จดหมายจากญาติธรรม

สารอโศก อันดับที่ ๒๓๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔


เลิกริษยา
ให้ตนเองสำนึกเสมอว่า ตนเป็นชาวพุทธ ควรมีขันติ เป็นผู้ไม่ประมาท สำรวมอินทรีย์อยู่ เสมอ ขอขอบพระคุณ มูลนิธิธรรมสันติ ที่ส่งหนังสือ ทั้งสารอโศกและดอกหญ้า อย่างต่อเนื่อง เพราะ การได้อ่านข้อปฏิบัติธรรม ทำให้ดิฉันใฝ่ดี ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม ข้อที่ยากของดิฉันคือ การรับประทานมังสวิรัติ แต่ที่ดิฉัน ละ หน่าย คลาย เลิกได้คือ ๑. เลิกสูบบุหรี่ เด็ดขาด ๒. เลิกคบคนพาล ๓. หยุดอิจฉา ๔. ปฏิบัติตนประหยัดอย่างยิ่ง ไม่ดัดผม ไม่ใช้เครื่องสำอาง ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ซื้อหวย เด็ดขาด ๕. ตั้งตนไว้ชอบ (ในฐานะครู) ๖. คิดดี พูดดี ทำดี ๗. ได้ข้อคิดจากผู้ปฏิบัติธรรมอื่นๆ / สมาชิก ๒๒๓๒๑๐ /
หยุดริษยา หัวใจก็ปลอดโปร่ง กฎแห่งกรรมยุติธรรมที่สุด ไม่มีใครจะได้อะไรมา โดยที่ตนไม่ได้ทำไว้ ทุกคนย่อมจะได้รับผล ที่ตนทำ แม้จะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็ตาม บางทีสิ่งเหล่านี้อาจคือ ผลตอบแทน ที่สมเหตุสมผล ของบุญโลกียะ อันเป็นเครื่องพันธนาการที่ยิ่งใหญ่ เป็นกับดักที่ลึกซึ้ง มอบแด่ผู้โชคร้าย ไม่มีบุญโลกุตระ ก็ได้ -บ.ก.

ขยับเลื่อนศีล ทำได้ยาก
กระผมได้รับหนังสือทุกฉบับครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูง สารอโศกเป็นหนังสือแนว ธรรมะฉบับเดียว ที่กระผมอ่านอยู่ ในปัจจุบัน นอกนั้นแทบไม่ได้อ่านเลย หนังสืออื่นอ่านก็เฉยๆ ไม่ ศรัทธาเหมือนสารอโศก อ่านแล้วก็เอามา พัฒนาตนเอง พยายามให้ได้ เหมือนผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นๆ แต่ก็รู้สึกว่า ตัวเองจะหยุดอยู่แค่ศีล ๕ ละอบายมุข ทานมังสวิรัติ แค่นั้นเอง การจะขยับฐานะ หรือศีล ให้เจริญขึ้น รู้สึกว่าทำได้ยากมาก กระผมคงต้องใช้ความพยายามต่อไป แม้ตอนนี้ ยังไม่เห็นทาง ที่จะทำได้ แต่กระผมขอสู้ต่อไป จะไม่ยอมแพ้ครับ /บุญส่ง มะโนรพ ๒๕๒๖๕๙ /

หาวิธีที่จะทำตัวเอง ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเพิ่มขึ้น เช่น ปลูกผักไว้กินเอง และแจกเพื่อนบ้าน ทำตัวเป็น ผู้ให้ได้ นี่คือเคล็ดไม่ลับ ขยับเลื่อนศีล -บ.ก.

