิดขึ้น ให้เป็นที่น่าระลึกถึง ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน (ก็ พ.ศ.๒๕๓๓ นี่แหละ)


มันจะไม่กลายเป็นว่า ปล่อยวันที่ ๕ แล้วมายึดวันที่ ๑๐ แทนหรือคะ?


ก็ยังดีนะ อย่างน้อยก็ไม่ติดตัวบุคคล


อย่างน้อยก็เป็นเรื่องของส่วนรวม


ใช่ เป็นเรื่องของส่วนรวม


พ่อท่านกรุณาขยายความสำคัญของวันที่ ๑๐ มิ.ย.ได้ไหมคะ เผื่ออนุชนรุ่นหลังต่อไปจะได้ทราบ


๑๐ มิ.ย.ก็เป็นวันที่เราถูกเขามายื่นฟ้อง มีข้อหาจะจับ จะให้สึก ถ้าไม่สึกก็ต้องสั่งฟ้อง แล้วก็เลยเกิดการเปลี่ยนรูปแบบ เป็นเหตุการณ์บีบคั้นให้ต้องทำตามต่างๆนานา

เราก็ทำตาม เปลี่ยนไป ไม่เรียกว่าเป็นพระเป็นสงฆ์เป็นภิกษุ อนุโลมลงมาจนต่างคนก็ตกลงพอใจกัน ทั้งฝ่ายเรากับทางเลขารัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลกรมการศาสนา ก็คิดว่ามันจะเรียบร้อย เราก็ทำตามในแง่นั้น ในแง่ของกฎหมาย

ที่จริงตกลงกันว่าจะเปลี่ยนรูปแบบในวันที่ ๑๑ มิ.ย. แต่เราก็เห็นว่าทางโน้นจะทำงานไม่สอดคล้องกัน ทางกรมการศาสนาก็ผ่าออกมาเอาคำสั่งอะไรต่ออะไร มาให้เราสึกซ้อนอีก เราก็เลยเปลี่ยนเสียตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิ.ย. แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่พอใจ

มันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนนิยาย เป็นเหตุการณ์ เป็นประสบการณ์ที่ใครได้รู้ ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะได้เล่าเป็นประวัติศาสตร์ ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ นี่ในอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนอีกกี่ชุด ขณะนี้อาตมาคิดว่ามันคงต้องเปลี่ยนไป แม้ว่าเราจะชนะคดี ก็คงไม่เข้ารูปรอยเดิมหรอก

จึงให้รำลึกว่า กาละครั้งหนึ่งเรานี่ โอ้โฮ ! เปลี่ยนแปลงกันมานี่ทรมานทรกรรม ผิดใจของผู้ยึดผู้ถือนี่ ถึงขั้นจะต้องมาถอดจีวร จะต้องมาใส่เสื้อ เรื่องจิตวิญญาณนี่มันมากมายใช่ไหม


ก็หากเป้าหมายเพื่อให้เป็นวันอโศกรำลึก เพราะเหตุการณ์นี้ ก็คงจะต้องรำลึกถึงด้วยความเจ็บปวดนะคะ


อย่าไปเจ็บปวดซิ ต้องหัดวางความเจ็บปวด


นั่นน่ะซีคะ พ่อท่านเองก็คงไม่อยากให้รำลึกถึงในลักษณะนี้


ให้ล้าง เหมือนวันเขาระลึกถึงวันตรึงกางเขนของพระเยซู อย่าไปทำความเจ็บปวด ต้องให้รู้ประวัติแห่งการเสียสละ เสียสละนะที่เปลี่ยนไตรจีวรมาใส่เสื้อ ใช้ผ้าครองนี่น่ะ เสียสละกันมาเพื่อศาสนา เปลี่ยนไปทั้งๆที่เราทำดีแล้ว แต่ก็ถูกกระแสมรสุมต่างๆนานา จนจะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน จำยอม ไม่ทำให้เกิดความวุ่นวาย รุนแรง

