ธรรมประทับใจ

พ่อสอนไว้ ไม่ทำบาป

สารอโศก อันดับที่ ๒๓๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔


 

ในช่วงธันวาคมต่อกับเดือนมกราคมของทุกปี เป็นระยะเวลา เก็บเกี่ยวข้าวนาปี ของชาวนา กลุ่มแก่นอโศก ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงาน ณ โรงสีสมาคม ผู้ปฏิบัติธรรม บ้านหนองค้า ต.โนนท่อน อ.เมือง จ.ขอนแก่น จะขอยืมเงิน จากกองบุญสวัสดิการ ส่วนกลาง เพื่อนำมาซื้อข้าว จากชาวนา ในท้องถิ่น เป็นประจำ

ในปี ๒๕๔๓ นี้ ก็เช่นกัน พวกเราก็ได้ขอกู้ยืมเงินมา ๒ ล้านบาท แล้วได้ประชุมชาวบ้าน หนองค้า และหนองกางฮุง ซึ่งมาขอสมัคร เป็นสมาชิกของโรงสี เมื่อปีที่ผ่านมา ในการจัดซื้อข้าว ประจำปีนี้ ที่ประชุมก็มีมติออกมา

๑. ซื้อข้าวมะลิจากสมาชิก ได้คนละประมาณ ๑ ตันเศษ (๑,๒๘๐ กก.) จากสมาชิก ๑๐๘ คน ที่เหลือให้เป็นโควต้า ของชาวบ้านใกล้เคียง ซึ่งเคยมาขายข้าวเปลือก ให้ทุกปี

๒. ตกลงซื้อตามราคาตลาดกลาง แต่ให้ซื้อในราคาเพดานสูงสุด ของตลาดกลาง ธ.ก.ส. เช่น ตลาดกลาง ซื้อในราคา ๖.๕๐-๗.๐๐ ก็ให้โรงสีรับซื้อ ๗ บาท

๓. ความชื้นควรอยู่ที่ ๑๕ % แต่ไม่เกิน ๑๖ % ฯลฯ

วันที่ ๖-๗ ธ.ค. ๒๕๔๓ ผมได้รับมอบหมายจากกลุ่ม ให้เบิกเงินจากธนาคาร (ความจริงต้อง เบิก ๒ คน แต่ด้วยความที่เราได้รับสั่งสอน มาจากพ่อท่านด้วยกัน จึงเชื่อใจกัน อีกคนหนึ่ง จึงลงนามไว้ ในใบเบิกล่วงหน้าให้ไว้) เพื่อเตรียมไว้ ไปซื้อข้าว ในวันที่ ๙-๑๑ ซึ่งเป็นวันหยุด

วันที่ ๖ เบิก ๓ แสนบาท (ไม่กล้าเบิกมาก) วันที่ ๗ ไปเบิกอีก ๓ แสนบาท คิดว่าหยุด ๓ วัน ๖ แสนน่าจะพอ แต่เอาเข้าจริงๆ วันที่ ๙ มีคนมาขายข้าวถึง ๖๑ ตันเศษ วันที่ ๑๐ มาขายถึง ๔๑ ตันเศษ เงินหกแสน จ่ายได้เพียงวันครึ่งเท่านั้น หลังจากนั้น รวมถึงวันที่ ๑๑ ด้วย ใครมาขาย ก็รับบิลไปก่อน นัดให้มารับเงิน วันที่ ๑๒ ตอนบ่ายๆ

วันที่ ๑๒ ผมต้องทำงาน ไม่สามารถนำเงินไปส่งได้ จึงนัดให้น้องที่โรงสี (จันทนา) ไปหาแม่บ้านผมที่บ้าน แล้วไปหาผม ที่ทำงาน เพื่อจะได้ไปเบิกเงินด้วยกัน