คนทำงานหนัก คือ คนมีบุญ
ผมขอรายงานสารอโศกฉบับ งานมหาปวารณา ๔๓ หนังสือที่ได้รับ ถ้างานไม่ยุ่ง จะอ่านจบ ภายในไม่กี่วัน

ช่วงนี้งาน ไม่ค่อยยุ่งนัก เพราะงบประมาณต่างๆ ยังไม่เข้ามา งานพิเศษที่ใครๆ ก็ปฏิเสธคือ การเงิน พัสดุ บัญชี เพราะครูปกติ ก็ทำหน้าที่สอนอยู่แล้ว มาทำงานพิเศษเพิ่มอีก เสี่ยงต่อความผิด ใครๆจึงไม่อยากทำ แต่ผมจำประโยคหนึ่ง ที่เป็นกำลังใจให้ตัวเองก็คือ คนทำงานหนัก คือคนมีบุญ ทำให้อดทนทำต่อไปได้

หนังสือที่ได้รับนั้น อ่านจบทุกเล่ม แต่เบื่อตัวเองที่จำไม่ค่อยเก่ง เข้าใจตอนช่วงที่อ่าน พอจบก็ ลืมแล้ว

พยายามจะตื่นเช้าทุกวัน เพื่อจะได้ไปตักบาตรให้ทันหรือไปวัด บางวันนำอาหารไปส่งก็กลับ บางวันก็ขึ้นไปหอฉัน เวลาพระท่านให้พรเป็นภาษาบาลี คนก็คุยกันไป ปฏิบัติตามแบบที่เคยทำมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ คนที่ไปวัด ก็ไม่รู้หลักความแท้จริง คนส่วนมาก จะไปเพราะกลัวว่า พ่อ แม่ ญาติพี่ น้องที่ตายไปแล้ว จะลำบาก ไม่ได้กินอะไร พระท่านส่วนมาก ก็บวชเข้ามาตามประเพณี ไม่ค่อยได้ศึกษาเท่าที่ควร ก็เลยทำให้ญาติโยม ที่ไปวัด เข้าใจในหลัก พุทธศาสนาผิดๆไป และผลของทานก็คง ไม่มากเท่ากับทานที่ให้กับ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่บวชเพื่อละกิเลสจริงๆ

ผมอยากจะช่วย ค่าแสตมป์และอื่นๆบ้างที่จำเป็น แต่ก็ใช้หนี้ยังไม่หมด พยายามใช้ไปก็คงจะหมด และคงจะได้ ช่วยทำบุญบ้าง เพราะจิตใจ ก็ไม่อยากได้อะไรมากมาย เหมือนแต่ก่อน

หนังสือ เป็นเพื่อนที่ดี สำหรับคนอยู่ไกล ทุกบทล้วนมีค่า มีประโยชน์ กว่าจะถึงอรหันต์ ถ้ารวมเป็นเล่มได้ ก็คงจะเป็นแรงเสริมภูมิธรรม ให้กับทุกคน ที่ยังไม่แข็งแรงพอ จากโลกีย์ถึงโลกุตระ ก็เป็นแรงเสริม อีกอันหนึ่ง ได้ทราบความเป็นไปเป็นมา ของแต่ละบุคคล ถ้าทำเป็นรวมเล่มใหญ่ ก็คงจะดี แต่ก็รู้ว่างานล้นมือ ผมจึงไม่กล้าเสนออะไรมาก ได้เพียงแต่บอกว่า เราคิดอะไร ก็เลยแสดงออกมา /ทวีศักดิ์ ศรีทอง /

