สิบห้านาที กับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
สร้างสมดุลธรรมชาติ
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 164 เดือนสิงหาคม 2536

บทสัมภาษณ์วันนี้ จะนำท่านผู้อ่านพบ กับความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ของธรรมชาติ และ การอยู่เหนือธรรมชาติ เพื่อเข้าใจถึงการสร้างธรรมชาติให้ถูกตรง จากท่านสมณะโพธิรักษ์ ผู้ซึ่งไม่เพียงอธิบาย ชี้แนะ สอน ให้ความสว่างแก่ดวงปัญญา แต่ท่านยังพาทำ นำทำ ควบคู่ไปด้วย

: ขณะนี้ธรรมชาติเสียสมดุลไปแล้ว อยากทราบว่าเราจะมีวิธีสร้างธรรมชาติให้คืนกลับมาอย่างไรคะ

: ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักความหมาย ของคำว่าธรรมชาติเสียก่อน คำว่าธรรมชาติหมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้น ทรงไว้ช่วงหนึ่ง แล้วก็เสื่อมไป หมุนเวียนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เป็นวัฏสงสาร ธรรมชาติ จึงหมายถึงสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น สำหรับสิ่งที่ไม่มี ไม่เป็น ไม่ทรงไว้นั้น โดยทั่วไปก็คือ สิ่งที่มันผ่านออกไป ถึงมันดูเหมือนไม่มีไม่เป็น ก็เป็นเพียงแค่ความไม่มีไม่เป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อาจจะห่างเว้น หรือ ระงับอยู่นานหน่อย และ หรือ นานมาก กระทั่งนานจนหลงว่านิรันดร์ก็มีการหลงผิดได้ แต่จะไม่ให้มีไม่ให้เป็นอย่างสุญสนิทแน่ๆ แท้จริงนั้น มีแต่ที่พระพุทธเจ้าค้นพบเท่านั้นก็คือ สภาพที่ดับสนิท ของกิเลสที่หยุดเกิดแท้จริง เรียกว่านิโรธ หรือ นิพพาน ซึ่งสภาพอย่างนี้แหละที่ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่ อยู่เหนือธรรมชาติ (โลกุตระ = เหนือความวนเวียน) คำว่า นิโรธ นิพพาน หรือ สูญตา หรือ แมัจะเอาคำว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่มีตัวไม่มีตนมาใช้เรียกสภาวะก็ได้ มันพอที่จะเป็นคำแทนกัน เข้าใจเหมือนกัน

ดังนั้น คำว่า นิโรธแบบพุทธ (ไม่ใช่นิโรธฤาษี หรือ มิจฉานิโรธ) นิพพานแบบพุทธ (ไม่ใช่มิจฉานิพพาน) อนัตตาปรมัตถสัจจะ (ไม่ใช่อนัตตาตรรกะ หรือ อนัตตาสมมุติสัจจะ แต่เป็นความไม่มีตัวตน ของกิเลสเกลี้ยงบริสุทธิ์) สุญตาแบบพุทธ (ความไม่มีกิเลสเกิดอีกสนิท ไม่ใช่ความไม่มี ของสสารและพลังงาน สภาวะเหล่านี้เท่านั้น (มีคำเรียกอื่นอีกบ้าง) ที่ ไม่ใช่ธรรมชาติ

ส่วนสภาพที่มีอยู่ ทรงอยู่ ล้วนแต่เรียกว่าธรรมชาติทั้งสิ้น ธรรมชาติสำคัญที่ไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งมนุษย์ควรศึกษาเพื่อพัฒนาตนเป็นผู้ประเสริฐแท้เป็นอาริยชน ก็คือวัฏสงสาร อันมี อากาส) ความว่าง หรือ ความไม่มี หรือ ช่วงว่าง-ช่องว่าง ซึ่งล้วนไม่ใช่สูญ เป็นความว่าง หรือ "ความไม่มี" ช่วงหนึ่งขนาดหนึ่ง (และ วิญญาณ ประกอบด้วย ซึ่งหมุนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไปมาไม่รู้จักจบ เกิดขึ้น โตขึ้น แล้วก็เสื่อมไป สูญไปชั่วคราว ดีบ้าง ชั่วบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง อะไร อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าเป็นธรรมชาติ

