รำลึกจากใจ

ถึง… หินกล้า อโศกตระกูล

สารอโศก อันดับที่ ๒๓๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔


หินกล้า อโศกตระกูล ชื่อเดิม ไชยยงค์ จันทะศรี เกิดวันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๐๔ มรณะ วันอาทิตย์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๓ เวลาเกิดเหตุ ๑๖.๐๐ น. เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ไฟฟ้าช็อต เนื่องจากไปโม่แป้ง ทำขนมเทียน เพื่อเอาไว้ตักบาตร ในวันขึ้นปีใหม่ เป็นบุตรของ คุณพ่อทองคำ กับ คุณ แม่จันทรา จันทะศรี มีพี่น้อง ๕ คน เป็นลูกคนเล็กสุด คุณพ่อคุณแม่ ได้ถึงแก่ชีวิตไปแล้ว

ดิฉัน (นางพรรณราย ผู้เป็นภรรยา) ขอเรียกพี่หินกล้าว่า พี่ยงค์ เพราะทุกคนที่บ้าน ก็เรียกกัน อย่างนี้ พี่ยงค์ได้มาเป็นสมาชิก ของพวกเรา ร้านปางมังสวิรัติ เมื่อปลายปี ๒๕๓๕ อย่างเต็มตัว เข้ามาอยู่ในฐานะลูกเขย แล้วเป็นพี่ชาย ของน้องๆ ทุกคน เป็นพี่ชายคนเดียวของบ้าน ที่ใจดีและน่ารัก จึงเป็นที่รักของทุกๆคน เป็นขวัญใจ ของพวกเรา และญาติพี่น้องที่พบเห็น ดิฉันกับพี่ยงค์ แต่งงาน อยู่ด้วยกันมา ๘ ปีกว่า ในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันนี้ พี่ยงค์จะเป็นหลัก ให้กับครอบครัว ทำหน้าที่ทุกอย่าง ภายในบ้าน แทนพ่อกับแม่ ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต ที่จะทะเลาะกัน มีปากมีเสียง ด่ากันเสียๆหายๆ มีแต่ต่างฝ่ายต่างก็เติม เพิ่มเสริมส่วนบกพร่อง ซึ่งกันและกัน เราสองคน อยู่ด้วยกัน อย่างเพื่อนรัก มากกว่าอยู่อย่างสามีภรรยา เป็นความรักที่อบอุ่น มีแต่ความสุข ต่างฝ่าย ต่างก็เป็นผู้ให้ ไม่มีใครเรียกร้องเอากับใคร

ความดีของพี่ยงค์นั้น มีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะเล่าก็คงยาวมาก จึงขอเล่า เพียงบางส่วนดัง นี้ค่ะ

ความมีน้ำใจ เป็นคนไม่ดูดาย ช่วยเหลือทุกๆคน เท่าที่ตนเอง มีความสามารถ และมีกำลัง ไม่ว่าใครๆก็ทำให้หมด ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง

ความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ เคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่ เมื่อมีการ ว่ากล่าวตักเตือน หรือท้วงติง ในทางไม่ถูกไม่ต้อง ก็จะยอมน้อมรับมาแก้ไข ปรับปรุง ให้ดีขึ้น

ความซื่อสัตย์-เสียสละ-ให้อภัย ไม่ผูกพยาบาทกับใครๆ

มีความขยันเป็นยอด ขยันทำทุกอย่างในการงาน เป็นคนไม่อยู่นิ่ง ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ว่า งานของตัวเองหรือผู้อื่น จะช่วยทำทุกอย่าง ถ้าตัวเองทำได้ มีหลายครั้ง ที่ดิฉันต้องขอร้อง ให้หยุดพักผ่อนก่อน เพราะทำมากไป เลยเวลาพักผ่อน จนดึกมากแล้ว