ศาสนาพุทธสอนให้เราเสียสละ ลดละความเห็นแก่ตัว ละตัวละตน การละตัวตนก็ต้องมีเครื่อง พิสูจน์ เราไม่อาจพูดได้ว่า เราเห็นแก่ผู้อื่น โดยพฤติกรรมกลับดูดาย เอาแต่หลีกเลี่ยงงาน ถ้าเราไม เห็นแก่ตัว พฤติกรรมการแสดงออกของเรา ก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเราไม่เห็นแก่ผู้อื่น นั่นคือ เราเห็นแก่ตัว งานหนักที่เราไม่อยากทำ แถมไม่มีอะไรตอบแทน นี่แหละ เป็นสิ่งพิสูจน์ นักปฏิบัติธรรมทุกคน เราได้บุญเพราะได้ชำระกิเลส อัตตาตัวตน ความขี้เกียจ ความกลัวผิดพลาด ฯลฯ ชีวิตเต็มไปด้วยบทเรียน และการฝึกฝน เมื่อมีโอกาสได้ใช้ความรู้ ความสามารถ แรงใจ แรงกาย ในการทำงาน ขอจงได้ยินดี เพราะเราจะได้เรียนรู้ กิเลสอย่างเต็มที่ จากการทำงาน และพลังแห่งชีวิต จะเพิ่มพูนขึ้น จากการเสียสละ ขอชื่นชม ที่คุณทวีศักดิ์อดทน ทำงานต่อไปได้ ความอดทนของคุณ จะเป็นพลังเสริมให้ผู้อื่น เพิ่มความอดทนได้อีก -บ.ก.

จะมอดก็ไม่มอด จะลุกก็ไม่ลุก
ยังเป็นมีดทื่อๆ อายุย่างปีที่ ๖๓ พบอโศกเมื่อปี ๒๕๒๘ ขณะนั้นรับราชการ ในตำแหน่งผู้บริหาร สถานศึกษา ทำงานไป ลดละไป ใหม่ๆมีไฟแรงดี ตั้งใจว่า ๗ ปีน่าจะเห็นผลตามที่หวัง พอครบ ๗ ปีก็แล้ว ๑๔ ปีก็แล้ว รุ่นเดียวกัน เขาก้าวไปถึงไหนต่อไหน ตนเองยังอยู่กับที่ ไฟเริ่มอ่อน เห็นดีเห็นชอบไป ตามกระแสโลก

ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ดึงอารมณ์ไปกับการอ่านหนังสือ และฟังเท็ป ห่างเหินกลุ่มห่างไกลวัด มีความพอใจในภพนี้ ไฟเริ่มอ่อน จะมอดก็ไม่มอด จะลุกก็ไม่ลุก มีชีวิตอยู่อย่างซังกะตาย ไม่ไปไม่มา โลเล ถูกโลกดึงก็ไปทางโลก ถูกธรรมดึง ก็มาทางธรรม ความเห็นและการกระทำหลายอย่าง เป็นสัมมาทิฐิ หลายอย่างยังเป็นมิจฉาทิฐิ การประพฤติปฏิบัติ จัดได้ว่า เป็นคนดีของสังคม สังคมยอมรับ การปฏิบัติลดละ ความเพียร ที่จะลดละหย่อนลงไปมาก ตั้งใจว่าหลังเกษียณ จะตั้งต้นใหม่ ตั้งใจใหม่ อีกสัก ๗ ปีสุดท้าย เมื่อคิดได้ ก็พบว่า สายเสียแล้ว ใจพร้อม แต่สังขารไม่พร้อม ขอสั่งสมต่อไป หวังไว้ในชาติหน้า / ลพบุรี ๒๐๘๓๕๗ /

สังขารเสื่อมไป แต่ใจมุ่งมั่น อายุก็เป็นเพียงตัวเลข ผู้ที่ชอบออกกำลังกาย เช่น นาย ตุ่ง หาน เหวิน วัย ๘๙ ปี กับเพื่อนๆวัย ๘๗,๘๖ วันนี้ก็ยังเล่นบาสเกตบอล เพื่อความปราดเปรียวอยู่ และยังไม่คิดจะเลิกเล่นบาสเกตบอล เช่นเดียวกัน นักปฏิบัติธรรม ก็ไม่ควรด่วนท้อ เพราะวัย พระพากุละ ก็ออกบวชเมื่ออายุ ๘๐ ปี บวชได้ ๗ วัน วันที่ ๘ ก็บรรลุธรรม วัยไหนๆ ก็พากเพียรลดละโลภะ โทสะ โมหะได้ และสามารถบำเพ็ญตน เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ได้เสมอ อย่างน้อย ความสุขุม ใจเย็น ของผู้ผ่านวันวัยมาเนิ่นนาน ก็ให้ความอบอุ่น แก่ลูกหลานได้ -บ.ก.