ต่อเมื่อผู้ใดได้ปฏิบัติจนเกิดผลถูกต้องตรงตามพุทธ กระทั่งเป็นสภาวะนิโรธ, นิพพาน, อนัตตา, สุญตาแล้วก็เป็นอัน สิ้นธรรมชาติ หมดวัฏสงสาร

ที่นี้ธรรมชาติในความหมาย ของดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นสสารและพลังงาน หมายถึงสิ่งที่เราจะเอาไปเป็นวัตถุสมบัติ ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเราจะสร้างเราก็ควรสร้างธรรมชาตินี้ ให้ทรงไว้ด้วยดี ถ้าเราจะสร้างดิน น้ำ ลมไฟ เราก็ต้องเข้าใจดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ดี ว่ามีองค์ประกอบอย่างไร จึงจะเป็นธรรมชาติที่สมดุลสมบูรณ์ และ ควรจะพัฒนาอย่างไร จึงจะไปสู่ทิศทางที่ประเสริฐ ซึ่งก็จะต้องประกอบไปด้วยชีวะที่เป็น cell ตั้งแต่การก่อเกิด ของธรรมชาติที่เป็น cell เดียว แล้วพัฒนาเป็นหลาย cell เป็นพืชเป็นสัตว์ เป็นชีวิตต่างๆ แล้วชีวิตก็มาสร้างอะไรต่ออะไรขึ้นมากมาย ก็คือความเกิดขึ้น ของธรรมชาติ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติ ของสสารและพลังงาน แม้จะมีวิญญาณร่วมอยู่ด้วยก็เป็นวิญญาณที่ไม่พ้นอวิชชาสังโยชน์จริง ธรรมที่ยังเป็นธรรมชาติยังมีชาติมีเกิด จึงเป็นธรรมชาตินิรันดร์ คือ วนเวียนเป็นวัฏสงสารอยู่นิรันดร์ เพราะดับวัฏสงสารทางวิญญาณไม่ได้สนิทจริง

การพ้นธรรมชาติ ตัดนิรันดร์ได้จริง ตัดความหมุนเวียน ของวัฏสงสารทางวิญญาณ ทางกรรมวิบากตามที่ศาสนาพุทธสอนเรา ถ้าเพื่อว่าพัฒนาให้มันถึงขั้นนิโรธ หรือ นิพพานเป็นตัวสุดท้าย สูญได้ ไม่วนไม่เวียนอีก ดับสนิท ไม่เกิดอีกเลย เป็นปรินิพพาน (ดับสูญสิ้นรอบ หยุดวนทั้งสสารพลังงานและวิญญาณที่เป็นตนเป็น ของตน) ดับรอบ ดับสิ้น ไม่หยั่งลงสู่ครรภ์ หรือ ไม่มีไม่เป็นอย่างนั้นอีก โดยเฉพาะวิญญาณ เป็นภาวะ ของการปรินิพพาน สิ่งนั้นก็จะ หมดความเป็นธรรมชาติทางวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ และ เป็นสิ่งสูงสุดที่ศาสนาพุทธ เห็นว่าควรมี ควรเป็น ในด้าน ดับสูญ ให้ได้ จน พ้นความเป็นธรรมชาติ

ที่นี้กลับมาถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ถ้าจะทรงอยู่ หมุนเวียนอยู่เป็นวัฏสงสาร ก็ควรจะทรงอยู่ หรือ หมุนเวียนอยู่อย่างดี อย่างประเสริฐ อย่างเป็นสุข หรือ ว่าไม่ทุกข์ ทรงอยู่อย่างมีคุณค่า มีประโยชน์ แม้แต่ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ วัตถุรูป เป็นพีชะ เป็นชีวะ ในระดับชีวะ cell เดียว หรือ หลาย cell ของพืช ของสัตว์ ของมนุษย์ ก็ล้วนแต่เป็นชีวะที่เราจะต้องเรียนรู้ว่า มันควรจะทรงอยู่ได้อย่างไรถึงจะดี ต้องศึกษาจริงๆ ว่าจะจัดสรรให้มันทรงอยู่อย่างดี อย่างที่เราเข้าใจได้อย่างไร เราอยากให้ดิน น้ำ ลม ไฟ มันทรงอยู่อย่างไร ถึงจะไม่เป็นมลพิษ สะอาด สะอ้าน เป็นที่อาศัย เป็นที่พึ่งพา ของสัตว์โลก และ ให้มนุษยชาติได้อาศัยอย่างปลอดภัย อยู่อย่างเป็นสุข อยู่อย่างมีคุณค่า อยู่อย่างดีงาม ทั้งอุดมสมบูรณ์ ทั้งไม่มีพิษ ไม่มีภัยด้วย อะไรต่างๆ นานา แล้วเราก็ทำขึ้นมาให้เหมาะสมจริงๆ

