สิบห้านาทีกับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
สัมมาอาชีพ
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 152 เดือนมกราคม 2535
ฉบับ "สัมมาอาชีพ"

เวลาผ่านไปไวราวติดปีก "วันหนึ่งประเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวเดือน เผลอก็เลื่อนเดือนถึงเป็นหนึ่งปี" จริงๆ เลย

: ก่อนเข้าเรื่องสัมมาอาชีพ เราจึงขอคุยกับพ่อท่านถึงบรรยากาศปีใหม่ที่ปฐมอโศกสักเล็กน้อย

: ปีใหม่ปีนี้เป็นเครื่องพิสูจน์นะ แม้แต่เทวดาฟ้าดินก็ช่วยพิสูจน์ ฝนกระหน่ำมาเปียกแฉะ เละไปหมดเลย ที่ทางของเราก็กำลังปรับใหม่เสียด้วย ก็เลยเละกันใหญ่ ขนาดใช้ฟางคลุมก็แล้ว

แต่ถึงกระนั้น คนก็ยังมากันหนาแน่น คึกคัก ยังกระตือรือร้นมาช่วยงานกัน ร่วมมือกันแข็งขัน จนปลอดโปร่ง โล่ง เรียบร้อยดีไปหมด นั่นเป็นเรื่องเบื้องต้น นัยที่ละเอียดซ้อนลงไปก็มีผลสูงขึ้น พวกเราจริงจังกันมากขึ้น เข้าใจเป้าหมายของงาน มีน้ำหนักที่ชัดเจน กล้าทำในสิ่งที่มีคุณค่า มีการเสียสละ มีการสร้างสรร

งานปีใหม่ของปฐมอโศก ดูเผินๆ ก็เหมือนงานวัดทั่วไป จัดงานกัน ๓-๔ วัน แล้วก็มีกิจกรรมต่างๆ แต่เป็นงานวัดที่ต่างจากวัดอื่นๆ ทั้งหมด เพราะงานวัดอื่นเขาจัดหาเงินเข้าวัด วัดไหนเขาก็จัดงานเพื่อหาเงิน แต่วัดเรานี่ จัดเพื่อเสียเงิน เพื่อมาร่วมกันเสียสละ วัดก็จ่ายไปทั้งนั้น ไม่ได้เก็บค่าอะไร หรือเรี่ยไรใดใดเลย แถมใครจะมาร่วมงาน จะออกร้าน ก็มาจ่ายมาเสีย ไม่ใช่มาได้ มาสละกันจริงๆ

โดยเฉพาะตลาดอริยะ ปีหนึ่งเราก็มีทำการค้าชนิดพิเศษ เพราะการค้าขายมันก็เป็นงานของสังคม เป็นกิจการยิ่งใหญ่ในโลกที่มีอิทธิพลมาก สำคัญมาก

เราก็มาสร้างค่านิยม สร้างความจริง สร้างสิ่งดีงามขึ้น เป็นการค้าอย่างบุญนิยม ที่กระทำลงไปเพื่อพิสูจน์ยืนยัน เราทำมาแล้วกี่ปีๆก็ดูเจริญขึ้น ปีนี้ยิ่งดูเจริญขึ้น ต่างก็ตั้งใจทำให้ดีขึ้น สำหรับผู้เข้าใจดี

แต่กับผู้ยังเข้าใจไม่ดี ก็มีหละหลวมอยู่บ้าง หรือบางคนไม่หละหลวมหรอก แต่ทำได้เท่านี้ มีเรี่ยวแรงเท่านี้ เขาก็ทำเท่าที่เขาทำได้

โดยทั่วไปแล้วดี แม้จะมีคนมาคับคั่ง หรือแม้แต่จะมีมิจฉาชีพปนเข้ามา ก็ดูแลกันได้เรียบร้อย รู้ช่องที่ควรจะช่วยกันเรื่องไหน จนกระทั่งไปถึงเรื่องการเก็บขยะ ความรกเรื้อ เพราะงานที่มีคนไปร่วมเป็นพัน ขยะนี่ต้องมากมายก่ายกอง แต่พวกเราก็ทำได้เรียบร้อย เสร็จงานก็เรียบร้อย ดูไม่รกอะไรเลย ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นพัฒนาการของมนุษยชาติ