วันอังคารที่ ๑๒ ธ.ค. ๒๕๔๓ ประมาณ ๓ โมงเช้าเศษ พวกเราก็ไปถึง ธนาคารกรุงไทย สาขามะลิวัลย์ ผมได้เขียนใบเบิก จากที่ทำงานไว้แล้ว ไปถึงก็กดเลขคิวไว้ก่อน ได้ลำดับที่ ๖๔ เมื่อถึงคิว ก็ได้เบิกเงินตามปกติ ผมขอเบิก ๔ แสนบาท และบอกผู้หญิง ที่ทำหน้าที่จ่ายเงินไปว่า

"ขอใบละ ๕๐๐ จำนวน ๑ แสนนะ" หลังจากตรวจสอบหลักฐานคือ บัตรประจำตัว ใบเบิก และ บัญชีแล้ว ก็จะจ่ายเงิน แต่เงินในลิ้นชักไม่ถึง ๔ แสน เธอจึงไปขอเบิก ที่สมุห์บัญชี ผมยืนรอที่ เคาน์เตอร์ สักพัก เธอก็เอาเงินมาวาง ที่หน้าเคาน์เตอร์ พร้อมสมุดบัญชี สำเนาใบเบิก บัตรประจำตัว ด้วยความเชื่อ ในการบริการ ของธนาคาร ผมมองเห็นเงิน ใบละ ห้าร้อยบาท ๒ ปึก และใบละหนึ่งพัน จำนวนหนึ่ง ก็รวบไป เพื่อจะใส่ในถุง ที่แม่บ้าน เตรียมมาใส่เงิน ขณะที่ใส่เงินลงในถุง ได้ยินเสียงเรียก จากผู้จ่ายเงินว่า

"สมาคมผู้ปฏิบัติธรรมคะ "

ผมใส่เงินทั้งหมดลงในถุงแล้ว เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ คุณผู้หญิงที่จ่ายเงิน บอกว่า เอาใบเบิกเงินให้ผิด ขอต้นฉบับคืนด้วย ผมส่งต้นฉบับให้ และรับสำเนาคืนมา แล้วพับไว้ ในสมุดบัญชีฝากเงิน ใส่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นผมและคณะ เดินลงไปจากธนาคาร พอไปถึงด้านล่าง น้องจันทนา จะขอหยุดซื้อขนม ที่มาวางขายหน้าธนาคาร ผมเลยพูด ปนดุนิดๆว่า " จะมามัวซื้อขนมอยู่ทำไม รีบไปที่รถเถอะ วันหน้าค่อยกิน "

น้องเขาก็ว่าง่าย ผมเดินไปส่งที่รถ เมื่อน้องและแม่บ้านไปแล้ว ผมก็ไปทำธุระเล็กน้อย แล้วกลับไปที่ทำงาน เวลาประมาณ ๑๐ โมงเศษ คาดว่าน้องจันทนา และแม่บ้านผม คงไปถึงโรงสีฯแล้ว จึงโทรศัพท์ไปเช็คดู หนูอ้อย ซึ่งเป็นพยาบาลจาก ร.พ.สมเด็จ ซึ่งมาช่วยงานที่โรงสี เป็นคนรับ และ แจ้งว่าทั้ง ๒ คนไปถึงแล้ว เธอถามว่า "จะคุยด้วย หรือไม่ กำลังรับประทานข้าวกัน "

ผมตอบว่า "ไม่หรอก อยากทราบว่ามาถึงแล้วหรือยังเท่านั้น" เป็นอันว่า ภาระของผม ส่วนหนึ่ง ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว

ตอนเย็นเลิกงาน กลับไปที่บ้าน พบแม่บ้านได้กลับจากโรงสีแล้ว แม่บ้านถามผมว่า "พ่อวันนี้ เบิกเงินไปเท่าไร"

"สี่แสน" ผมตอบ

แม่บ้านบอกว่า "ได้นำเงินไปมอบให้กับจันทร์แรม (น้องที่โรงสี ซึ่งทำหน้าที่รับเงิน ไปจ่าย ให้กับชาวบ้าน ที่มาขายข้าว) เงินน่าจะเป็นห้าแสน"