มันเป็นเรื่องอธิบายได้ ถ้าเผื่อต่อไปในอนาคตอีกยาวนานไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีผลต่อมนุษยชาติ ก็จะได้เห็นว่า ประวัติของพวกเรานี่ โอ้โฮ ! ต้องต่อสู้กันมาในสงคราม ธรรมาธรรมะสงคราม มันจะได้เป็นที่ระลึก แม้ว่าใครไปยึดไปคิด ปวดใจ เจ็บใจ ก็อย่าไปปวดไปเจ็บ มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ เราก็อ่อนน้อมถ่อมตนถึงจำยอม แต่ก็มีการยืนหยัดอยู่ส่วนหนึ่ง มีการยอมอยู่ส่วนหนึ่ง ขนาดไหนๆก็เป็นตัวอย่างที่จะใช้คำนวนได้


พ่อท่านคะ ทำอย่างไรเราจะมีกำลังใจทำงานให้ต่อเนื่องโดยไม่ท้อคะ?


อันนี้ก็ย้ำอยู่เสมอ บอกอยู่เสมอว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เข้าใจกันสักที ก็ต้องเห็นความจริงให้ได้ เราเกิดมาเป็นคนต้องทำงาน ต้องมีกรรมที่เป็นกุศล เมื่อแน่ใจว่าสิ่งนี้เป็นกุศลกรรมแล้ว ก็อย่าละเลย อย่าขี้เกียจอยู่ว่างๆเปล่าๆ ต้องอุตสาหะขวนขวาย ก็บอกแล้วว่า วันเวลามันผ่านไป คนขยันก็ผ่านไปสู่ความตาย คนขยันบ้างขี้เกียจบ้างก็ผ่านไปสู่ความตาย คนขี้เกียจเลยปล่อยวันเวลาผ่านไป มันก็ไปสู่ตายเหมือนกัน แล้วคุณจะเป็นคนยังไงดีล่ะ

ก็ควรขยันใช่ไหม ก็ทำไมไม่ขวนขวาย ขวนขวายมันเป็นบุญทำสิ่งนี้ไป เราแน่ใจว่ามันเป็นกุศลธรรม เป็นการกระทำที่มีคุณค่ามีประโยชน์ เราก็ไม่ถึงขนาดป่วยทำไม่ได้

เอ้า! เมื่อย เมื่อยเขาก็ให้พักอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้ทรมานทรกรรม เป็นอัตตกิลมถานุโยค เราก็ไม่ต้องไปทำถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว

ทั้งๆที่มันก็มีเวลาการทำได้ โอกาสก็มีทำได้ ความสามารถฝีมืออะไรก็มี แต่เราไม่ทำเอง ปล่อยเวลาไปเอง เห็นความจริงเหล่านี้แหละให้ชัดว่า ทำไมล่ะ ทำไมเราไม่ทำ บอกตัวเองด้วยสำนึก ตระหนักรู้ความจริงว่า เกิดเป็นคนก็ต้องเจริญ ยังกุศลให้ถึงพร้อมไปเรื่อยๆ ทำไมจะปล่อยเวลาให้ล่วงไปๆ โดยเปล่าประโยชน์ เป็นโมฆะ ในเมื่อยิ่งทำก็ยิ่งเจริญ ยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ ก็ยิ่งดียิ่งเป็นบุญเป็นกุศล เป็นธรรมทายาโท เป็นกัมมัสโกมหิ เป็นมรดกของเรา เป็นทรัพย์ เป็นกุศล เป็นวิบากที่ดีของเราไป

ส่วนที่ท้อนี่คืองานบางงานเราก็ไม่สามารถทำให้มันลุล่วง ด้วยตัวเราเองคนเดียว ต้องอาศัยคนอื่นด้วย-พระพุทธเจ้าสอนเราให้อัตตาหิ อัตโนนาโถ