นอกจากนี้ก็มีกิจกรรมอื่นๆ มีการบรรยาย การให้ความรู้ เลี้ยงอาหาร แจกหนังสือ ประชุมแต่ละกลุ่มแต่ละกิจกรรม มาร่วมสังสรรค์ มีการรื่นเริงต่างๆตามรูปแบบของเรา สรุปแล้ว ปีนี้ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พัฒนาอย่างมาก

: มีข้อบกพร่องที่ควรแก้ไขบ้างไหมคะ

: อย่างตลาดอริยะก็มีข้อบกพร่อง ผู้มาออกร้านบางคนยังไม่เข้าใจถึงเป้าหมายหลักที่เราจะขายสินค้าจริงๆ บางคนเข้าใจเผินๆแต่ว่าจะมาขายของต่ำกว่าทุน แต่เขาไม่เข้าใจคำว่าต่ำกว่าทุน เขาเข้าใจว่าต่ำกว่าราคาที่เขาขายกันในท้องตลาด ทั้งที่ราคาที่เขาซื้อมามันก็ต้องต่ำกว่าราคาขายในท้องตลาดอยู่แล้ว การที่เขาขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด แต่ขายยังสูงกว่าราคาทุนที่เขาซื้อมา ซึ่งไม่ถูกต้อง มันต้องต่ำกว่าทุนที่ซื้อมาจริงๆ ไม่ให้บวกแม้แต่ค่ารถ ค่าโสหุ้ยอื่นใด

หรือบางคนเข้าใจแล้ว แต่จะขายต่ำกว่าทุนให้น้อยที่สุด เช่น ต่ำกว่า ๑ บาท แล้วก็อ้างว่า เพื่อจะได้เงินเยอะๆมาหักแบ่งทำบุญให้วัดให้มากขึ้น อันนี้เราก็ไม่ต้องการ วัดไม่คิดจะหาเงิน ไม่คิดจะเรียกร้องเอาจากพวกคุณ ต้องการให้คุณแสดงสภาพที่เสียสละ ต่ำกว่าทุนให้มากที่สุด ให้ย้ำยืนยันเป็นระบบบุญนิยมว่าเป็นไปได้จริง คุณเสียสละให้มากที่สุดกับลูกค้าตรงๆนั้น เป็นเป้าหมายใหญ่

หรือบางคนก็ไปเอาของเก่า ของรุ ของโละอะไรก็มาขายบ้าง ก็ยังดูแพง จริง,มันก็ดู ต่ำกว่าราคาตลาด แต่ก็เป็นของเก่า ซึ่งดูแล้วก็ซับซ้อนอยู่ อย่างนี้ก็มี

: แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

: เราก็ต้องค่อยๆทำความเข้าใจให้มันตรงให้รู้ชัดๆ ให้มันจริง แล้วก็พยายามระมัดระวังไม่ให้มีการแอบแฝงอีก พวกคนนอกที่มาร่วมขายสินค้า เราก็ต้องพยายามสืบให้ได้ว่า ราคาต้นทุนจริงเท่าไหร่ บางทีของซุกซ่อน มีตำหนิ มีอะไรเข้ามาแฝง ไม่ได้เข้าใจว่าเรามาทำอะไรอย่างแท้จริง เพียงแต่มาอาศัยตลาดเป็นการค้าของเขา ก็จะได้ป้องกันมากขึ้น ระมัดระวังมากขึ้น อาจต้องจัดคณะกรรมการ คณะทำงานให้มากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีมือมีแขน ที่จะไปทำงานพวกนี้มากพอหรือไม่

ถ้าทำได้ เราก็จะได้ตลาดอริยะตามที่เราต้องการมากขึ้น เราไม่ได้คำนึงว่าต้องการมากร้าน แต่เราต้องการร้านที่จริง ร้านที่เข้าใจบุญนิยมชัดๆให้ได้ แม้มันจะมีน้อยลง ก็จำยอม

