อาริยะ ยุค๒๐๐๐
ตอนที่ ๑๖ (เกลียวธรรม)
สารอโศก
อันดับที่ 234 มีนาคม 2544

แสงแดดยามเช้า สาดส่องลงมากระทบหยาดน้ำค้าง ที่เกาะจับอยู่บนตาข่าย อันถักทออย่างประณีตสวยงาม ระหว่างต้นข้าว ที่กำลังออกรวงสีทอง อวบอิ่มสะพรั่งอยู่เต็มท้องทุ่ง ยามลมพัดมา พาให้โอนเอน กวัดแกว่งไหวระริก แพรวพราว ราวเม็ดมณีอัน ล้ำค่า กำลังหยอกล้อทอรัศมี แข่งกับแสงอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น

แมลงปอฝูงใหญ่ บินว่อนร่อนแฉลบ หยอกล้อกัน อยู่เหนือแปลงนา ที่ยาวเหยียด ขนานกับลำห้วย ที่น้ำใสแจ๋ว มันบินขวักไขว่ไปมา โฉบฉิวเป็นขบวน ราวกับกองบินเฮลิคอร์ปเตอร์ กำลังส่งหน่วยรบ นาวิกโยธิน เข้าจู่โจมเผด็จศึก ในสนามรบ และเมื่อมองมาภาคพื้นดิน ก็มีหน่วยทหารพราน กำลังสร้างตาข่ายวิเศษ คอยดักจับศัตรู อยู่อย่างขะมักเขม้น ที่บนยอดรวง ของแม่โพสพ ดูคล้ายกับมีจานเรด้า ดักจับสัญญาณ จากดาวเทียม ติดอยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด....

“แปลงนี้คือ นาธรรมชาติที่ทันสมัย ของไอเอ็มเอฟมากครับ” ชายวัยกลางคน รูปร่างสันทัดผิวทองแดง ชี้มือไปยังผืนนาตรงหน้า และก็อธิบายต่อว่า...

“ แมลงปอและแมงมุมที่คุณเห็นเหล่านั้น มันคือฝ่ายสัมพันธมิตรของเรา เพราะมันคอยโจมตีทำลายฝ่ายศัตรู ที่มาสร้าง ความเสียหายให้กับนาของเรา... สำหรับนาแปลงนี้...ผมเรียกมันว่า 'นาทันสมัยด้วยไม้ท่อนเดียว' ...ผมเพิ่งจะทดลองทำเป็นครั้ง แรกที่นี่แหละครับ แต่มันก็ได้ผลน่าประทับใจอย่างยิ่งครับ" ชายผู้มีอายุเลยเลข ๔ หยุดชะงัก และนั่งลง หยิบไส้เดือนที่ชอนไช ออกมาจากรูข้างคันนา วางไว้บนฝ่ามือ พร้อมกับพูดว่า

“นี่คือเพื่อนสนิทของแม่ธรณี... การไถถากปอกเปลือกเปลือยดินนั้น เป็นการทำลายทำร้ายท่าน และฝ่ายสัมพันธมิตรของ ท่านด้วยครับ... เพราะว่ามีสัตว์หลายประเภท ที่อาศัยอยู่ในอ้อมอกดิน เขาทำหน้าที่ขุดคุ้ยไถพรวน ให้เกิดการร่วนซุยอยู่แล้ว แถมขับถ่ายเพิ่มปุ๋ย เป็นอาหารของพืช และช่วยก่อเกิด การสังเคราะห์จุลินทรีย์ ในการบำรุงส่วนต่างๆ ของพืช แต่ละชนิด ด้วยครับ... สารพัดสัตว์จริงๆครับ ที่มีประโยชน์ต่อเรา แต่ก็ต้องมาตาย เพราะมนุษย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำการไถคราด และที่สำคัญ อย่างไม่น่าอภัย คือ การใช้สารเคมีนานาชนิด นั้นแหละ... มันเป็นการฆ่าตัวตาย อย่างไม่รู้ตัวชัดๆ สำหรับที่นี่ รถถงรถไถ ไม่ต้องการ ให้มีมาส่งเสียง หรือปล่อยควัน สร้างมลพิษ ต่อไปอีกแล้ว เลิกอุดหนุน ยุ่นปี่ กันเสียที... ไม้ท่อนเดียวนี่แหละครับ ผมเห็นว่ามันสามารถ กอบกู้เศรษฐกิจของชาวนา ได้แน่นอนเพราะว่า ชาวนาแม้ยากจน ก็สามารถทำได้ อย่างที่คุณเห็น นี่แหละครับ”