มีความอดทนเป็นเยี่ยม -มีตัวมุมานะสูง (ในทางสร้างสรร) มีการเรียนรู้อยู่เสมอๆ เป็นผู้ที่มี ความขวนขวาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ในด้านไหนก็ตาม โดยเฉพาะ วิชาที่พี่ยงค์ ทำอยู่ประจำคือ ช่างอิเลคโทรนิค ว่างจากงานประจำ ก็จะค้นคว้า ประดิษฐ์ทำอะไรๆ ที่เกี่ยวกับ เครื่องอิเลคโทรนิคอยู่เสมอ ส่วนมาก จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ศึกษาจากตำราช่าง มีความอดทนสูงมาก

มีความประณีต-ประหยัด รู้ถนอมคุณค่าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้าน ใช้จ่ายอย่าง ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย

มีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่น นึกถึงหัวอกเขาอกเรา เป็นคนใจดียิ้มแย้มแจ่มใส มีความเบิก บาน ร่าเริงอยู่เป็นนิจ แม้แต่เวลาไม่สบาย ก็ไม่ทำตัวเอง เป็นภาระกับใคร ไม่เคยเรียกร้อง ขอความ เห็นใจจากใคร มีแต่เป็นผู้ให้ อยู่ใกล้แล้วสบายใจ มีความสุข พี่ยงค์ไม่เคยทะเลาะกับใครๆ ไม่เถียง เพื่อเอาชนะ ตามความคิดของตัวเอง หรือแม้แต่ เขาจะมาด่าให้ พี่ยงค์ก็เฉยได้ พี่ยงค์จะมาพูดให้ ดิฉันฟังอยู่เสมอๆว่า เขาด่าทุกครั้งนั้น ควรหันมาอ่านดูใจตัวเองว่า โกรธเขาไหม โมโหเขาหรือเปล่า เขาว่ามานั้นถูกหรือผิด แล้วพี่ยงค์ ก็จะมาปรับปรุงที่ตัวเอง ถ้าถูกอย่างที่เขาว่าให้ แต่ถ้าเขาว่าผิด เป็นเรื่องไม่จริง ก็จะสงสาร และให้อภัย กับคนที่เขามาว่าให้ นี่คือ นิสัยส่วนตัวของพี่ยงค์

ทุกเช้าตื่นนอน พี่ยงค์จะบอกตัวเองอยู่เสมอๆว่า เราจะเป็นผู้ที่มีความไม่โกรธ จะเป็นผู้เบิกบาน ตามจิตใจตัวเองอยู่ประจำ จะยิ้มให้กับปัญหา หรือโจทย์ที่เข้ามา ในชีวิตแต่ละวัน พี่ยงค์จะตั้งใจ เช่นนี้ทุกๆวัน ทำเป็นกิจวัตร ประจำวันของตัวเอง พี่เขาบอกว่า จะได้ไม่ขาดทุน แล้วจะบอกให้ดิฉัน ฝึกทำอย่างนี้ ทุกๆวัน

พี่ยงค์จะมีหนังสือธรรมะพกติดตัวตลอดเวลา ส่วนมากแล้ว จะเป็นหนังสือประเภท คู่มือเล็กๆ เช่น หัวใจยอดนักธรรม (ทำ) ตื่นเช้ามา พี่ยงค์จะเอาใส่กระเป๋าเสื้อ มีเวลาว่าง ถ้าลูกค้าไม่มี ก็จะหยิบ เอาหนังสือขึ้นมาอ่าน มาศึกษา เมื่อเวลาที่ดิฉันกับพี่ยงค์คุยกัน ส่วนมากจะคุยเรื่อง การเพิ่มอธิศีล การพัฒนาตัวเอง ชวนกันทำจิตวิญญาณ ให้ดีขึ้น ไม่ค่อยจะพูดเล่น เรื่องไร้สาระเท่าไหร่

มีความรักความเมตตา เป็นคนอ่อนโยน จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงสารผู้ด้อยโอกาส จะช่วยคน ที่ทำดีและขยัน ทุกครั้งที่มีการแจกอาหาร ที่ร้านขายไม่หมดในบางวัน พี่ยงค์จะไปเลือกแจก จะให้กับคนที่ทุกข์ยาก ไม่มีกิน อย่างเช่น คนเก็บขยะ หรือ พวกสามล้อแก่ ที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า จะช่วยคนที่ควรช่วย