มันไม่ลงร่องลงรอยกัน มันก็เลยเหนื่อยที่จะไปเข็นคนอื่นด้วย ทั้งๆตัวเราเองก็เข็นตัวเองยากเย็นมากอยู่


ก็ต้องเข็นตัวเราเองนี่แหละมากได้ เราไปเข็นคนอื่นมันยากกว่า ยิ่งเข็นเขาไม่ได้ ก็ต้องมาเข็นตัวเอง แล้วทำไมต้องท้อล่ะ มันก็ผิดสิ ยิ่งเข็นตัวเองก็ยิ่งอย่าไปท้อสิ ไปท้อมันก็ผิดแล้วใช่ไหม ต้องให้มันถูกธรรม ถูกความจริง ต้องมีปัญญา เห็นความจริงที่ชัดๆอย่างนี้ มันก็จะหยุดท้อ แล้วก็ไปได้เรื่อยๆ

แต่เราเองเราไม่เข้าใจ ยังมีกิเลส ถึงต้องพิจารณาให้เห็นเหตุเห็นผลจริงๆ แล้วก็พิจารณาให้ทะลุ อย่ามัวไปโง่ไปสับสน

แรงเพียรนี่เราต้องเร่งของเราเอง แรงวิริยะนี่ เมื่อเรารู้อยู่ว่าเราเองก็ยังขี้เกียจ เราก็ต้องขยันขึ้นมาทดแทนอย่าอยู่เฉยๆซิ ขวนขวายเข้าไปมันจึงจะเจริญ จึงจะเดินไปได้ เราจะต้องบังคับตัวเอง


สังเกตได้ว่า ระยะหลังๆนี่ พ่อท่านจะเทศน์เรื่องความขี้เกียจมาก อย่างตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาพพจน์ของชาวอโศกคือคนขยัน เป็นหมู่กลุ่มที่ขยัน แล้วตอนนี้มาบกพร่องจนถึงขี้เกียจนี่ พ่อท่านว่ามันเป็นสัญญาณอันตรายหรือเปล่าคะ ?


ใช่ซิ ! มันเป็นสัญญาณอันตราย อย่างที่อาตมาเคยพูดอยู่ตลอดเวลาว่า มันมีอุปาทานว่า เอ๊ะ ก็สบายแล้วนี่ ไม่ทำอะไรบ้างก็ได้แล้วนี่ แล้วการหยุดการไม่ทำมันเบา มันง่ายกว่า กิเลสตัวนี้นี่ รู้ดีใช่มั้ย

มันก็จะฉวยโอกาสตรงอยู่เฉยๆ ว่างๆดีกว่า มันเบาดี มันง่ายดี ซึ่งใครๆก็เข้าใจ แต่จะปล่อยให้มันผ่านไปทำไม เรายังมีกำลัง มีแรงงาน เราก็ควรต้องขยันหมั่นเพียรดีกว่า คิดให้ดีๆ ก็จะเข้าใจ แต่เสร็จแล้วกิเลสมันกลบปั๊บ มันก็จะเผลอ ไปหาไอ้ตรงที่ไม่ถูกต้อง ไม่เจริญอย่างนั้นจนได้ กิเลสมันจะผลักไปหาความไม่เจริญเพราะฉะนั้น เราอย่าเผลอสติ อย่าปล่อยให้กิเลสมันมาเล่นงาน มาแอบแฝง ทำให้เราเสียท่า เราต้องเห็นอย่างที่ว่านี่ อย่าชินกับการที่เราได้มุมแล้ว มาชมสวนอย่างที่เคยอธิบายตั้งหลายแง่หลายเชิงแล้วว่า มันทำให้เราประมาท เราพอมีพอกินพอใช้แล้ว แล้วมันก็มีเหตุผลหลายๆอย่าง ว่า เอ๊ะ! ถ้าทำไปจะกลายเป็นด้านผัสสะหรือเปล่า เป็นการไม่มักน้อยหรือเปล่า ก็เท่านี้ก็พอแล้วนี่ สันโดษแล้วนี่เหตุผลนี้มันจะย้อนกลับมาตี ย้อนเชิง แต่ที่แท้จริงมันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านยังไม่สันโดษในกุศลเลย ขยันไปมันเสียหายอะไรเล่า เราสร้างสรรน่ะ ไม่ได้ตกต่ำ

