สิบห้านาทีกับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
พุทธาภิเษก’๓๔ (สวนฟ้านาบุญ)
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ ??? ฉบับ เดือนเมษายน 2534
หน้า 2/2

ทีนี้มาถึงเรื่องภายในสันติอโศกบ้าง พ่อท่านคิดอย่างไรจึงทำลำธารน้ำตกที่กลางศาลาฟังธรรม?

เรา จะเน้นธรรมชาติ ให้มันมีธรรมชาติ ให้มีการสัมผัสกับน้ำไหล มีหิน ดิน ทราย ต้นหมาก รากไม้ มีธรรมชาติที่เข้ามาอยู่กับเรามากๆ แม้สิ่งที่เราเห็นว่ามีราคาแพง เราก็ยังเสียสละให้แก่ธรรมชาติได้

เราเจตนา จะยกค่าของธรรมชาติให้ยิ่งกว่าทอง เรามีทอง เราก็อุตส่าห์เสียสละแลกกับธรรมชาติ เรามีหัวใจ เราก็ผ่าหัวใจให้ธรรมชาติได้ แม้อะไรที่มันยิ่งใหญ่ เราก็สละได้ มันเป็นการแสดงน้ำใจ แสดงถึงความยกย่องธรรมชาติ

ปกติพ่อท่าน จะทำอะไร พ่อท่าน จะคำนึงถึงจิตวิญญาณคนมากกว่าวัตถุไม่ใช่ หรือคะ อย่างงานนี้ก็มีคนไม่เห็นด้วยมากมาย

ก็ให้หัดเสียสละกันยังไงเล่า ทำกลางศาลาก็เจาะที่หัวใจกันเลย เมื่อบอกแล้วว่าแม้หัวใจก็สละให้ได้เพื่อธรรมชาติ เราก็ทำจริงไม่ใช่ เอาแต่ปากพูด แล้วไม่มีใครกล้าสละ ไม่มีใครกล้าลงทุน ลงมือ

ก็เพราะคำนึงถึงจิตวิญญาณคนมากกว่าวัตถุน่ะสิ อาตมาถึงใช้วัตถุ แม้ จะต้องสละวัตถุ เพื่อที่ จะให้เขาเกิดน้ำใจ ให้เกิดละล้างทางจิตวิญญาณยังไง...ใช่ไหม? เขาติดวัตถุกันใช่ไหม มันใหญ่อะไรนักหนาเล่าวัตถุ ถ้ายอมเสียอย่างจิตวิญญาณก็เจริญขึ้น

สรุปพ่อท่านคุ้มใช่ไหม?

อาตมาเห็นว่าคุ้มสิถึงทำ

ไม่ใช่ทำตามแฟชั่นนะคะ

ไม่ใช่ตามแฟชั่น นำเลยละ ไม่ใช่แฟชั่น หรือก เราต้องการให้คนเขาตามให้ดีๆ หรือเราควร จะนำในสิ่งที่ควรทำ ให้สังคมเขาได้ตื่นตัวให้เขารู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรเป็นสาระ อะไรคือความสมดุล อะไรคือธรรมชาติ อะไรคือสิ่งเหมาะควรที่เรา จะเน้นเข้าไปให้ผสมผสาน

เรามุ่งหมายอะไรจากการทำอย่างนี้ เราไม่ได้มุ่งหมายความสวยงาม ทุกคนเข้าใจที่อาตมาพาทำ ทุกคนเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องของความสวยงาม แต่มันคือเนื้อหาสาระ ที่ จะก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตวิญญาณขึ้นมา ไม่ใช่ให้ใครมาชมเชยชูเชิด แสง สี สวย รูป กลิ่น เสียงอะไรไม่ใช่

พ่อท่านกรุณาอธิบายคำว่า "ไม่ติดยึด" กับ "ไม่มีจุดยืน" ด้วยค่ะ ว่ามันต่างกันอย่างไร