แม้กระทั่งสิ่งต่างๆ ที่คนเราสร้างขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติด้วย สร้างบ้านช่องเรือนชาน สร้างตึก สร้างเทคโนโลยี สร้างให้มี ทำให้เกิดมาทั้งนั้น สร้างอะไรก็เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะเป็นสิ่งที่ทรงอยู่ เป็นสิ่งที่เกิดอยู่ วนเวียนอยู่ ตั้งอยู่ ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็เสื่อมไป ธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้นเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา เพื่อจะได้สร้างมันให้ดี ให้มีคุณค่าอย่างเหมาะสมอย่างสมดุลสมบูรณ์

แม้แต่ที่สุดกระทั่งตัวเราเองที่เป็นส่วนหนึ่ง ของความเป็นธรรมชาติ ซึ่งเราจะต้องเกิดวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารที่ยาวนานจะกี่ กับกี่กัลป์ กี่สิบชาติ ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ ล้านชาติ ถ้ารักที่จะวนเวียนรักที่จะเป็นธรรมชาติ (คือไม่ปรินิพพาน) ยังไม่รักจะสูญดับสนิทสิ้นรอบเป็นปรินิพพานแล้วละก็ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่ง ของธรรมชาติ ที่หมุนอยู่เช่นนี้ตลอดไป แมัจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังไม่ตายปรินิพพาน พระอรหันต์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของธรรมชาติอยู่

เรา จึงต้องศึกษาและทำตนเอง ทำชีวิต ของเรา ทำวิบากกรรม สร้างกรรม สร้างวิบาก สร้างกัมมัสสกตา อันคือ สร้างกรรมที่เป็น ของตนๆ และ จะเป็นมรดก ของตน(กรรมทายาท) กรรมโยนิ อันหมายถึงสิ่งที่จะพาเราไปเกิด กรรมพันธุ์เป็นเผ่าพันธุ์ ของเรา ตลอดจนกรรมปฏิสรโณ คือเป็นสิ่งที่เราจะได้อาศัย ถ้าเราสร้างกรรมให้ดี ให้เป็นกุศล ให้เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ที่ดี สร้างสมเอาไว้เป็นทรัพย์แท้ เราก็จะวนเวียน เกิดเป็นวัฏสงสารที่ดีเป็นธรรมชาติที่ดี เป็นคนดี วนเวียนอยู่ในสิ่งที่ดี จนกว่าเราจะพบลู่ทาง ที่จะดับเป็นนิโรธ หรือ นิพพาน และ ไปพ้นจากความเป็นธรรมชาติทั้งหลาย

: ในแง่ ของชาวอโศก เราจะช่วยสร้างธรรมชาติได้อย่างไรคะ

: ดังที่บอกแล้ว ให้เรียนรู้ตั้งแต่ "ชีวิต" ที่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรจะพัฒนา ให้สร้างกรรม สร้างวิบากที่ดีให้แก่ตนให้แก่โลก เพราะว่ากรรมวิบากนี้เป็นสิ่งอาศัย เป็นสิ่งพาเกิด เป็นมรดก เป็น ของ ของตนที่แท้ เพราะฉะนั้นจะต้องรู้สึกกุศลวิบาก กุศลกรรม แล้วเราก็ต้องสั่งสมสิ่งที่เป็นกุศลนี้ ส่วนอะไรที่เป็นอกุศลวิบาก อกุศลกรรม ต้องลด ต้องหยุด ต้องเลิก ต้องไม่ทำแม้น้อย แม้นิดจนได้ เราต้องฝึกทำให้ได้จริงๆ ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราเชื่อความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า มี "ตถาคตโพธิศรัทธา" เชื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสอนเราอย่างที่ว่านี้ ว่าคนเรามีกรรมวิบากเป็น ของตน ก็ต้องพยายามสั่งสมกุศลกรรมอย่างแท้จริง จะได้มีชีวิตที่เป็นธรรมชาติ ที่หมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างดีอย่างสมดุลสมบูรณ์