ผมบอกว่า "เป็นได้ยังไง ใบเบิกผมเขียน ๔ แสนบาท"

ผมเดินไปหยิบสมุดบัญชีฝากเงินมาดู ในสมุดก็แจ้งว่าเบิกออกมา ๔ แสนบาท ผมเลยยกหู โทรศัพท์ขึ้น โทรฯไปที่โรงสี จันทนาเป็นคนรับ

"ทราบว่าเงินที่เบิกวันนี้เกินไป ๑ แสนจริงหรือ"

"หนูไม่รู้ ไม่ได้นับ ให้พี่นง (แม่บ้านผม) นำไปส่งกับพี่จันทร์แรม"

" ถ้าอย่างนั้นของสายจันทร์แรมหน่อย" จันทร์แรมมารับสาย ผมถามว่า "ได้ยินว่าเงินเกินมา ๑ แสนจริงหรือ"

"หนูก็สงสัยว่าเกิน แต่อย่างไรก็ตาม ขอเวลาให้ตรวจสอบให้แน่นอนก่อน เงินมันมากนะพี่ ต้องตรวจจากที่จ่ายค่าข้าว และค่ามัดจำกระสอบด้วย ขณะนี้ กำลังคุยกับแขก" (แม่ชี ๒ คนมาจาก ยโสธร เพื่อมาทานอาหารแม็คโครไบโอติค จะมาพักค้างที่โรงสีฯ)

"ขอให้ตรวจสอบให้แน่นอนนะ ถ้าเกินจริง ต้องเอาไปคืนเขา วันพรุ่งนี้ จะโทรฯมาถามอีก" ผมกำชับ ก่อนวางหูโทรศัพท์

วันพุธที่ ๑๓ ธ.ค. ๒๕๔๓ ไปทำงานก็นึกถึงเรื่องนี้ แต่คิดว่า น้องเขาคงยังไม่ได้เช็ค ความถูกต้องของเงิน เพราะต้องซื้อข้าว และมีงานอื่นที่ต้องทำ ตอนเย็นเลิกงาน จึงได้โทรฯไปถาม ซึ่งก็ได้รับ การยืนยันว่า เงินเกินแน่นอน ผมก็แจ้งให้ทราบว่า ขอปรึกษา กับฝ่ายกฎหมายก่อน (คุณสืบพงษ์ คำแก้ว ญาติธรรม อีกผู้หนึ่ง ที่เป็นทนายความ และเป็นหัวหน้าแผนกกฎหมาย ประจำสำนักงาน การสื่อสาร โทรคมนาคม เขตตะวันออกเฉียงเหนือ) ว่าการที่นำเงินไปคืนล่าช้า ๒-๓ วัน จะมีผลอะไร ทางกฎหมายหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธ.ค. ๒๕๔๓ ประมาณ ๑ โมงเช้าเศษ ได้พบกับคุณสืบพงษ์ ได้เล่าเหตุ การณ์ทั้งหมดให้ฟัง คุณสืบพงษ์ก็บอกว่า "ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะอยู่ในระหว่าง ตรวจสอบ ขณะนี้เงินอยู่ที่ไหน "

" อยู่ที่โรงสี "

ถ้าไม่ขัดข้องอะไร ตอนบ่ายวันนี้ หรือเช้าพรุ่งนี้ (๑๕ ธ.ค. ๒๕๔๓) มีเวลาพอ ที่จะนำเงินไปคืนได้ หลังจากนั้น ผมได้โทรศัพท์ไปที่โรงสีฯ จันทร์แรมบอกว่า วันนี้ไม่พร้อม เนื่องจากมีงาน ต้องทำมาก และได้กำหนดการทำงานไว้แล้ว ขอเป็นเช้า วันที่ ๑๕ ธ.ค. ๒๕๔๓ ก็แล้วกัน หลังจากนั้น ในระหว่าง นั่งรับประทาน อาหารกลางวัน กับเพื่อนร่วมทำการ ๓ คน ท่านหนึ่ง แนะนำว่า

"ควรจะโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทางธนาคารทราบไว้ก่อน เพราะเคยมีประสบการณ์ ในเรื่องของ เงินขาดบัญชี มันเป็นความทุกข์ร้อนใจ อย่างมากทีเดียว นี่เงินตั้งแสนบาท พนักงาน ธนาคารนั้น คงมีความทุกข์ใจมาก หากไม่แจ้งให้ทราบวันนี้ พรุ่งนี้ จะเอาเงินไปคืนเลย ก็ได้ แต่ก็เท่ากับว่า เราได้สร้าง ความทุกข์ใจ ให้เขาอีก ๑ วัน ๑ คืนทีเดียว บุญที่เราจะได้ จากการนำเงินไปคืน ต้องลดน้อยลง"

ผมเห็นด้วยกับการแนะนำนั้น ประมาณบ่ายโมงเศษ ผมจึงโทรศัพท์ ไปหาคุณสืบพงษ์ บอกถึงการคุยกัน ตอนกินข้าวเที่ยง ให้ฟัง คุณสืบพงษ์เห็นด้วย และพูดว่า

"ผมคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน การที่ไม่บอกเขาก่อน พรุ่งนี้นำเงินไปคืนเลย บางทีเจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้อง กลุ้มใจมากๆ หาทางออกไม่ได้ เกิดทำร้ายตัวเองขึ้นมา เราจะไม่บาป มากหรือ เห็นควรโทร ไปหาเขา ตอนนี้แหละ"

ผมจึงมอบภาระให้คุณสืบพงษ์ โทรศัพท์ไปประสานงานกับธนาคาร จะใช้คำพูดอย่างไร ที่เหมาะสม ก็แล้วแต่จะพิจารณา และให้โทรกลับไปหาผมด้วย ประมาณ ๕ นาที คุณสืบพงษ์ก็โทร บอกว่า "ได้โทรศัพท์ไปที่ธนาคารแล้ว "

ซึ่งต่อไปนี้ เป็นรายงานของคุณสืบพงษ์ "สวัสดีครับ ขอเรียนสาย กับผู้จัดการด้วยครับ " เจ้าหน้าที่ธนาคาร รับโทรศัพท์แล้วตอบว่า "ไม่ทราบว่าใคร จะเรียนสายด้วยครับ " "คุณสืบพงษ์ จากสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม กลุ่มแก่นอโศกครับ"

อีกไม่นาน ผู้จัดการ ก็มารับสาย " สวัสดีครับ ผมผู้จัดการครับ "
" ไม่ทราบว่าตอนนี้ทางธนาคาร มีปัญหาเงินขาดบัญชีไหมครับ "
"มีครับ เงินขาดบัญชีอยู่หนึ่งแสนบาทครับ ไม่ทราบว่าโทร มาจากที่ไหน ขอทราบนาม พี่ด้วย ครับ"

"ผมสืบพงษ์ คำแก้ว จากสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม กลุ่มแก่นอโศกครับ ผมได้รับมอบหมาย จากประธานโรงสี สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม แก่นอโศก ให้ประสานงาน กับทางธนาคาร เพื่อส่งเงิน จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่พนักงานจ่ายให้เกิน คืนให้กับธนาคารครับ " หลังจากนั้น ผู้จัดการธนาคาร ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า "สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่ที่ ไหนครับ "

" บ้านหนองค้า ต.โนนท่อน อ.เมือง จ.ขอนแก่น จะนำเงินไปคืน ในวันพรุ่งนี้ (๑๕ ธ.ค. ๒๕๔๓) ประมาณ ๐๙.๐๐ น. "