เป็นคนรักเด็ก ลูกหลานที่บ้าน เมื่อเห็นลุงยงค์ทำอะไร ก็จะมาล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นลุงที่ใจดี ของหลานๆ ทุกวันนี้ หลานที่บ้าน ก็จะบอกกับดิฉันเสมอว่า หนูคิดถึงลุงยงค์ ลุงยงค์ไม่น่าจะจาก พวกหนูไปเลยป้านาง

ชีวิตการแต่งงานที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรโลดโผน ใช้ชีวิตคู่สามีภรรยา ที่ถือศีล ๕ เป็นหลัก เอาแนวทางของธรรมะ คือ มรรคองค์ ๘ มาดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ที่ทำเป็นประจำ อยู่ทุกวันคือ ขายอาหารมังสวิรัติ แล้วก็ทำสวนครัว เล็กๆน้อยๆ ตามกำลังที่ทำได้ นำพากันทำบุญทำทาน สร้างกุศลไปในแต่ละวัน ถ้ามีงานทางส่วนกลาง พวกเราก็จะไปร่วมงานทุกครั้ง ในขณะเดียวกันนั้น พวกเราก็แบ่งกันทำงาน ส่วนหนึ่งของพวกเรา จะไปช่วยกันที่ส่วนกลาง มีไปอยู่ที่บ้านราชฯ แล้ว ๒ ครอบครัว รวมทั้งพ่อกับแม่ด้วย ส่วนที่นี่ ทำงานอยู่ประจำ ก็มีกันแค่ ๓ คนเป็นหลัก มีพี่ยงค์, นาง(ดิฉัน) และน้องขาว ซึ่งเป็นน้องคนที่สี่ นอกนั้น ก็หาเด็กมาช่วยทำงาน ก็ไปได้ด้วยดี

ดิฉันอยู่กับพี่ยงค์มา ๘ ปีกว่า เหมือนว่าเวลามันนิดเดียว ไม่มากเลย เป็นความรู้สึก ที่ไม่ทุกข์ ร้อนใจ มีแต่ความสุขใจ จะทำอะไรก็ช่วยกันทำ งานหนักก็เป็นงานที่เบาไป ทำด้วยความพร้อมเพรียงกัน เราสองคน จึงไม่ได้ทะเลาะกัน จะทำอะไร ก็พูดคุยกัน อย่างมิตรที่ดีมาตลอด ต่างฝ่ายต่างก็ มีน้ำใจ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง มีเหตุมีผลกันทั้งคู่

พี่ยงค์ก็ทำหน้าที่ของพ่อบ้านที่ดี ส่วนดิฉันก็ทำหน้าที่ของแม่บ้าน ไม่ให้บกพร่อง อยู่ด้วยกัน จะพูดคุยกัน โดยที่ไม่มีอะไรปกปิดกัน เราพูดคุยกัน และตกลงกัน ว่าเราจะอยู่กัน อย่างสามีภรรยา ที่เป็นคู่ของพระโสดาบัน อย่างมีผัวเดียวเมียเดียว จะไม่นอกใจ ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครตายก่อนใคร ก็จะไม่มีการแต่งใหม่ เป็นอันขาด เราสองคน ให้สัญญากันไว้ ก่อนหน้านี้มาตลอด ไม่ได้ทุกข์ใจอะไร เป็นชีวิต ที่สมหวัง เป็นที่พึ่งของทุกคน พ่อกับแม่ ก็สบายใจ วางใจได้ ไม่ได้ห่วงทางบ้าน