หรือ จนกระทั่งเรียนรู้ทางด้านตรงตรงกันข้าม กับธรรมชาติที่จะต้อง"ดับ" ดังที่ได้พูดมาแล้ว เพราะศาสนาพุทธเรามีจุดถึงขั้น "ดับสนิท" ได้อย่างพิเศษ ดับการเกิดกิเลส ดับอกุศลทั้งปวง เพื่อเป็นนิโรธ นิพพาน หรือ ปรินิพพาน รู้จักวิธีที่จะนิพพาน รู้จักวิธีที่จะปรินิพพาน และ ทำให้ได้ ทำให้เป็นจริงๆ เมื่อสามารถทำความดับได้แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่สิทธิ ของเราว่าต้องการจะเกิดอยู่อีก เพื่อช่วยสร้างธรรมชาติที่ดีอยู่อีก (เป็นพระโพธิสัตว์) หรือ ต้องการจะดับไปเลย (เป็นพระอรหันต์) ก็สามารถที่จะเลือกได้

การเรียนรู้ธรรมชาติ ของพฤติกรรม ของคน จึงเป็นสิ่งสำคัญ พฤติกรรมในที่นี้หมายถึง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่จะต้องเป็นกุศล เป็นสุจริตลึกซึ้ง ต้องเรียนรู้ ต้องเข้าใจรู้ว่าดีคืออะไร กายกรรมที่ดี เป็นกายกรรมที่เป็นสัมมา หรือ เป็นกายกรรมที่เป็นสุจริต มีกิเลสประกอบด้วยในกายกรรมนั้นๆ หรือ ไม่ เป็นกุศลมีลักษณะอย่างไรเราต้องศึกษา วจีกรรมก็เหมือนกัน ที่เป็นกุศล ที่เป็นสุจริต ที่เป็นสัมมา มีลักษณะเป็นอย่างไร ตลอดจนมโนกรรมก็เช่นเดียวกัน อะไรที่เป็นอกุศล เป็นทุจริต เป็นมิจฉา ก็ต้องเรียนรู้ แล้วพยายามเลิกละ ตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เพื่อใหัตนเอง มีความหมุนไปตามธรรมชาติที่ดี และ มีจิตวิญญาณที่จะรู้จักนิโรธ รู้จักนิพพาน และ ฝึกตนจนได้นิโรธ-นิพพานด้วย ยังกุศลให้ถึงพร้อมด้วย รู้จักกุศล ของสมมุติสัจจะว่าเป็นอย่างไร แล้วก็สร้างสรรธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ ให้งอกงาม ให้เป็นสิ่งที่สมดุลสมบูรณ์

แม้แต่ที่สุดในเรื่องการกระทำ หรือ การงาน เราก็ต้องศึกษาซ้อนลงไปว่า มีกิจกรรม กิจการงาน ที่จะสร้าง จะสรรขึ้นมา ให้ดีให้เป็นสัมมากัมมันตะ และ สัมมาอาชีวะได้อย่างไร ต้องศึกษาว่า สร้างอันนี้ ผลิตอันนี้ขึ้นมาให้แก่สังคม ให้แก่มนุษยชาติ ให้มันทรงไว้ในมนุษย์ มนุษยชาติจะได้พี่งพาอาศัย ไม่เป็นภัยและเป็นคุณค่าประโยชน์อย่างแท้จริง หรือ ไม่ จะให้มนุษย์อยู่กันอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่แย่งชิงกัน เพราะความขาดแคลน หรือ ไม่ตีรันฟันแทงกันให้เดือดร้อนจะทำอย่างไร หรือ แม้แต่จะอาศัยพิธีกรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่มนุษย์ต้องอาศัย เป็นจารีตประเพณี หรือ เป็นวัฒนธรรมอะไรต่างๆ จะสร้างพิธีกรรม จารีตประเพณี หรือ วัฒนธรรมที่ดีขึ้นมาให้มนุษย์พึ่งพาอาศัยได้อย่างไร