ผู้จัดการได้ย้อนถามชื่อ และนามสกุลอีกครั้ง และได้ถามหมายเลขโทรศัพท์ ที่สามารถติดต่อ ได้ง่ายด้วย หลังจากนั้น ผู้จัดการก็ได้กล่าวขอบคุณ และบอกว่า "ขณะนี้กำลังตรวจสอบ หาจุดที่ผิดพลาด กันวุ่นวายไปหมด พนักงานที่เกี่ยวข้อง นอนไม่หลับ มาหลายคืน" และกล่าวคำขอบคุณ อีกครั้ง ในช่วงเวลาต่อมา ก็ได้รับโทรศัพท์ จากเจ้าหน้าที่ ธนาคารกรุงไทยอีก ซึ่งเป็นเสียงสุภาพสตรี เธอกล่าวขอบคุณ และบอกว่า รู้สึกดีใจมาก ไม่คิดว่า จะได้เงินคืน เพราะตรวจสอบ ไม่ได้เลย สิ้นหวัง ไปแล้ว และขอทราบที่ตั้ง ของโรงสี สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม

ระหว่างสนทนา สังเกตจากการพูด ที่แสดงถึงความดีใจ ตื่นเต้น และพูดจาสับสน นับแต่คืน วันที่เงินหายเป็นต้นมา นอนไม่ค่อยหลับเลย วันนี้ดีใจมาก

วันศุกร์ที่ ๑๕ ธ.ค. ๒๕๔๓ เวลาประมาณ ๐๙.๑๐ น. คุณจันทร์แรม ผู้จัดการ โรงสีสมาคมฯ ได้นำเงิน จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปพร้อมกับผม และคุณสืบพงษ์ พวกเรา ๓ คน ไปที่ธนาคารกรุงไทย สาขามะลิวัลย์ พอถึงก็เห็นมีผู้คน มาใช้บริการ ธนาคารจำนวนมาก ส่วนมากเป็นนักเรียน นักศึกษา มารับเงิน ที่คุณพ่อคุณแม่ ฝากมาให้ พวกเราเดินตรงไป ที่ห้องผู้จัดการ พบกันแล้ว ผู้จัดการหันหน้า มาทางผม และถามว่า "คุณสืบพงษ์ หรือครับ "

" ไม่ใช่ครับ คนนั้นคุณสืบพงษ์ " ผมปฏิเสธ พร้อมชี้มือ มาทางคุณสืบพงษ์ จากนั้น ก็แนะนำตัวเอง ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติงานอยู่ที่ สำนักงานการสื่อสาร ไปรษณีย์เขต ๔ ทำหน้าที่ เป็นประธาน โรงสีสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ส่วน คุณจันทร์แรม ทำหน้าที่ ผู้จัดการโรงสีฯ จากนั้นผู้จัดการธนาคาร ก็ได้แนะนำพวกเรา ให้รู้จักกับผู้ชาย อีกท่านหนึ่ง ว่าเป็นหัวหน้าฝ่าย ตรวจสอบ ซึ่งทางธนาคารกรุงไทย สาขามะลิวัลย์ แจ้งให้ท่านทราบ เรื่องนี้ จึงได้มารอรับพวกเราด้วย ท่านหัวหน้าฝ่ายฯพูดว่า "ขอขอบคุณ เป็นอย่างสูง คนที่กระทำเช่นนี้ ในสังคมมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย" แล้วคุณจันทร์แรม ก็ส่งเงิน จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้ผม และผมก็ส่งต่อให้คุณสืบพงษ์ เพื่อมอบให้ ทางธนาคาร ต่อไป

ผู้จัดการธนาคาร จึงเรียกพนักงาน คนที่จ่ายเงินผิด มาพบพวกเรา เธอยกมือไหว้ พร้อมกล่าว คำขอบคุณ จากนั้น คุณสืบพงษ์ ก็ได้มอบเงินให้กับเธอ ซึ่งทางธนาคาร ได้ถ่ายรูป ไว้เป็นหลักฐาน ในการส่งมอบด้วย และให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น ตรวจนับเงิน เพื่อความถูกต้อง