: พ่อท่านเห็นว่า ตลาดอริยะมีประโยชน์ต่อพวกเราและต่อสังคมอย่างไร

: ประโยชน์พวกเรา ก็คือได้ขัดเกลาน่ะสิ ไม่ซับซ้อนเลย เห็นอยู่แล้วโต้งๆ ใครกล้าทำไหมล่ะ ใครเสียสละได้เท่าไหร่ก็เสียสละ ไม่ได้ไปบีบคั้น ไม่ได้ไปบังคับอะไร ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ตามฐานะของแต่ละคน ถ้าไปกู้หนี้ยืมสินเขามาทำ เราก็ไม่สนับสนุนหรอก ฐานะของตัวเองไม่ดีพอ แล้วก็ไปเดือดร้อนคนอื่น เราก็ไม่ประสงค์ให้ทำ

ต้องมีเรี่ยวแรง มีฐานะที่จะทำได้ นี่เป็นประโยชน์ตนชัดๆ ประโยชน์คนอื่นไม่เห็นจะต้องพูดเลย ขายของถูกกว่าทุน ไปพูดที่ไหน เขาก็เข้าใจ เขาก็รู้อยู่แล้ว ผู้ซื้อก็ได้ประโยชน์ไป

: เขาได้ของถูก แต่เขาก็โลภมากขึ้น เอารถมาขน มีการเวียนเทียน มาซื้อ ดีหรือคะ

: เราก็เข้าใจ เราก็ต้องแก้ไข เมื่อโลภมากขึ้น อยากได้ของถูก บางทีก็หาวิธีการซื้อไปไว้ขาย บางเจ้าขายต่ำกว่าทุนมากๆด้วย มันก็อยากได้ ความขี้โลภ เราก็รู้ ก็หาวิธีการ กำหนดชิ้น เข้าคิวต่างๆนานา มันก็มีวิธีการที่จะไม่ให้เขาสมความโลภของเขามากนัก เราก็เปรยปรายบอกกันว่าให้เห็นแก่คนอื่นบ้าง อย่าโลภมากนัก เตือนกันไปเท่านั้น เราจะไปแก้ไขคนมีกิเลสชั่วเดี๋ยวชั่วด๋าวได้ไง ขนาดพวกเราพัฒนากันอยู่นี่ พยายามลดกิเลสกันอยู่นี่ มันก็ยังยากเลย

: งานปีใหม่ที่ผ่านมา พ่อท่านเน้นคำว่า "สัมมาอาชีพ"มาก อยากให้พ่อท่านให้คำจำกัดความของคำว่า "สัมมาอาชีพ"

: สัมมาอาชีพ เราก็เรียนรู้จากพระไตรปิฎก จากคำสอนของพระพุทธเจ้า มิจฉาชีพก็อย่างในพระบาลีว่า กุหนา ลปนา เนมิตตกตา นิปเปสกตา ลาเภน ลาภัง นิชิคิง สนตา มันหมายถึงอาชีพที่ทุจริตมาก โกงกัน หรือว่าเลวร้ายไปกว่านั้นก็ได้ อาชีพที่มันผิด เราก็ต้องศึกษากันจริงๆ แล้วเมื่อพัฒนาขึ้นมา ฝึกปรือกัน มันก็เกิดผล

ทุกวันนี้ พอหยิบผลหรือพฤติกรรมที่เราได้พัฒนาจากทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้า คือ มรรคมีองค์ ๘ พอพัฒนาสังกัปปะขึ้น ความคิด วาจา การกระทำ การงาน จนกระทั่งถึงอาชีพ มีสัมมากัมมันตะ หรือสัมมาอาชีพ ในหลักเกณฑ์พวกนี้ เมื่อได้พัฒนาถูกหลักเกณฑ์ มรรคองค์ ๘ จะเจริญเป็นนิพพาน เจริญเป็นความสูงสุด แล้วผลมันจะสอดคล้องออกมาเป็นรูปธรรม ซึ่งคงพูดถึงหลักวิชาของปรมัตถ์ ตอนนี้ไม่ไหวหรอกนะ ต้องพูดถึงผลว่า สัมมาอาชีพ ยกตัวอย่างง่ายๆ เป็นงานการที่เราทำแล้ว ผู้ยิ่งเจริญด้วยสัมมาอาชีพ คือผู้ยิ่งเสียสละได้มาก ผู้ยิ่งไม่โลภโมโทสัน ผู้ยิ่งมีน้อยลง แต่มีประสิทธิภาพการงานสะพัดเกื้อกูล เอื้อเฟื้อสร้างสรร ทั้งคุณภาพก็ดี ปริมาณก็จะมาก ผู้คนจะได้รับประโยชน์จากผู้ที่ปฏิบัติสัมมาอาชีพได้มากขึ้นๆ