ในที่สุด แม้แต่ธรรมชาติส่วนที่เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่จำเป็นต้องอาศัย ก็ต้องทำให้ดีขึ้นมา ทุกวันนี้ ดินมันแย่ ดินมันเสีย ดินมันเลว ดินมันเป็นมลภาวะ น้ำก็เสีย น้ำก็เน่า อากาศก็เสีย อากาศก็เลว ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างๆ กำลังเสีย เราจะต้องเรียนรู้ว่าควรปรับปรุงอย่างไร ให้ดินก็ตาม น้ำก็ตาม ลมก็ตาม อากาศธาตุก็ตาม เป็นสิ่งที่สะอาดสะอ้าน มีคุณค่า ไม่มีมลพิษ จะปรับปรุงดิน น้ำ ลม ไฟอย่างไร จึงจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เป็นกุศล เป็นสิ่งที่สุจริต แล้วเราก็ลงมือผลิต ลงมือกระทำกันจริงๆ ไม่เอาแต่รู้เอาแต่เกี่ยง ต้องลงมือทำ ลงมือสั่งสม ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้มันดี สิ่งที่ยังไม่ดี ก็พยายามแก้ไข เปลี่ยนแปลง

หรือ แม้แต่พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง กับสังคม การอยู่กันอย่างสมัครสมาน ของทั้งคน ทั้งสัตว์โลก ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ พืชพันธุ์ ธัญญาหาร จิตวิญญาณ อะไรต่างๆ นานา ที่ต้องพึ่งพาอาศัยอยู่รวมกันในธรรมชาติ ของโลก ในสิ่งแวดล้อม ของโลกพวกนี้ ควรจะปรับปรุงอย่างไร จึงจะเป็นไปในทิศทางที่เป็นกุศล สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ต้องศึกษา เพราะซับซ้อน ลึกซึ้ง กุศล หรือ สุจริตที่สูงขึ้นๆ จะมีทั้งสภาวะ "สัจจะย้อนสภาพ" และ ทั้ง "สัจจะที่ทวนกระแสสามัญ" แต่ก็เป็นสัจธรรมเป็นกุศลแท้

ซึ่งอาตมาก็แนะนำว่า อะไรมันดีแท้ อะไรเป็นธรรมชาติที่ดี ที่ควรพยายามเสริมสร้างกระทำและมีมากขั้นมากระดับสลับซับซ้อน อะไรเป็นธรรมชาติที่ไม่ดีควรพยายามเลิกละ ก็พยายามนำพากันทั้งให้เลิกละทั้งให้ทำขึ้นมา พัฒนาให้มันดีขึ้นมามากๆ

: พ่อท่านคะ ตัวอย่างเรื่อง ของการเสพกาม การแต่งงาน สร้างครอบครัว ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่อง ของธรรมชาติ จะต้องมี แต่ในภาวะที่คนล้นโลก ธรรมชาติในส่วนนี้ ยังควรจะรักษาไว้ หรือ ไม่คะ

: ในภาวะที่คนจะล้นโลก โดยหลักเศรษฐศาสตร์ไม่มี Demand ไม่มีความจำเป็น หรือ ไม่มีอุปสงค์ที่จะต้องสร้างขึ้นมา ก็ไม่ควรจะ Supply แล้วด้วยจริงๆ เพราะฉะนั้นธรรมะ ของพระพุทธเจ้า จึงทันสมัย ล้ำสมัยมานาน เพราะท่านป้องกันคนที่จะเกิด โดยไม่ต้องไปคุมกำเนิด แต่ให้คุมกำหนัด แต่ท่านก็ไม่ได้ไปปิดกั้นเลยทีเดียว ถึงแม้เราจะสร้างคนอยู่ ศีล ๕ ก็มีคู่ผัวตัวเมียได้ มีผัวเดียวเมียเดียวก็พอ มีผัวมีเมียนั้นพระพุทธองค์ทรงสอนไวัชัดว่า มันทุกข์ เมื่ออดลดไม่ได้สุดวิสัย ก็มีผัวเดียวเมียเดียว มันไม่พาทุกข์พาร้อนมากเกินไปกว่านั้น ก็เป็นขีดต่ำสุดแล้วนัก แต่ก็ควรเรียนรู้ลดกิเลสไปอีกด้วย