ไม่ติดยึดกับไม่มีจุดยืน ก็ต่างกันตรง จะต้องประกอบด้วยปัญญา

การติด หรือการยึดนี่ ถ้าเรายึดในสิ่งที่เป็นกุศล เป็นฐานในสิ่งที่เรา จะใช้ฤทธิ์แรงของมันเพื่อสร้างสรร กอบกู้ หรือรณรงค์ให้มันเป็นสิ่งอาศัย เป็นสิ่งรองรับ เป็นคุณค่าประโยชน์ที่เรา จะได้อาศัยมัน เราก็ยึด

แต่ในความลึกซึ้งที่ว่าไม่ยึดไม่ติดนี่ มันเป็นความปล่อยว่าง ที่เป็นปัญญาอันลึกซึ้ง ว่าอะไรๆ เราก็ติดยึดไม่ได้ อันนี้เป็นปรัชญาสูงสุดของศาสนาพุทธ

เมื่อเรารู้แล้ว เราก็ต้องพยายามฝึกฝนจิต หรือว่าหัดจิตของเราให้ปล่อยวางจริงๆ เลยไม่ติด ไม่ยึดจริงๆ เลย แม้เรา จะจับอยู่นี่ เราก็วาง เราไม่ได้หลงใหลเป็นเราเป็นของเรา นี่เป็นภาษาโวหารนะ

วางที่ใจให้ได้ เมื่อเราวางที่ใจได้จริงนี่เป็นปรัชญาอันสูงสุด คนนั้น จะรู้เองเข้าใจเอง เห็นเองว่าวางได้เป็นอย่างนี้ มันไม่มีทุกข์ มันขาด มันสูญ มันปลอดโปร่ง มันไม่มีอะไรเกาะเกี่ยวอีกจริงๆ ภาษาเกาะเกี่ยวภาษาที่มันยังติด ยังยึดอยู่จริงๆ อะไรพวกนี้ มัน จะเห็นนามธรรมของเราจริงๆ เลยว่า เป็นของเราคืออาการอย่างไร ไม่เป็นของเราคืออาการอย่างไร ซึ่งเป็นญาณปัญญาชั้นสูงสุดจริงๆ เลย ที่ จะรู้ จะเห็นความเป็นได้จริงนั้นๆ ในจิตในเจตสิกของตนๆ

เพราะฉะนั้นผู้นั้นขาดอันนั้นได้ เขาก็ จะรู้ว่าเขาไม่ติด ไม่ยึดแล้วในสิ่งเหล่านั้น แต่ข้างนอกเขา จะจับอยู่ เขา จะนอนกอดอยู่ เขา จะมีอยู่กับตัว แขนก็แขนของเรา ขาก็ขาของเราอยู่นี่ แล้วเราบอกว่า เราไม่ได้ติดยึดขันธ์ ๕ รูป ร่างกาย ตัวตน แม้แต่กรรมกิริยา เราไม่ได้ติดเป็นเรา เป็นของเราเลยนี่นะ เรารู้ของเราคนเดียว โลกเขา จะเห็นว่า เราติดอยู่นี่ ดูซินี่ ไม่ติดยังไง เหมือนกับเราเสพอยู่ด้วยซ้ำไป เหมือนอย่างกับเราอาศัยอยู่อย่างจริงๆ จังๆ เหมือนกับเรากอดอยู่ อยู่กับตัวอยู่กับตนแท้ๆ เลย โดยรูปโดยนอก โดยอะไรที่คนอื่นเขาก็เห็นได้ แต่ใจเราตัวลึกซึ้งสูงสุดตัวนี้มันวางมันไม่ติดไม่เสพ เราเป็นจริงรู้เห็นความจริงนั้นๆ มันถึงเป็นเรื่องของสัจธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ เราเรียนรู้ตั้งแต่ของหยาบไปจนถึงของละเอียด แล้วเราก็ จะรู้อาการของความวาง หรือความติดยึดเหล่านี้ ว่าเราติดอยู่ หรือวางได้อย่างแท้จริง