กราบแบบอโศก
ตอนนี้ได้รับสารอโศกฉบับ งานมหาปวารณา ๔๓ อ่านแล้วชอบมากครับ โดยเฉพาะ คอลัมน์ จากโลกียะถึง โลกุตระ และ เดินตามรอยพ่อ รู้สึกว่าสองสามฉบับที่ผ่านมา จนถึงฉบับนี้ เขียนได้ดีมาก อ่านแล้วซึ้งใจมากเลย เหมือนเป็นการชี้แนวทาง การปฏิบัติอีกวิธีหนึ่ง ก็อยากจะขอกราบวิงวอน มายังทาง บ.ก.ด้วยนะครับ ว่าขอให้มีคอลัมน์ทั้งสองนี้ ต่อไปอีกนานๆ นะครับ

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสไปงานปีใหม่ของชาวอโศกเป็นครั้งแรก รู้สึกประทับใจมาก ประทับใจญาติธรรม หลายท่าน สมณะและสิกขมาตุทุกรูปเลย ได้มีโอกาสเห็นตัวจริง ของพ่อท่าน เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในชีวิตนี้ จะมีโอกาสได้เห็น แต่การไปสัมผัสงานของอโศกครั้งนี้ ก็มีความรู้สึกเก้อเขิน กระดากอายอยู่มากเหมือนกัน เพราะผมเอง ยังกราบ แบบชาวอโศกไม่เป็น ยังไม่ค่อยรู้ ระเบียบการวางตัว การทักทายแบบชาวอโศกมากนัก ไปวันแรกอายมาก เพราะตัวเอง กราบแบบแปลกๆ รู้สึกเลยทันทีว่า ตัวเองยังไม่ใช่ ชาวอโศกที่แท้จริง

และความประทับใจอีกอย่างคือ น้องๆนักเรียนสัมมาสิกขาหลายๆคน น่ารักมาก ที่มีทั้งรอยยิ้ม และมิตรไมตรี ให้ความรู้สึก ที่มองแล้ว อิ่มใจมาก คิดว่าวันข้างหน้า ถ้ามีโอกาส คงจะไปงานของอโศก อีกแน่นอน ถ้าหากว่า ยังมีลมหายใจอยู่ /สมาชิก ๒๕๒๖๖๙ /

ชาวอโศกค่อนข้างจะกราบขึ้น-ลงช้า เป็นการนอบน้อม ทั้งกายและใจไปพร้อมกัน ข้อปฏิบัติ ธรรมเนียมต่างๆ ก็ค่อยเรียนรู้ กันไป ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องน่าอาย แต่อย่างใดที่ไม่ทราบ ชาวอโศกที่แท้จริง ต้องฝึกตนเป็นผู้มีศีล ผู้ไม่เศร้าไม่โศก มีความเบิกบาน แจ่มใส มัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมด ความอยาก สิ้นความเสพย์ -บ.ก.

ผจญน้ำท่วม
ช่วงนี้หลังจากน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ผ่านไป ดิฉันก็ไม่สบายเรื่อยมา เป็นโรคปวดตามข้อ ตอนแรกๆ ก็รุนแรงถึงขั้น เดินไม่ได้ ก็ไปหาหมอนวดเรื่อยมา ตอนนี้ก็พอทุเลา และเดินได้ในบริเวณบ้าน ถ้าไปไกลๆ หรือเดินมาก จะเกิดอาการ ข้ออ่อนไม่มีแรง แต่ก็ทำใจได้ว่า ถึงคราวเจ็บมัน ก็ต้องเจ็บบ้าง เป็นธรรมดา

