เดินตามรอยพ่อ

มุ่งหาแก่นธรรม

สารอโศก อันดับที่ ๒๓๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔


มองดูชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยม และบริโภคนิยม ที่ฟุ้งเฟ้อยั่วย้อม มอมเมา และสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ซึ่งพัฒนาให้ทันสมัยใหม่เสมอ ล้ำยุคอยู่ ตลอดเวลา

หลายคนบอกว่า สิ่งเหล่านั้นคือ ตัวชี้ค่าของความเจริญในสังคมโลก ปัจจุบัน และ การศึกษา ที่มุ่งเน้นเพียงแค่ท่องจำ ที่นับวันยิ่งไกลตัวตนออกไปมากขึ้นทุกวันๆ ปัญหา ชีวิตของคน ที่ซับซ้อนขึ้น รวมไปถึงการแก่งแย่งแข่งขัน เอาเปรียบเอารัด มากเล่ห์ มุ่งที่จะหาทางได้ เปรียบทุกชั้นเชิง

สื่อไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือนิตยสารต่างๆ ที่เต็มไปด้วย การยั่วย้อม มอมเมา โฆษณา เชิญชวนให้หลงใหลใฝ่ฝัน และตกเป็นทาส ของค่านิยมทางสังคม สร้างวัฒนธรรมใหม่โดย ใช้สื่อดังกล่าว เป็นเครื่องมือ ในยุคการสื่อสาร ไร้พรมแดน

เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่โลกสังคม ประสบกันอยู่ทุกวันนี้ ก็อดสงสารไม่ได้ ที่จะต้อง เหน็ดเหนื่อย ในการดิ้นรนเลี้ยงชีวิต หาความมั่นคง และแน่นอนไม่ได้ แสวงหาความสุข มาบำเรอ เพื่อตอบสนอง กับความต้องการของตัวเอง อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ย้อนอดีต...ชีวิตของเราเอง ก็ไม่ต่างไปจากผู้คนในปัจจุบันนี้มากนัก ที่มัวสาละวน กับการใช้ เงินเพื่อจับจ่าย ซื้อความสุข ให้กับตัวเอง เที่ยวหาซื้อ สิ่งของตามแฟชั่น ตามห้างสรรพสินค้า ดูหนัง ฟังเพลง พอกลางคืน ก็ทำตัวเป็นเหยี่ยวราตรี ออกหากิน ตามเธค ตามผับ ตามบาร์ ที่มีแสงสีเสียงที่ เร้าใจวัยรุ่น วัยหลง วัยระเริง หรือแม้แต่ วัยที่ชอบหาเหยื่อ ในสถานที่ดังกล่าว เราเองก็เคยเป็นเช่นนั้น

จุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ความคิดของชายไทย ในวัยครบ ๒๐ ปี สิ่งที่ควรทำที่ สุดคือ การบวชทดแทน พระคุณพ่อ-แม่ เหมือนจะรู้ว่า เราจะต้องพราก จากโลกีย์ เพื่อเข้าสู่กระแส โลกุตระ จากไปโดย ไม่มีวันหวนกลับ จึงใช้เวลา ชีวิตช่วงนั้น กับการสนุกในเธค ผับ บาร์ เมามายกับ สิ่งเสพติดยั่วย้อมทุกวัน

อีกเพียงแค่ ๒ วันจะถึงวันบวช วิบากกรรมส่งผล เราขับรถประสบอุบัติเหตุ ผลทำให้สลบไป หลายชั่วโมง เมื่อรู้สึกตัว พ่อ-แม่และญาติพี่น้อง ดีใจเป็นที่สุด ทำให้เราฉุกคิด เกิดสำนึก และเสียใจ ในการกระทำของตัวเราเอง จนเกือบไม่มีโอกาส ทดแทนบุญคุณพ่อ-แม่

โชคดีที่เราไม่เป็นอะไรมาก จึงได้เข้าพิธีบวชให้กับพ่อ-แม่ ในวันทำพิธีบวชนั้น อาการทางสมอง ได้กำเริบ หลังจากเสร็จสิ้นพิธี จึงต้องนำตัวเรา ส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง ได้เห็นภาพของแม่ ที่หวั่นวิตกกับอาการของเรา บ่งบอกให้เห็น ถึงความรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ได้เป็นอย่างดี อยู่โรงพยาบาล จึงได้มีเวลา ทบทวนชีวิต ของตัวเราเอง ในอดีต ที่หลงตกอยู่ในอบายมุข จนเกือบทำให้แม่ ต้องเสียใจไปทั้งชีวิต จึงเป็นเหตุ ที่ทำให้ตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น ที่จะทำอะไรดีๆเพื่อแม่