แต่สำหรับคนผู้นั้นเอง แน่นอน ไม่ร่ำรวย จน เพราะไม่สะสมกอบโกย ไม่เอาเปรียบ ไม่เอากำไรอย่างคนโลกๆ ไม่ไปรีดนาทาเร้น เพราะหลักเกณฑ์จริงๆแล้ว ถึงขนาด ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิง สนตา หมายความว่า อาชีพที่มีความสมบูรณ์สูงสุดก็คือ ฟรี...ฟรี...ค่าแรงฟรี ทำงานที่จะเสียสละให้ได้มากที่สุด ถ้าแลกเปลี่ยนก็แลกเปลี่ยนให้น้อยที่สุด จนกระทั่ง ถ้าสามารถต่ำกว่าทุนได้มากเท่าไหร่ ก็ทำให้ได้ ถ้ามันต่ำกว่าทุนไม่ได้ ก็เอาแค่พอหมุนเวียนซื้อขายกลับคืนมาบ้าง เพื่อจะได้สร้างสรรต่อไปเท่านั้น

แม้ทุกวันนี้ การทำงานของพวกเราจะดูไม่ใหญ่ไม่โต ไม่เป็นหลักฐานที่กว้างขวาง จนทุกคนเห็น หรือทุกคนได้ก็ตาม มันก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว ตอนนี้อย่างที่เราทำอยู่นี่ ก็มีสัมมาอาชีพตามนัยที่ว่าอยู่ พวกเรามาเสียสละสร้างสรรที่ตัวเรา มันซ้อนอยู่ตรงที่ว่า ตัวผู้ที่จะเสียสละนั้นฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยน้อยลง กินใช้น้อยลง ไม่เปลืองเปล่า ไม่เอาเวลาไปสุรุ่ยสุร่ายบำเรอตน เคยเที่ยวเตร่เฮฮาก็ลดลงมาได้ เอาเวลามาสร้างสรร ก็เกิดผลผลิต เกิดแรงงาน มีคุณค่าซับซ้อนออกไปได้มาก อาจจะยังไม่ ๑๐๐ % แต่ก็เป็นคุณค่าแล้ว ถ้ายิ่งไม่แลกเปลี่ยนอะไรมาเลย จนทำงานฟรีได้ ก็คือผู้ทำตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า สัมมาอาชีพ และมรรคองค์ ๘ จริงๆ

นี่เป็นการแก้ปัญหาที่โลกต้องการ สังคมต้องการ รัฐศาสตร์ต้องการ ผู้บริหารต้องการ มาแก้เศรษฐกิจ สังคมก็อบอุ่นไม่แตกแยก จะไม่มีช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนมากมายอย่างที่เป็นอยู่ จะไม่กดขี่ข่มเหง แย่งชิง ไม่เกิดอาชญากรรม ไม่เดือดร้อนด้วยเรื่องสารพัด และคนต้องมีอาชีพขยันทำงาน คนไม่ทำงานไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ไปนั่งหลับหูหลับตาพาซื่อตะพึดตะพือ แล้วหลงว่านั่นคือการปฏิบัติปรมัตถ์ปฏิบัติวิปัสสนา และไม่รู้เรื่องอะไร โลกเขาเป็นอย่างไรไม่รู้ แล้วก็บอกว่า "หลุดพ้นโลก" ...ไม่ใช่! นั่นลัทธิฤาษีอื่นๆ รู้ง่ายมีมากมาย และรู้กันโดยทั่วไป แต่สัมมาอริยมรรค ที่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นโลกุตระ นั่นลึกซึ้งและพิเศษกว่าสมาธิ กว่าทฤษฎีฤาษีอื่นๆทั่วไป