ได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากการอ่านสารอโศก และดอกหญ้าตลอดมา เมื่อได้รับหนังสือ ก็รู้สึกมีความยินดี และจะเริ่มอ่านทันที เป็นเพื่อนที่ดีขนานแท้ ที่ช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้กับสังขารง่ายๆ

น้ำในบ้านสูงเกือบ ๓ เมตร ขนของที่ขนได้ขึ้นไว้ชั้นบน แข่งกับน้ำที่มาอย่างรวดเร็ว ในบ้าน อยู่กัน ๓ คน น้ำมาตอนตี ๓ หัวรุ่ง วันที่ ๒๒ พ.ย.๔๓ ท่วมอยู่ ๖ วันน้ำจึงลด และเข่าก็เริ่มเจ็บตั้งแต่ วันขนของ พอน้ำลด ก็ต้องล้างบ้าน ที่เต็มไปด้วยขี้โคลนอีก แสนจะทรมานสุดๆ อาการเจ็บก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

ตามปกติ ดิฉันเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเป็นอะไร มาคราวนี้จึงต้องใช้ธรรมะมาข่ม และตอนนี้ก็สบาย ทำใจได้แล้ว /สุขศรี สุวรรณ /

คุณสุขศรี คงเหน็ดเหนื่อยมากทีเดียว กับน้ำท่วมคราวนี้ ภัยพิบัติแต่ละครั้ง นำความสูญเสีย มาให้ประชาชนเหลือคณานับ และทุกคน คงต้องเตรียมรับมือ กับสภาวะวิกฤติธรรมชาติโลก ซึ่งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะสภาวะโลกที่ร้อนขึ้น สภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดความชะงักงันทันทีของชีวิต ทั้งมวล ทั้งหมดนี้ ก็เนื่องจาก น้ำมือมนุษย์ ที่ผลิตก๊าซคาร์บอน จากโรงงานอุตสาหกรรม สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งขณะนี้ ยังหาวิธีหยุดยั้งไม่ได้ ชีวิตต้องเพิ่มความอดทน ขึ้นอีกหลายเท่า คงมีแต่ธรรมะ ที่ช่วยให้ใจ ปลดปล่อยปลงวาง อย่างไรก็ตาม ทุกคนควรช่วยกัน อย่างเต็มที่ ที่จะช่วยสร้างสมดุล ธรรมชาติ -บ.ก.

กว่าจะรู้(ว่าทุกข์)ต้องมีคู่เสียก่อน
ดิฉันได้ไปทำงานต่างถิ่น พอกลับบ้าน ก็เห็นหนังสือของทางสมาคมส่งไปให้ เลยตอบรับ กลับมาให้ทราบ ดิฉันไม่ทราบ ข่าวคราว ของทางหมู่กลุ่มเสียนาน ไม่รู้ว่าหมู่กลุ่ม ปฏิบัติก้าวหน้าไป ถึงไหนแล้ว แต่ดิฉันสิ ยังเหมือนเดิมอยู่เลย ทำอะไรคนเดียวนี่มันท้อนะ ถ้าได้ทราบข่าวคราวของหมู่กลุ่ม จากทางหนังสือ ว่าคนนั้นคนนี้ เขาปฏิบัติได้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกยินดีไปกับเขาด้วย แม้ว่าตัวเอง จะยังย่ำต๊อกอยู่กับที่ก็ตาม

เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม ดิฉันได้ดูรายการตามหาแก่นธรรม เห็นหมู่กลุ่มแล้วรู้สึกดีใจ แม้จะเป็นแค่ ในโทรทัศน์ก็ตาม (ชาวปฐมอโศก) อยากจะไปกราบพ่อท่าน กราบสมณะ สิกขมาตุ อยากไปใช้ชีวิต เหมือนเมื่อก่อนนี้ แต่ด้วยภาระ และหน้าที่ ที่ตัวเองมัดบ่วงกรรมไว้ เลยต้องอยู่ใช้ วิบากกรรมไปก่อน (ดิฉันแต่งงานแล้วค่ะ) กว่าจะเห็นทุกข์ ของการใช้ชีวิตคู่ มันก็ต้องมี สภาวะของชีวิตคู่ก่อน มันถึงหมดสงสัย กว่าจะรู้มันก็สายไปแล้ว เพราะความโง่ของตัวเอง / สมหมาย ผลจันทร์ /

ถือศีล ๕ ละอบายมุข พานาวาครอบครัวไปให้ตลอดรอดฝั่งให้ได้ ฝ่ายหนึ่งร้อน อีกฝ่าย ต้องเย็น ค่อยพูดจากัน ให้เกียรติ ให้ความเคารพนับถือกัน มีเวลาให้แก่กัน ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ได้ครอบครัว ที่อบอุ่น คือการช่วยชาติอย่างสำคัญ ยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ กล่าวไว้ว่า บางครั้ง การช่วยเหลือสังคม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เราพึงกระทำให้ประเทศชาติ และมนุษยชาติก็คือ ดูแลครอบครัว - บ.ก.

น้ำฉี่แก้อัตตา!
กระผมส่งความคิดเห็น จากการอ่านสารอโศก ฉบับนี้เป็นฉบับที่ ๓ แล้ว วันนี้จะขอรายงาน ผลการดื่มน้ำปัสสาวะ (น้ำฉี่) เนื่องจากได้ทดลอง ปฏิบัติดูด้วยตนเอง โดยยึดถือหลัก ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน (อัตตาหิ อัตโน นาโถ) โดยขอแยก การบำบัด ที่ได้ผล ๓ โรคดังนี้
๑. แก้ไอ ช่วงต้นฤดูฝนอากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ร่างกายกระผมจึงปรับตัวไม่ทัน ทำให้ ป่วยเป็นหวัดและไอ แต่โรคหวัด ก็เป็นเพียงอาทิตย์เดียวก็ทุเลา แต่อาการไอกลับเรื้อรัง กระผมซื้อยา แก้ไอกินหมดเป็นขวดๆก็ไม่หาย และเวลาไอ จะทรมานมาก จนผู้พบเห็นบอกว่า ไอจนหน้าเขียว เขา บอกว่าเป็นโรคไอ ๑๐๐ วัน แนะนำให้ผมไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล กระผมก็ไป เพราะทนทรมานไม่ไหว ไปหาหมอ ๔ ครั้ง กินยาที่โรงพยาบาลให้มาจนหมด ก็ยังไม่หาย

พอดีได้อ่านหนังสือ เรื่อง การดื่มฉี่รักษาโรค ของบัวใต้น้ำ จึงทดลองดู เพราะหมดปัญญารักษาแล้ว (ไออยู่ ๒ เดือน) แต่ในตำรา บอกให้เคี้ยวพริกไทยดำด้วย ประมาณ ๒๐ เม็ด พร้อมดื่มน้ำฉี่ กระผมทดลองดื่มดู ปรากฏว่า เพียง ๒ วันอาการดีขึ้น และหยุดไออย่างเด็ดขาด ภายใน ๑๐ วัน กระผมเป็นผู้ชาย น้ำหนักตัวประมาณ ๗๐ กก. หากเป็นสุภาพสตรี อาจลดพริกไทยเหลือ ๑๐ เม็ดก็ได้ เพราะรสจะเผ็ดมาก