ถ้าเราขยันทำ มันไม่เกิน มันมีขีดตัดอยู่ตรงที่อย่าทรมาน อย่าโอเว่อร์โหลดเกินไปเท่านั้นเอง ก็ในเมื่อไม่มีตรงไหนเสื่อม ไม่มีตรงไหนทรุดโทรม มีแต่เจริญขึ้น แล้วทำไมเราไม่ทำความเจริญขึ้นอยู่อย่างนั้นล่ะ ใช่ไหม มันจำนนเหตุผลนะ เป็นแต่ว่า เราเองขี้เกียจเท่านั้นเอง คำตอบมันไม่มีอื่นเลย มันมีตัวขี้เกียจ ตัวอยากอยู่ว่างๆ ปล่อยเวลาไปเปล่าๆ โมฆะ สูญเปล่า ไม่เป็นประโยชน์คุณค่า ก็เท่านั้นเอง


แล้วพ่อท่านมีวิธี หรือมาตรการจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ?


อาตมาไม่ชอบบังคับ ไม่ชอบบังคับ เพราะบังคับแล้วมันกดดัน กดดันแล้วก็ไม่เจริญจริง แต่ถ้าคุณสำนึกก็ขยันขึ้นเอง ขวนขวายขึ้นเอง คุณก็จะเห็นผลดีเอง ก็เป็นของของคุณเองเท่านั้นแหละ มันเป็นความเจริญที่จะต้องเข้าใจเอง แล้วเป็นเอง มันน่าภาคภูมิใจมากกว่า คุณทำคุณก็ภาคภูมิใจ ถ้าทำเพราะถูกบังคับ มันจะไปน่าภาคภูมิใจอะไร


แต่กับคนที่ไม่เกิดจิตสำนึกล่ะคะ ?


ก็ต้องพยายามให้เกิดให้ได้


หรือแม้แต่หลังๆนี่ เข้ามาแอบแฝงตรงๆเลยก็มี

ก็บังคับโดยตรง หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีคัดออก คัดเลือก อยู่ยังไงมันไม่ได้มาตรฐาน มันแย่ มันฉุดกันศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาอิสระเสรีภาพ ให้เกียรติ ให้มีสำนึก ให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นทาส เป็นเจ้าเป็นนายของตัวเอง สำนึกเอง บังคับตัวเอง พยายามแนะกัน บอกกันให้รู้ความจริงชัดๆ เมื่อรู้แล้วคุณก็ไปทำเอง มันก็จะเกิดหิริ เกิดโอตตัปปะ จิตที่สูงขึ้นก็เห็นว่าละอายนะเรา ไม่ทำความเจริญ เราไปทำความไม่ดีนี่ เราจะละอายของเราเอง ก็พยายามขึ้น มันก็จะมีสภาวะก้าวหน้าที่ดีกว่า


ก็คงจะได้ผลกับพวกที่เป็นสายศรัทธา ที่จะเกิดจิตสำนึกอะไรอย่างนี้


ไม่จริงหรอก ศรัทธา ถ้าอาตมาพูดอย่างนี้ เข้าใจแล้วนี่ไปดีนะ เขาเข้าใจแล้วเขาจะทำดีทีเดียว

สายที่ไม่ค่อยศรัทธานี่สิ พวกปัญญาที่ไม่ค่อยศรัทธานี่แหละหัวดื้อ พวกปัญญานี่นักเลี่ยง แล้วแรงที่จะศรัทธา ที่จะผลักดันก็ไม่ค่อยแรง เจโตไม่ค่อยแรง เมื่อศรัทธาไม่แรงก็ไม่ค่อยทำ แถมยังต้องมีตัวหาเหตุหาผลให้ตัวเองเสียด้วย เพราะอย่างนั้นพวกปัญญาถึงช้ากว่าเจโต