ทีนี้บางคนไม่เข้าใจ เขาก็ว่าพ่อท่านไม่มีจุดยืน สิ่งที่พูดวันนี้ พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนได้ พูดเดือนนี้เดือนหน้าก็เปลี่ยนได้ คือเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ถ้าเผื่อว่าอย่างนั้นก็ให้พิจารณาถึงสิ่งที่อาตมาก่อสร้างมาเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นฐาน เป็นอะไรต่ออะไรที่เป็นองค์ประกอบของสังคม องค์ประกอบของความเจริญ องค์ประกอบของทั้งวัตถุ และนามธรรมที่กอบก่อกันขึ้นมานี่ซิ ถ้าสิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นโล้เป็นพาย มันเละมันไม่ได้เรื่องได้ราว มันไม่เป็นรูป ไม่เป็นร่าง ไม่เป็นระบบ ไม่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นโล้เป็นพายแล้วละก็ อันนี้ก็ใช่ ถ้ามันเหลวไหล เละเทะหมดเลย ก็ไม่มีจุดยืน จะใช้ภาษาตีทิ้งอย่างนั้นก็ได้

คนที่ จะว่าอาตมาอย่างนั้น ต้องมีปัญญาเหนือกว่าอาตมา แต่ถ้ายังไม่มีปัญญาเหนือกว่า ก็ให้พิจารณาดีๆ ว่ามันถูก หรือผิด อาตมาบอกได้อย่างเดียวว่า อาตมาไม่มีเจตนามาทำลายอะไร มาสร้างสรรจริงๆ

ลักษณะเปลี่ยนไป เปลี่ยนมานี่ เป็นลักษณะสภาพที่จริงตามจริง เป็นเรื่องของปฏินิคสัคคะ เป็นเรื่องที่สลัดคืน กลับคืน สภาพพวกนี้นี่มันเป็นเรื่องที่สูง ในภาวะทุกวันนี้นี่มันเร็วขึ้นมันมากขึ้น เพราะฉะนั้นกว่า จะมาถึงนี่กว่า จะเปลี่ยนไปอีกทีก็นาน ตอนนี้มันชัก จะมากขึ้นแล้ว มันไวขึ้น แล้วมันก็ จะมีอะไรเร็วขึ้นบ้าง รอบมันจัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญญา จริงๆ นะ ถึงบอกว่าตอบได้ตอนแรกเลยมัน จะต้องประกอบไปด้วยปัญญาที่ลึกซึ้งจริงๆ และเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปได้ถึงสภาพนั้นจริงด้วย

เพราะฉะนั้น ระวัง! ไม่มีภูมิสูงพอ แล้ว จะมองคนสร้างสรรเป็นคนไม่สร้างสรร เรา จะโกหก ตีกิน ตลบตะแลงอะไรก็ได้ แต่มันมีผล ถ้าผู้ทำนั้นไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นระบบ ไม่เป็นความเจริญแท้จริง ก็ไม่มีจุดยืน

แต่ถ้ามันดี สังคมเจริญ ความเป็นอยู่เจริญ เศรษฐกิจเจริญ ความโลภ โกรธ หลง ลดลง มีสมรรถภาพดี สันติสุขดี ภราดรภาพดี มีอะไรดีอย่างที่ว่านี้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีจุดยืนมัน จะก่อเกิดได้ง่ายๆ หรือ มันสร้างยาก จะตายไป


ค่ะ, แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดิน หรือ จะพ้นคนนินทา มีจุดยืนมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ก็ว่ายึดมั่นถือมั่น

ครั้นไม่ติดไม่ยึด เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะควร เขาก็ว่า ไม่มีจุดยืน เอาเป็นว่า เรารู้ตัวเอง (และพร้อม จะแก้ไขตลอดเวลา) มีจุดยืนแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นก็แล้วกันนะ

end of column