ตามหาแก่นธรรม อาจจะเป็นความโชคดีของชีวิต ในช่วงกลางพรรษานั้นเอง ได้รู้จัก ชาวอโศก จากการอ่านหนังสือ ธรรมะของชาวอโศก และจากการแนะนำจาก คุณวินัย สังข์อ่อง ที่ชวนมา ฟังธรรมในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่สันติอโศก สิ่งแรกที่ประทับใจ คือ การต้อนรับ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกราบของญาติธรรมในวันนั้น ทำให้เราต้อง ขนลุกขนพอง เพราะเป็นภาพที่บ่งบอก แสดงถึงการกราบ ด้วยความเคารพศรัทธา

จากนั้นได้มีโอกาสสนทนาธรรม กับพระชาวอโศก ที่มีกิจวัตรการปฏิบัติ ที่งดงาม อีกทั้งยัง เป็นผู้ที่ เคร่งครัดในพระวินัย ทำให้เกิดความศรัทธายิ่งๆขึ้น จึงได้เริ่ม ที่จะปฏิวัติตัวเอง โดยการนำมาปฏิบัติ เริ่มจากการฉัน อาหารมังสวิรัติ จากเดิมที่ฉัน มังสารพัด ฉัน ๒ มื้อ ก็ปฏิบัติมังสวิรัติมื้อเดียว เงินที่เคยสะสมในย่าม ที่มีหลายพัน ก็สละออก

ปฏิบัติตนให้เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ ดั่งชาวอโศก คำถามที่ชาวอโศก ตั้งคำถาม ชีวิตเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร? เป็นครั้งแรกที่ทำให้ได้คิด ใช้ชีวิตคนเรา เกิดมาเพื่ออะไร? เกิดมาทำไม? จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก ที่จะพิสูจน์ และหาคำตอบ ให้กับชีวิตตัวเอง

วันที่ ๖ พ.ย.๒๕๒๘ จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่ชาวอโศกอย่างเต็มตัว เพื่อค้นหาคำตอบ และ พิสูจน์ให้รู้จริง จึงได้มีโอกาส ฟังธรรมมากขึ้น ทำให้เข้าใจ ในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ที่ควรแสวงหา และ ควรจะมีจะเป็น ในสาระสำคัญ ที่ควรจะได้ และเป็นกุศลธรรม

การที่ได้เจอพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ทำให้เกิดสัมมาทิฐิมากขึ้น รู้จักแยกแยะ ในบุญกุศล และ อกุศล ความดีความชั่ว ชัดเจนขึ้น จิตใจเริ่มสงบเย็นมากขึ้น จากการอบรม บ่มเพาะ เมล็ดพันธุ์ ทางปัญญา เป็นเวลาเกือบ ๑ ปี ทำให้มีความมั่นใจ ที่จะร่วมเข็น กงล้อ พระธรรมจักร กับหมู่มวลของ ชาวอโศก

ตัดสินใจเข้าสู่ระบบขั้นตอนของชาวอโศก เพื่อศึกษาอีกมุม ของการขัดเกลา ตามฐานะ ตามครรลอง ของชาวอโศก โดยมีพ่อท่าน เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ

วันที่ ๓ เม.ย.๒๕๒๙ ได้บวชเป็นพระชาวอโศก โดยมีพ่อท่านเป็นอุปัชฌาย์ เป็นความภูมิใจ ที่ตัวเราเองได้มีบุญ และเป็นความภาคภูมิใจ ที่ชาติหนึ่งเกิดมา ได้รับใช้ พระศาสนา เพื่อเข็นกงล้อ แห่งธรรมจักร

๖ ปีแห่งการมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านสื่อ จึงได้พยายามทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ให้กับ การทำหนังสือ ซึ่งเป็นธรรมทาน เป็นงานที่สำคัญยิ่ง ในการเผยแพร่ธรรมะ ถึงแม้ว่า ตัวเรา จะเป็นส่วนหนึ่ง ของการทำหนังสือ ซึ่งพ่อท่านให้ความสำคัญ เป็นอย่างยิ่ง ในสโลแกนที่ว่า "เราจะพิมพ์หนังสือ ธรรมะให้ท่วมโลก "

และ ๗ ปีของการทำงานในส่วนของการศึกษา ทำให้เราได้เห็นกิเลส ที่มีในตัวตนของเรา ชัดเจนยิ่งขึ้น บัดนี้ถึง ๓๐ ปีแห่งการงาน ของพ่อท่านแล้ว ท่านได้ทุ่มเทเพื่อลูกๆ คอยบอก สอนธรรมะ พร้อมทั้งเป็น แบบอย่างที่จะให้ลูกๆ เจริญรอยตาม ให้เรียนรู้วัฏสงสาร เพื่อปฏิบัติให้หลุดพ้น จากการเวียนว่าย ตายเกิดเสียที

น้อมกราบคารวะบูชาพ่อท่านสุดเกล้า
สมณะสู้ซื่อ หสิโต


เดินตามรอยพ่อ สารอโศก อันดับ ๒๓๓ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๗๒ -๗๕