ผู้จัดการธนาคารกล่าวขอบคุณพวกเรา และแสดงความดีใจ กับสมาชิกสมาคมฯ ที่ได้กระทำ ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่คาดหวัง ส่วนหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบ ก็ได้กล่าว แสดงความยินดี และชื่นชม กับการกระทำ ของทางสมาคมฯ ซึ่งเป็นการยาก ที่คนอื่น จะทำได้ หากในสังคม ยังมีคนเช่นนี้มากพอ สังคมก็คงจะดีขึ้นมาก ฯลฯ จากนั้น ก็ได้มอบสิ่งของ ๑ กล่อง (ทราบภายหลังว่า เป็นกระติกใส่น้ำร้อน) ปฏิทิน ๓ อัน และ หนังสือขอบคุณ ๑ ซอง แล้วกล่าวในการมอบสิ่งของว่า

"สิ่งนี้เป็นของเล็กน้อย ไม่มีราคามากมายอะไร หากเทียบกับความดี ที่ท่านทำ แต่คิดว่า คงเป็นประโยชน์ ต่อทางสมาคมฯบ้าง ขอมอบให้ เพื่อเป็นการขอบคุณท่าน"

คุณสืบพงษ์ได้รับมอบหมายจากหมู่กลุ่ม ให้เป็นผู้กล่าวตอบ ได้พูดกับท่านทั้ง ๒ คนว่า "การกระทำของพวกเรา ไม่เป็นไป เพื่ออยากเด่นอยากดัง การที่พวกเรา กระทำเช่นนี้ เนื่องจากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ได้พร่ำสอนพวกเรา เป็นหลักการเบื้องต้น มาตลอด ว่าจะต้องไม่โกง ทั้งต่อหน้า และลับหลัง แม้มีโอกาสโกง จะต้องไม่โกง เพราะเป็นบาป ขั้นหยาบๆ พวกเราได้ตระหนัก และน้อมนำ คำสอนดังกล่าว มาปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรม และต้องขออภัยด้วย ที่ได้นำเงินมาคืนช้า จนทำให้ พนักงานผู้เกี่ยวข้อง เป็นทุกข์ใจ มีความวิตก กังวลหลายวัน เนื่องจากต้องตรวจสอบ ให้มั่นใจ เพราะมีผู้เกี่ยวข้อง หลายคน "

ผู้จัดการธนาคารกล่าวตอบว่า "ไม่ถือว่าเป็นการล่าช้า ไม่คิดว่า จะได้คืนด้วยซ้ำไป เพราะ จากการตรวจสอบหลักฐาน ไม่พบที่มาของการสูญหาย ยากที่จะตรวจสอบได้ว่า ใครรับไป เนื่องจากหลักฐาน ถูกต้องหมด คงสุ่มสอบถาม จากลูกค้าบางราย หากปฏิเสธ ก็ไม่รู้ แต่ถ้าตรวจสอบได้ว่า หายจากช่องบริการใด เจ้าหน้าที่ผู้นั้น ต้องรับผิดชอบ"

สนทนากันพอสมควรแล้ว พวกเราก็ลากลับ ผู้จัดการธนาคาร เดินลงมาส่ง ถึงประตูรถ และบอกว่า "จะพยายามไปเยี่ยม โรงสีสมาคมฯให้ได้..."

เรื่องทั้งหมด ก็จบลงด้วยดี เพราะ... พ่อท่านพร่ำสอนแท้ๆ จึงไม่ได้ทำบาป (เงินตั้งแสนน่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพบอโศก ...)

วสันต์ ประเภโส
๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๓


ธรรมะประทับใจ สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๑๒๙ - ๑๓๕