หลุดพ้นของพระพุทธเจ้า คือไม่เป็นกิเลสอย่างโลกๆ กิเลสอย่างโลกีย์เขา เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กิเลสมันหลุดจากจิตใจ มันไม่มี นี่แหละเรียกว่าหลุดพ้นจากโลกีย์ หลุดออกจากโลก แต่ยังอยู่ในโลก ยิ่งอยู่เหนือโลก ยิ่งช่วยโลก ยิ่งรู้จักโลกโลกวิทู รู้เท่าทันแล้วไปช่วยเขา เกื้อกูลเขา

ทุกวันนี้ มันไม่เป็นศาสนาพุทธที่เข้าร่องเข้ารอยกับที่พระพุทธเจ้าสอน มันกลายเป็นศาสนาฤาษีที่มีก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หลับหูหลับตาเข้าป่าเข้าเขาไม่รู้เรื่อง เขาจะเป็นยังไง จะมีอะไร ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา มันเรื่องของโลก ไม่ใช่เลย! ศาสนาพุทธต้องเกี่ยวข้องกับโลก แต่ไม่ได้ไปทำลาย อะไรที่มันไม่ดีก็ไปแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงทำให้ดีขึ้น นี่...ศาสนาพุทธ หลุดพ้นโลกอย่างชนิดมีคุณค่ากับโลกมหาศาลทีเดียว ส่วนที่จะละจะเลิกจะไม่ยุ่งไม่เกี่ยวก็มี ก็ต้องหัดเลิกละเป็นลำดับๆ ด้วย

: ตอนนี้มีสัมมาอาชีพอะไรบ้าง ที่พ่อท่านสร้างให้กับสังคม

: ตอนนี้ เราเน้นเข้าไปหาปัจจัยสี่ เรื่องอาหารการกิน สร้างข้าว สร้างพืช เราเน้นเข้าไปหาการกสิกรรมก่อน แล้วก็การค้าแบบบุญนิยม เพราะทุนนิยมนี่ทรมานมนุษยชาติมากมาย เราก็มาดำเนินบทบาทการค้าสัมมาอาชีพ ที่เป็นระบบบุญนิยมอย่างที่พูดไปแล้ว ส่วนที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ยังไม่จำเป็นเร่งด่วน

สมมติขณะนี้ เราผลิตหนังสือออกสู่สังคม เป็นหนังสือที่ให้คนไปศึกษา เพื่อให้พัฒนาตัวเอง เราผลิตหนังสือหลายระดับ จากกลุ่มของชาวอโศกนี่ เป็นการผลิตถึงขั้นแจกฟรี ทำมานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว พิมพ์หนังสือออกไปหลายล้านเล่มแล้ว แจกฟรีจริงๆ จนเขาหาว่าเรามีทุนรอนสนับสนุนมาจากไหน ซึ่งเราเอง เรารู้ดีว่า เราไม่ได้รับทุนจากไหน นอกจากรับตามระบบบุญนิยมของเรา เฉลี่ยจากพวกเรานี่แหละ มาทำบุญบริจาคกัน แล้วก็หนุนเนื่องทำไป เราได้แรงงานฟรีเป็นสำคัญ ถ้าคิดเป็นเงินจะมากทีเดียว ส่วนเงินค่าใช้จ่ายแท้ๆเดือนหนึ่งก็หลายแสนบาทอยู่ นิตยสารก็มีถึง ๕ เล่ม แล้วยังมีหนังสือย่อยอื่นๆอีกตามวาระ

นี่ก็เป็นงานสัมมาอาชีพ เป็นงานอาชีพระดับบุญนิยมอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ แรงงานฟรี ปลอดหนี้ ไม่มีดอกเบี้ย เฉลี่ยทรัพย์เข้ากองบุญ ที่เป็นหลักของสัมมาอาชีพขั้นสูง ขั้นสุดของเราอย่างสำคัญ