เราสองคนมีความตั้งใจกันเอาไว้ว่า อีกไม่นานเกินรอ จะพากันมาอยู่ส่วนกลาง ให้มากขึ้น จะได้พากันมาสั่งสมบุญบารมี ให้กับตัวเองมากกว่านี้ มาอยู่กับหมู่กลุ่ม ใกล้กับสมณะผู้เจริญ มาอยู่ในมวลของมิตรดี สหายดี เป็นมวลเพิ่มขึ้นอีก ตั้งใจกันเอาไว้แล้วว่า ดิฉันอายุ ๔๐ ปีแล้ว ก็จะเข้าไปกัน เพราะเราสอง ไม่มีภาระ เรื่องลูก นอกจากร้านเท่านั้น แต่แล้วพี่ยงค์ ก็ได้เข้าก่อนกำหนด เข้าอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้คิดเอาไว้ก่อน จึงทำให้พวกเราตกใจ เสียใจ เสียดายชีวิตของพี่ยงค์ ไม่อยากสูญเสีย พวกเรามีกันน้อยอยู่แล้ว จึงสร้างความโศกเศร้า ให้กับครอบครัว เรามาก

การจากไปของพี่ยงค์ในครั้งนี้ ดิฉันทุกข์ใจมาก มันเป็นความเจ็บปวด ที่ปวดร้าว ถึงขั้วของหัวใจ คนที่เรารักที่สุด อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด หายไป โดยที่ไม่ได้บอกกล่าว พูดกันก่อนที่จะไป มันเป็นอุบัติเหตุ ร้ายแรงที่สุด ในชีวิตก็ว่าได้ เหตุเกิดครั้งนี้ ทำให้ดิฉัน ไม่ได้ตั้งตัว ถูกโจมตี โดยไม่ได้รู้ตัวมาก่อน โจทย์นี้จึงหนักมาก สำหรับการทำใจ แต่ถึงอย่างไร ดิฉันก็ต้องได้ทำ โดยที่ยังไม่อยากจะทำ ไม่เต็มใจ ที่จะทำ เพราะยังไม่อยาก ถูกพลัดพราก แต่นี่ก็เป็นโจทย์ของดิฉัน ที่ต้องเรียนรู้ ดิฉันได้เสีย วีรบุรุษส่วนตัวไป โดยที่เจ้าตัว ก็ยังไม่อยากจะไป ยังอยากอยู่ทำความดี ให้ยิ่งๆขึ้น เราสองคน เป็นวัยกำลังทำงาน จึงเสียดายชีวิต ที่สูญเสียไป ทำให้ได้เรียนรู้ทุกข์ ของการพลัดพราก จากของรักของหวง เป็นวิกฤตที่เศร้าโศกยิ่งนัก สำหรับตัวเอง นับตั้งแต่วินาที ที่พี่ยงค์ไม่ได้อยู่กับ ดิฉันแล้ว ก็ได้บอกตัวเอง พูดกับตัวเองว่า เราต้องเป็นคน เข้มแข็ง ต้องพึ่งตัวเองทุกอย่าง และต้องเป็นที่พึ่ง ให้กับคนอื่นด้วย จะมามัวเศร้าโศก เสียใจ หดหู่อยู่อย่างเดียวไม่ได้ ก็ต้องคอยบอก กับตัวเองเสมอๆ ถ้าอย่างนั้นแล้ว มันไม่มีกำลังสู้

การบูชารักของดิฉันกับพี่ยงค์ในกาลนี้ สมกับที่เราได้รักกันมาก เป็นคู่บารมีกันมา ดิฉันก็ขอ ตั้งจิตอธิษฐาน ถือศีล ๘ ตลอดชีวิตนี้ ทานข้าวมื้อเดียว ประพฤติปฏิบัติ ถือศีลพรหมจรรย์ เพื่อบูชา รักที่บริสุทธิ์ พร้อมกันนี้ ดิฉันก็ตั้งใจสะสาง งานทุกอย่าง ทางบ้านให้ลงตัว อีกไม่นานเกินรอ สัก ๒ ปี ก็ จะพาตัวเอง เข้าสู่หมู่กลุ่มใหญ่ เอาตัวเองเข้าไป สู่สังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำตัวเองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป

สำหรับตัวดิฉันแล้ว ถือว่าเป็นคนที่โชคดีก็ว่าได้ เพราะได้ประสบความสำเร็จ ในชีวิตทุกเรื่อง อาชีพหน้าที่การงาน และคู่ครองที่ดี มีคุณธรรม ชีวิตของการแต่งงาน ก็ได้อยู่ใกล้ชิด กับคนดีมาตลอด ถึงแม้ว่า จะเป็นเวลาที่ไม่นานนัก ดิฉันก็ได้รับ ซับซาบเอาความดี ของพี่ยงค์มาไว้กับตัวเอง มากพอสมควร เพราะว่าพี่ยงค์ เป็นคนดีจริงๆ ความเป็นตัวของพี่ยงค์ จึงไม่ได้หายไปไหน มาอยู่กับดิฉันหมดทุกอย่าง

ยิ่งคิดถึงมากเท่าไหร่ ดิฉันก็ระลึกถึงความดี ของพี่ยงค์มากเท่านั้น แล้วนำเอาความดี ในตัวของพี่ยงค์ มาไว้กับตัวเอง เสมือนหนึ่ง พี่ยงค์ไม่ได้จากเราไปไหน พี่ยงค์ก็อยู่กับนาง ตลอดเวลา นี่ถ้าดิฉันไม่คิดอย่างนี้ ไม่บอกตัวเองอย่างนี้ มันทุกข์ใจมาก มันทรมานมาก คนอื่นได้ยินได้ฟัง ก็อาจจะหมั่นไส้ มันอาจจะเกินไป สำหรับบางคน แต่สำหรับตัวเองแล้ว ทำอย่างนี้จริงๆ เคร่งศีลของตัวเอง ให้มากยิ่งขึ้น ฟังธรรมของพ่อท่าน เป็นประจำ ก่อนนอน และตื่นนอน จึงทำให้คลายทุกข์ ลงได้เรื่อยๆ

ทุกวันนี้ก็ยังทำใจไม่ได้เสียทีเดียว ยังเหลือทุกข์อยู่มาก ก็ให้เวลากับตัวเอง คิดในทาง ที่ดีเข้าไว้ ในส่วนลึกของดิฉันแล้ว ก็มั่นใจว่า พี่ยงค์ไม่ได้ไปตกต่ำอะไร ไปเปลี่ยนร่างใหม่ ไปเอาใหม่มาดีๆ พี่ยงค์มีคุณธรรมระดับหนึ่ง ที่เป็นตัวของตัวเอง ก็ภูมิใจในส่วนนี้มากค่ะ อีกไม่นาน ก็จะกลับมา สู่หมู่กลุ่มเราเหมือนเดิม เพราะจิตพี่ยงค์ มั่นคงแน่วแน่ ในทางสายนี้ เป็นคนปักมั่น เด็ดขาด เอาจริง ไม่ทิ้งธรรม มันเข้าไปสู่สายเลือด ของพี่ยงค์แล้ว ดิฉันก็ไม่ได้กังวลใจอะไร มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็ขอเดินตาม รอยของคนดี ที่จากไป และก็ตั้งใจท ำดีให้ยิ่งๆขึ้น

พี่ยงค์จากไปครั้งนี้ ความทุกข์ที่ได้รับนั้น เจ็บลึกมาก เป็นสภาวะของจิตใจ ในขณะที่สูญเสีย ของรักจากไป ทำให้เราได้รู้สึก ถึงชีวิตการเป็นคนโสด ว่ามันสบายที่สุด ดีที่สุด ชีวิตคู่นี้มันทุกข์

มีรักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง มีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย ซาบซึ้งกับคำตรัส ของพระพุทธเจ้ามากที่สุด เมื่อสูญเสีย จึงค่อยรู้ค่าของการเป็นคนโสด ไม่ต้องผูกพันกับใคร ไม่จำเป็นต้องเป็น เจ้าของใคร อยู่อิสระนี้ ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องทุกข์เช่นนี้

พรรณราย อโศกตระกูล (นาง)


รำลึกจากใจ. สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๔๔ - ๔๙