๒. แก้นิ่ว หลังจากหายการไอ กระผมก็หยุดดื่มฉี่ (เนื่องจากสาเหตุใด กระผมจะเล่าให้ฟังใน ข้อ ๓) หลังจากนั้นอีก ๒ ปี กระผมเริ่มปวดหลัง และกลางคืน ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำ ปัสสาวะ ๓-๔ ครั้งต่อคืน ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจาก นอนไม่พอ จึงไปเช็คร่างกายที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าทาง รพ.จับไปเช็คทุกอย่าง และทำอุลตร้าซาวด์ พบนิ่ว ขนาดเมล็ดถั่วเขียว ที่ไตทั้งสองข้าง ข้างละ ๒ เม็ด (เฉพาะค่าเช็คร่างกาย หมดค่าใช้จ่ายไป ประมาณ ๑๒,๐๐๐ บาท) และหมอแนะนำ ให้พบแพทย์ เฉพาะทางให้สลายนิ่วออก กระผมไปพบ ปรากฏว่า คุณหมอเป็นอาจารย์อยู่ที่ ร.พ.จุฬาฯ และ เคยรักษาโรคไส้ติ่งให้กระผม สมัยเป็นนักศึกษาอยู่ อาจารย์ท่านก็เมตตาแนะนำว่า นิ่วขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงิน เป็นหมื่นๆสลาย เพราะอาศัยดื่มน้ำมากๆ ก็จะขับออกเอง และไม่ได้สั่งยาอะไร ให้กระผมเลย (หมอที่ไม่เป็นนักธุรกิจ มีน้อยจริงๆสมัยนี้)

จากนั้นกระผมก็พยายาม ดื่มน้ำให้มากขึ้น แต่ก็รำคาญ การต้องลุกมาปัสสาวะ ทุกๆ ๒ ชม. จึงนึกขึ้นได้ว่า น่าจะลองดื่มฉี่ตัวเอง อีกครั้งหนึ่ง ตัดสินใจแล้ว ก็ดื่มทันที และดื่มทุกๆเช้า เพียง ๒ อาทิตย์ กระผมไม่ต้องตื่น มาปัสสาวะอีกเลย หลับรวดเดียวถึงตอนเช้า ทำให้ไม่มึนงงง่วงนอน ในตอนกลางวัน

๓.แก้อัตตา คงยังไม่มีใครคิดว่าน้ำฉี่จะแก้โรคนี้ได้ แต่กระผมประสบมากับตนเอง จึงกล้าเขียน แต่เดิมกระผม มีตำแหน่ง มีลูกน้องมากมาย ทำอะไรก็จะให้ได้ดั่งใจ และใจร้อน แต่บัดนี้ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น กำลังดื่มฉี่ของตนเอง มันเหมือน เรามาจาก ที่ร้อนๆ และได้ดื่มน้ำเย็น คำถามผุดขึ้นมาเองเลยว่า แท้จริงคนเรา ก็มีเพียงเท่านี้ เมื่อถอดหัวโขน ตำแหน่งหน้าที่ การปั้นสีหน้า เข้าหากัน ก็จบลงเพียงเท่านี้

กระผมจึงพบว่า น้ำฉี่แก้อัตตาของคนเราได้อย่างชะงัด ส่วนสาเหตุที่กระผม หยุดดื่มไป ๒ ปี ก็เพราะ มีปัญหากับผู้ร่วมงาน เนื่องจากไปเล่าให้เขาฟัง หลังจากนั้น แทบทุกคน จะมองดูกระผมด้วย สายตาแปลกๆ เพราะเขารู้สึก สะอิดสะเอียน และ รังเกียจน้ำฉี่ เวลาจะคุยกับผม ก็ยืนห่างๆ เหมือนกลัวฉี่ผม จะกระเด็นไปถูกกระผม จึงต้องหยุดดื่ม เพื่อระงับปัญหาต่างๆ ในที่ทำงาน