: อย่างพวกเราที่ทำงานชมร. จะถือว่าเป็นสัมมาอาชีพอย่างสูงได้หรือไม่

: ถือว่าเป็นขั้นสูงได้ แต่ยังไม่สุดหรอก พิมพ์หนังสือนี่เป็นระดับสูงสุด เพราะไม่ได้ขายเลย แจกฟรี ชมร.ยังขายเอาเงินแลกเปลี่ยนคืนมา ยังเป็นมิจฉาอาชีวะ หรือยังมีส่วนที่นับว่ามิจฉาชีพอยู่ ยังไม่สุด นี่ฟังแล้วน่ากลัว คนเข้าใจว่ามิจฉาชีพคือปล้นเขากิน ขี้โกง คอร์รัปชั่น อย่างนั้นก็ใช่ แต่มันหยาบ พื้นฐานเหลือเกิน มิจฉาชีพละเอียดขึ้น สูงขึ้นๆเป็นระดับมีอีกมากขั้น

อย่างชมร. ค่าแรงฟรี ก็ทำได้ระดับตรึงราคาขายถูก ที่จริงราคาขายมันต่ำกว่าทุนแน่นอน เพราะเราไม่ได้คิดค่าแรงงานเลย และหลายๆอย่างเราก็ได้มาจากการช่วยเหลือ จากอะไรๆมาหนุนอยู่ด้วย ซึ่งนับว่าเป็นการค้าขายระดับดีสุดก็ได้ เพียงแต่ยังไม่พ้นมิจฉาอาชีวะข้อสุดท้าย ระดับที่ ๕ เท่านั้น

พูดจริงๆแล้ว ชมร.ขายต่ำกว่าทุน แต่ยังแลกยังเปลี่ยนขาย ส่วนหนังสือเราแจกฟรีสู่ประชาชน สู่สมาชิก เป็นหมื่นๆหลายหมื่นคนแต่ละเดือน ส่งให้ฟรีด้วย อันนี้จึงเป็นอันดับหนึ่งของสัมมาอาชีพ พ้นแม้แต่การขาย การแลกเปลี่ยน

: แต่ในแง่ของคนทำงาน ทั้งของชมร. ทั้งงานหนังสือ และงานอื่นๆ แต่ละบุคคลนี่ เขาเสียสละจนไม่เอาค่าแรงเลย นับว่าเขาสัมมาอาชีพแล้วนะคะ

: ใช่! อันนี้ก็บอกแล้ว ผู้ที่พ้นมิจฉาชีพ ๕ นี่ ทำงานฟรี ไม่แลกอะไรเลย มันลึกซึ้ง อย่าว่าแต่แลกลาภเลย ไม่แลกยศ ไม่แลกสรรเสริญ ไม่แลกความฟูใจ ทุกอย่างเลย ก็ต้องหัดต้องฝึก ให้ละ ให้ขาดให้ได้จริง จนจิตว่างอย่างสงบ ทำงานอย่างรู้ขยันหมั่นเพียร เข้าใจคุณค่าประโยชน์ไปโน่นเลย นี่อธิบายไปถึงปรมัตถ์ที่สูงสุดแล้ว

: แต่คนไม่เข้าใจ ก็อาจคิดได้ว่า ทำงานหนังสือดีกว่า เหนือกว่า ได้บุญมากกว่าทำงานชมร. ที่ยังต้องขาย

: ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องช่วยกัน อันนั้นพูดโดยรูปของงานที่ออกสู่สังคมต่างหากว่า หนังสือเราบริสุทธิ์กว่าเพราะแจกฟรี แต่ชมร.ยังต้องขายแม้จะขายต่ำกว่าทุนก็ตาม และถ้าว่ากันที่จริงแล้ว ชมร.นี่งานหนักนะ เป็นการต่อสู้ที่หนัก แล้วก็หลายชั้น ได้เงินมาก็เอามาช่วยทำหนังสือแหละมาก เป็นกำลัง เป็นทุนรอนสำคัญของการทำหนังสือด้วยซ้ำ อาตมายังไม่ได้วิเคราะห์เลยนะว่า ทำงานอะไรได้บุญมากกว่า ตอบตายตัวไม่ได้หรอกว่า คนทำหนังสือกับคนทำงานชมร.ใครจะได้บุญมากกว่า