มาตรฐานขั้นต้นเป็นอาริยะ เป็นผู้ประเสริฐในขั้นโสดาบัน คือ ผู้มีศีล ๕ จริง มีมรรคผล ของศีล ๕ มีผัวมีเมียได้ สูงกว่านั้นขึ้นมา ดียิ่งขึ้นมาก็มีศีล ๘ เป็นมาตรฐาน ของสกิทาคามี ซึ่งลดความโลภ ลดกามให้น้อยลง ไม่ต้องเสพ ไม่ต้องสมสู่ เมื่อรู้ความจริงอันนี้ด้วยปัญญา รู้ว่าดีที่สุด ก็ไม่ต้องไปมีอันนั้น ทุกวันนี้เขารู้เหมือนกัน ไม่ใช่เราจะไม่รู้ แต่เราใช้วิธีคุมกำเนิด ด้วยวิธีต่างๆ นานา ทั้งทางวิทยาศาสตร์ และ ทางโน้นทางนี้ ซึ่งมันก็ได้ผลบ้าง แต่มันไม่จริงหรอก มันไม่มีประสิทธิภาพที่สมบูรณ์ดีเท่า กับการคมกำหนัด หรือ ปฏิบัติตนให้ลดความกำหนัดราคะได้กันแท้ๆ ถ้าคุมกำหนัดเป็นผลสำเร็จจริงๆ แล้ว มันจะไม่บกพร่อง ไม่เกิดภาวะที่ร้ายกาจอะไรเลย ที่จะไม่ต้องเปลืองไปผลาญอะไร

คนในโลกอีกหลากหลายไม่สามารถลดละกำหนัดราคะได้ที่ทำให้เด็กเกิด มันก็มีปริมาณที่มากเกินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปเสริมสร้างให้มันหนักหนาสากรรจ์แก่โลกเพิ่มอีก จนคนต้องแย่งชิง ต้องกระเบียดกระเสียรกันอย่างทุกวันนี้ เพราะคนจะล้นโลกอยู่แล้ว ไม่สมดุล กับธรรมชาติกันแล้ว ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นคนผู้ประเสริฐ เป็นคนที่จะช่วยโลก ช่วยสังคม ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้องแท้จริง

: เรื่อง ของการเสพกาม เขาสอนกันว่า ถ้าไม่มีการเสพกาม ก็จะทำให้เกิดสภาพจิตที่ไม่ดี ไม่สมบูรณ์ เขามองกันว่าจะเป็นเรื่องทำให้เกิดโรคภัย เกิดความเครียดขึ้นได้ เพราะไปฝืนธรรมชาติ พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรคะ

: ใช่ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องจิตอย่างลึกซึ้งแล้ว เขาก็จะรู้สึกไม่ดี เป็นความเข้าใจ ของเขาเอง มันเป็นความที่เข้าใจยังไม่ทะลุ รู้แจ้งรู้ชัดในกิเลสในจิตวิญญาณ ในความจริงความหลอก ยังไม่เข้าใจรอบถ้วน เขาก็ยึดอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ติดอกติดใจ เมื่อมีภาวะค้านแย้งก็เกิดลังเล เกิดภาวะที่ไม่มั่นใจ ไม่ชัดเจน ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จบ ของเขาเอง ก็เป็นภาวะที่เป็นโรคทางจิตได้ แต่ถ้าผู้ใดเข้าใจจิตอย่างถูกต้องอย่างดี บริสุทธิ์รอบถ้วนแล้ว จะไม่มีการเป็นโรคทางจิต ไม่เกิด Conflict อะไรเลย ไม่เกิดการขัดขวาง โต้ต้านอะไรเลย จะเข้าใจ "ความจริง ของความจริง" สอดคล้องเป็นสัจจะที่ลงตัว เพราะความหลอกที่คนยังหลงติดอยู่ก็เป็นความจริงชนิดหนึ่ง

: การที่พ่อท่านเน้น เรื่องปลูกพืชผัก ผลไม้ ปลูกข้าว เป็นการช่วยสร้างธรรมชาติ หรือ ไม่คะ

: นี่เป็นทิศทางที่อาตมาจะพาพวกเรา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาวอโศก แต่ใครก็ตามที่ยินดีจะมาเข้าใจเพื่อเร่งรัดพัฒนาสร้างสิ่งนี้ อาตมาถือว่า สิ่งนี้เป็น Demand สิ่งนี้เป็นอุปสงค์ สูงมากในสังคม และ ควรจะต้อง Supply ควรจะอุปทานลงไป ควรจะช่วยกันรณรงค์สร้างมันขึ้นมา ให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น เพราะมันเสื่อมสลายไปมากแล้ว โดยเฉพาะทางค่านิยม ทางจิตวิญญาณ แล้วมันก็กลายเป็นสิ่งที่หลงใหลได้ปลื้ม เป็นสิ่งที่มอมเมา เป็นสิ่งที่ทำลายซ้อน มีค่าแฝง มีค่าข้างเคียง ที่ทำลายมนุษย์อยู่มาก