แต่อาตมาชอบเอาชนะด้วยปัญญา ให้จำนน หมดทางเถียง ถ้าเถียงได้เขาจะเลี่ยงอยู่ ถ้าแย้งได้เขาจะแย้งอยู่ แต่ถ้าจำนนเขาจะละอาย เมื่อละอายก็จำเป็นต้องกระทำ เพราะมีปัญญารู้แล้วว่า เรานี่แหละไม่ดีเอง เรานี่แหละไม่ทำเอง จะมาโทษคนบังคับไม่ได้ เพราะไม่มีใครบังคับแล้ว

ถ้าเผื่อว่าเขาศรัทธา เห็นเหตุผลจริงๆเลยนะ แต่ตัวกิเลสมันดันอยู่ จิตมันก็ยังไม่มีกำลัง คล้ายๆกับเครื่องยนต์ที่มันมีขี้สนิม กิเลสมันเป็นขี้สนิม คุณก็ต้องขัดขี้สนิมออก แล้วมันก็จะเกิดกำลังลื่น คล่อง คุณต้องทำของคุณ ซึ่งก็เท่ากับสร้างเจโตให้แก่ตนเองเพิ่มขึ้น


สรุปก็คือให้สำนึกเอาเอง ไม่บังคับ


พวกเราไม่เผด็จการ โดยเฉพาะอาตมานี่ ไม่ชอบบังคับ ที่ดูเหมือนจุกจิกจู้จี้ทุกวันนี่ ก็เพราะพยายามไม่บังคับนั่นเอง


จริงๆ แล้ว ปล่อยเกินไปด้วยซ้ำ


ใช่ ! เราปล่อยกันเกินไปด้วยซ้ำ จริงๆ แล้ว ที่อื่นเขาไม่ทำหละหลวม เหมือนอย่างอาตมาหรอก อาศัยว่า พวกเรามีศรัทธา ก็มาทำตาม อาตมาบอกเชิงอะไรๆ พวกคุณก็ทำตามเลย บางทีอยู่ข้างนอก ไม่มีเวลาอธิบายมาก ก็บอกเสียมาก ยังไงค่อยมาว่ากันข้างใน คุณก็เชื่อฟัง เพราะเข้าใจน่ะ ศรัทธาเลื่อมใสอยู่ มันก็เลยคล้ายๆกับว่าอาตมาสั่งการ แต่จริงๆลึกๆแล้ว พวกคุณน่ะหัวดื้อจะตาย ใช่ไหม พูดกันจริงๆแล้ว หัวดื้ออาตมาจึงต้องมาพูดปากเปียกปากแฉะ ซ้ำ ๆ ๆ อยู่อย่างนี้ แล้วก็พยายามมาขยายหาเหตุขยายผลให้มันชัดขึ้น ให้มันละเอียดลออขึ้นอยู่เสมอใช่ไหม

ค่ะ , เพราะเป็นสายปัญญา (เฉโก) เสียส่วนใหญ่ พ่อท่านก็เลยต้องเหนื่อยอธิบายซ้ำซากอยู่อย่างนี้

วันคือก็ล่วงไปทุกขณะ สิ่งที่ควรกระทำยังไม่ได้กระทำ สิ่งที่ควรทำให้ลุล่วงก็ยังไม่ได้ทำให้ลุล่วง จึงเท่ากับย่ำเท้าอยู่กับที่ไม่ไปไหน ...."ยังอยากจะอยู่อย่างนี้"

เอ้อ...เปลี่ยนซะทีดีไหม ตอนนี้เขากำลังฮิตเพลงใหม่ที่ว่า "ต้องดีกว่าเก่า" น่ะนะ

end of column
     

อันดับ ๑๔๒ สารอโศก มิถุนายน ๒๕๓๓