ถ้าพูดไปแล้ว ต้องคิดถึง ความสามารถ ความอดทน ความต่อสู้ ความถนัด ต้องมีองค์ประกอบอะไรอีกตั้งมากมาย ถ้าจะคิดค่าละเอียด ต้องคิดถึงค่าเศรษฐศาสตร์ด้วยความต้องการ(DEMAND) แม้แต่ค่านามธรรม จิตบริสุทธิ์ ปัญญา อะไรอีกตั้งเยอะ ที่เราไม่สามารถจะพูดลึกถึงรายละเอียดปานนั้นได้ตอนนี้ แต่ชาวชมร.ก็ตาม หรือคนทำหนังสือก็ตาม มันก็เป็นสัมมาอาชีพทั้งนั้นแหละ

: ทีนี้ ขอวกกลับเข้ามางานปีใหม่อีกนิด คือในงานเห็นมีพระอาคันตุกะมาร่วมบิณฑบาต และร่วมกิจกรรมอื่นๆด้วย ในขณะที่ก่อนหน้านี้ พ่อท่านให้การต้อนรับระดับหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ทำไมเปิดกว้างแล้วล่ะคะ

: เมื่อก่อนก็ไม่ได้ห้าม ตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง(คดีสันติอโศก) ท่านก็มา ถึงเกิดเรื่องแล้ว ท่านที่เข้าใจอยากศึกษา หรือยังศรัทธาอยู่ท่านก็มา เราก็เห็นว่าทางโน้นเขาห้าม ไม่อยากให้มาเกี่ยวข้อง เราเองก็ไม่อยากให้บาดหมางใจกันมาก เดี๋ยวจะหาว่าห้ามแล้วยังมาคลุกคลีเกี่ยวข้องเหมือนแกล้งประชด เหมือนหยามๆหยันๆ เราก็เลยขอร้อง ก็ชะลอก็แล้วกัน มาได้ แต่อย่าคลุกคลีมากนัก เกรงใจทางมหาเถรสมาคมเขาบ้าง

เมื่อเราพูดให้ท่านเข้าใจได้ ท่านก็มาบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สัมพันธ์เท่าที่เคย เราก็ถือว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ก็เสมอสมานกันไป แม้จะเป็นนานาสังวาสในบางสิ่งบางส่วน เราก็รู้รายละเอียดในข้อซึ่งพระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ อะไรร่วมได้หรือไม่ได้ตามควร

ตอนนี้มันก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว เราก็เห็นว่าทางโน้นก็น่าจะลดราวาศอกกันได้แล้ว เราก็ต้องการลดราวาศอกไปสู่การสร้างสรร การพัฒนาจริงๆ ก็เอาละ ในเมื่อมีผู้ปรารถนามาศึกษา มาสังสรรค์ มันก็ควรแก่เวลาที่จะ"เปิด"ได้แล้ว ก็เลยเปิด เริ่มปี ๒๕๓๕ นี่แหละ

: แล้วถ้าจะมีคำครหามาล่ะคะ

: เราไม่ได้ทำผิด เราทำด้วยความถนอมน้ำใจมาโดยตลอด แล้วก็ไม่ได้ไปยั่วเย้า ปลุกเร้าอะไร ท่านมาเราก็ต้อนรับ การต้อนรับมันก็เป็นมารยาทสังคมธรรมดา การช่วยเหลือเกื้อกูล ก็เป็นเรื่องของคุณความดีไม่ใช่หรือ จะห้ามกั้นอะไรกันนักหนา

 

ค่ะ ก็เป็นอันเข้าใจแจ่มแจ้ง ทั้งเรื่องของสัมมาอาชีพ และหลักการหรือความเปลี่ยนแปลง (ในทางที่ดีงามขึ้น) ทั้งหลายทั้งปวง ทุกอย่างมีเหตุมีผล ต้น-กลาง-ปลาย เรียงลำดับงดงามดั่งร้อยมาลัย ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อน อยู่แต่ว่าเข้าใจกระจ่างแล้วก็"ทำ"เท่านั้นเอง และสิ่งที่สังคมต้องการอย่างยิ่งก็คือ "บุญนิยม" จากผู้ประกอบการที่เป็น "สัมมาอาชีพ" จริงๆ


end of column
     

๑๕ นาทีกับพ่อท่าน ตอน.. สัมมาอาชีพ (อันดับ ๑๕๒ สารอโศก ม.ค. ๒๕๓๕)