น้ำฉี่แก้โรคที่ผมพบด้วยตนเอง ดังที่เล่ามาข้างต้น และกระผมอยากจะเตือนท่านที่ดื่มฉี่ และ รักษาโรคใดก็แล้วแต่ กรุณาบอกเฉพาะ ผู้ที่เขาป่วย หรือที่เขาต้องการทราบจริงๆ อย่าได้เที่ยวไปบอกใคร ที่เขาไม่ต้องการ จะทำให้เขาดูถูก เพราะยุคนี้ เป็นยุควัตถุนิยม คนมีสตางค์เที่ยวกลางคืน จนเป็นโรค กระผมไม่เห็นคนที่ทำงาน จะรังเกียจเขา เท่ากระผม ดื่มฉี่ตัวเอง

กระผมจึงขอใช้นามปากกาในการเขียนบทความนี้ เพราะเคยถูกญาติผู้ใหญ่ว่า เรียนมาเสียสูง ไม่น่างมงายขนาดนี้ ส่วนชื่อของคุณหมอ ที่ผมเล่ามาข้างต้น กระผมก็ไม่กล้าแจ้งชื่อท่าน เพราะท่านจะเดือดร้อน เนื่องจากไม่สนอง นโยบาย ของทางโรงพยาบาล ในการให้ผู้ป่วย ต้องเสียเงินรักษา ทั้งๆที่ไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น และหากบทความนี้ ท่านไหน นำไปอ่าน และรักษาโรคได้หาย กระผมของยกผลบุญอันนี้ ให้แก่ทางสันติอโศก ที่เป็นผู้ชี้นำ ให้กระผมรู้จักอัตตา ลดอัตตา และพึ่งตนเองได้ ในที่สุด / ธรรมวิศว์ /

คนเราก็เท่านี้ แต่ผู้มืดมนอวิชชา ก็ไขว่คว้าสารพัดสิ่ง แม้จะต้องเบียดเบียน เข่นฆ่าผู้อื่นก็ตาม ถ้าคิดกันได้ว่า คนเราก็เท่านี้ โลกสังคม คงสงบร่มเย็นเป็นแน่แท้ ควรระลึกถึงความตายบ่อยๆ ทำใจให้แยบคาย กับความเจ็บไข้ได้ป่วย คนเราจะคลาย ความหลงระเริงโลกได้อีกมาก นายแพทย์ แอนโธนี่ แซททิลลาโร่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ขนาดใหญ่ แห่งหนึ่ง สะดุดฉุกใจ คิดเรื่องชีวิต เมื่อตนเองเป็นมะเร็ง ต้องมานอนในฐานะคนไข้ ในห้องเดียวกับที่ตน เคยผ่าตัด คนไข้มะเร็ง คุณหมอหวน ระลึกถึง สิ่งที่ตนแสวงหา อยากจะมี อยากจะเป็น แล้วก็พบว่า ลาภ เกียรติยศ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ไม่มีความหมายอะไรนักหนา หลังจากที่คุณหมอ หายจากมะเร็ง จิตใจก็เปลี่ยนไป คุณหมออุทิศตน เพื่อผู้อื่นเพิ่มขึ้น -บ.ก

เยาวชนดอกคำใต้
" ...หนังสือทุกเล่มที่ส่งมา หนูอ่านเสร็จ ไม่ได้เก็บไว้ประดับบ้านหรอก เพราะหนูได้เห็นว่ามัน มีประโยชน์ ไม่ใช่เฉพาะ หนูคนเดียว ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง ที่เขาอยากรู้ และหนูก็ได้นำหนังสือ ที่หนูอ่านเสร็จแล้ว นำไปให้ เพื่อนหนูอ่านอีก เขาคงได้รับประโยชน์ จากหนังสือเหล่านั้น หนูคิดว่าหนูคงทำถูก นะคะ " / สุวรรณดี บุญยืน /

หากมีเยาวชนที่สนใจการอ่านหนังสือเช่นนี้ ประเทศไทยคงจะเจริญกว่านี้ -บ.ก.


จดหมายจากญาติธรรม สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๒๖ - ๓๕