ทุกวันนี้เรากินข้าวที่มีมลพิษ เรียกว่ามีผลข้างเคียงที่เป็นพิษ กินผัก กินพืช ผลไม้ ก็มีพิษ เป็นต้น หรือ แม้แต่เสื้อผ้าหน้าแพร เครื่องใช้ไม้สอย ก็ประกอบไปด้วยสิ่งที่เป็นพิษข้างเคียง ถ้าศึกษาลึกๆ เราก็ไม่ต้องไปรับสิ่งเหล่านั้นมา หรือ ไม่พยายามส่งเสริมให้มันเกิดขึ้นมาก แต่มาส่งเสริมในทิศทางการผลิตที่ช่วยลดมลพิษให้น้อยลงๆ แทน

โดยเฉพาะด้านภูมิปัญญาที่จะรู้เท่าทันค่านิยม รู้แจ้งในสัจจะความจริงถึงสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ ทีมนุษย์พึงทำ ว่าอะไรสำคัญแท้สำคัญรอง มีคุณค่าแท้คุณค่ารอง ควรรู้ความสำคัญในความสำคัญให้ถูกตรง

: อย่างกรณีพ่อท่านนำพาให้พวกเรามากำจัดขยะเป็นการช่วยสร้างธรรมชาติใช่ไหมคะ

: ใช่...เรื่องขยะเป็นเรื่องมลพิษที่ร้ายแรง เป็นมลภาวะที่เราจะต้องรู้จักมันว่าอะไรเป็นขยะ ซึ่งขยะมันมีหลายระดับ หลายชั้น ที่ต้องศึกษา อะไรเป็น ขยะแท้ ถึงขั้นที่ตัองกำจัด เราก็ศึกษาให้รู้จริงแล้วพยายามกำจัด หรือ พยายามอย่าสร้างขึ้นมา ส่วนที่เป็น ขยะเทียม ก็หาวิธีหมุนเวียน ใช้ประโยชน์ให้มันได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูง ประโยชน์สุด เราจะต้องอยู่กันอย่างไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ผลาญพร่าเกินไป เพราะว่าโลกทุกวันนี้ วัตถุดิบ หรือ ทรัพยากร ของโลก มันร่อยหรอไป มันไม่พอ กับคน ที่เกิดมาจำนวนมาก สิ่งที่หมุนเวียนแม้แต่พลังงานในธรรมชาติ มันก็หมุนเวียนมาให้เราได้ใช้ไม่ทัน ถึงมีพลังงานที่วิทยาศาสตร์เข้ามาเสริมสร้างอีก แต่คนก็ยังไม่ฉลาดพอ และ ยังอุตส่าห์หนักหน้าในการทำลาย เพราะฉะนั้นเกิดทั้งสิ่งที่ทำลาย เกิดทั้งมลพิษ เกิดทั้งขยะอะไรต่างๆ นานา ตั้งแต่ขยะง่ายๆ ขยะซับซ้อน จนกระทั่งขยะทางจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้และกำจัดขยะเหล่านี้

เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ของธรรมชาติ และ การอยู่เหนือธรรมชาติแล้ว การจะเข้าถึงความจริงในธรรมชาติจนอยู่เหนือธรรมชาติได้อย่างแท้จริง จึงขึ้นอยู่ กับขีดความสามารถ ภูมิปัญญาและความพากเพียร ของแต่ละคน แต่ทุกขั้นตอนนั้น เราทุกคนมีส่วนช่วยสร้างธรรมชาติอยู่ด้วยทั้งสิ้น ซึ่งเป็น "ธรรมชาติที่เลวร้าย" นั่นแหละเป็นส่วนมาก โลกใน พ.ศ. นี้ จึงเหลือ "ธรรมชาติที่ดี" กันเพียงเท่าที่คุณๆ เห็นกันอยู่นี่เอง

"เชื่อไหมล่ะ? ว่าในเมืองกรุงทุกเมืองคือ เมือง "ที่เจริญ" ไปด้วยธรรมชาติ ที่เลวร้ายโดยคนนั่นเองช่วยสร้าง!"

ทีมข่าว สมอ.
end of column

(อันดับ ๑๖๔ สิงหาคม ๒๕๓๖)