“เอ่อ...แล้วรอบๆนาของลุง 'สามธรรม' ทำไมต้องถาง จนเตียนโล่ง อย่างนั้นล่ะคะ” เขตศีล ครูสาวชาวใต้ ชี้มือไป และถาม ขึ้นอย่างสงสัย หลังจากที่ยืนฟังชาวนา อาริยชน ผู้บุกเบิกทำนา ตามทฤษฎีบุญนิยม อันน่าทึ่งอีกแบบหนึ่ง... ที่น่าสนใจยิ่งนักคือ ไม่ต้องลงทุน อ๋อ...นั้นเหรอครับ ผมถางไว้เป็นเขตแนวสกัด กั้นศัตรูร้ายของต้นข้าว อีกชนิดหนึ่งครับ คือหนูพุกครับ เจ้าหมอนี่ตัวใหญ่น้ำ หนักราว ๑/๒ กิโล ร้ายมากครับ มันชอบมากัดแทะ กินต้นข้าว ล้มเป็นกอๆเลย แต่เมื่อผมทำให้เตียนโล่ง มันก็ไม่ค่อยกล้าออกมารบกวน เพราะเหนือฟ้ายังมีเหยี่ยว คอยจ้องตะครุบมันอยู่เหมือนกันครับ... เจ้าหนูพวกนี้ตัวอ้วน วิ่งช้าคงกลัวตายมั้ง...แต่หากว่า ปล่อยให้รอบๆ นารกทึบ เจ้ามิกกี้เม้าท์ คงจะซัดเสียเละเป็นแน่ครับ...

“อ๋อ...อย่างนั้นเองหรอกเหรอ...ก้อยนึกว่าจะปลูกอะไรตรงนั้นอีกค่ะ... ลุงคะขอถามอีกนิดเถอะค่ะ...” ครูสาวพูดยิ้มๆก่อนที่ จะเดินไปจับใบข้าวขึ้นมา วัดกับส่วนสูงของตัวเธอ และพูดต่อว่า..

“ลุงคะ..ต้นข้าวที่แข็งแรงและงามอย่างนี้ ลุงทำได้ยังไง ดูซิมันสูงเกือบท่วมหัวหนูเชียวค่ะ “

“อ๋อ..เหรอ” ชายชาวนาโลกุตระยิ้มละไม ก่อนจะเล่าว่า... “เมื่อเช้านี่เอง มีกระเหรี่ยง จากบ้านหัวเลาสองคน เดินมาเที่ยวที่นี่ครับ ...และตั้งคำถามเหมือนคุณ พวกนี้ก็เป็นชาวนา เหมือนกัน แต่ก็โดนวัฒนธรรมทุนนิยม ฉาบพอกกลืนกิน ความเป็นตัวของตัวเอง ไปหมดแล้ว... แม้แต่เรื่องการทำนาทำไร่ ก็ยากที่จะ รอดพ้นจากการยัดเยียด ความหายนะ ให้กับผืนดิน ท้องทุ่งนาไร่ของเขา... ปุ๋ยเคมีเอย ยาฉีดฆ่าแมลงเอย ยาฆ่าหญ้าเอย สิ่งเหล่านี้แหละ ที่มันเข่นฆ่าทำร้าย ทำลายพระแม่ธรณี และญาติสนิท ของท่าน อย่างร้ายแรงทารุณที่สุด... เช้านี้กระเหรี่ยงสองคนนั้นมาเมียงๆ มองๆ เหมือนกับ จะไม่เชื่อสายตาว่า นาผืนนี้ ไม่ต้องถางหญ้า ไม่ต้องคราดไถ และไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น ทำไมจึงงอกงามได้ ขนาดนี้... ผมก็ได้สงเคราะห์ แนะนำไปแล้วครับ... เรื่องนี้ความจริงมันก็มีรายละเอียดซ่อนซ้อนอยู่ครับ แค่มีไม้ท่อนเดียวมันคงไม่ เป็นอย่างนี้ไปได้หรอกครับ...เรื่องของเรื่องมันก็ต้องมีเทคกะนิกกันหน่อยครับ” พูดพลางขยับตัวลุกขึ้น พร้อมกับถูมือไปมา ใบหน้า ยิ้มแย้มและพูดต่อว่า...

“ตามผมมาครับ ผมจะพาไปดูสิ่งมหัศจรรย์ ชนิดที่มองไม่เห็นตัวครับ”

“อ้าว...มองไม่เห็นตัว แล้วไปดูกันยังไงคะ ชักงงแฮะลุง” เขตศีลพูดเบาๆ พลางขยับตัว เดินตามชายวัยกลางคน ไปที่โกดัง เล็กๆใต้ร่มไม้ และเมื่อมาถึง เธอก็มองเห็นถังพลาสติก และโอ่งดินเผา ขนาดบรรจุน้ำประมาณ ๑๕๐ ลิตร ตั้งเรียงแถวกัน อยู่มากมาย ปิดฝาเรียบร้อย มีป้ายเขียนบอกชนิด และวันเวลาการหมัก ไว้อย่างชัดเจน...

นี่คือ โรงบ่มจุลินทรีย์ จากธรรมชาติของเราครับ ที่นี่เรามีวัตถุดิบ มากมายหลายชนิด สำหรับ ที่จะหมักเพาะเชื้อ จุลินทรีย์ เพื่อชีวิต โดยเฉพาะผลของหมากซ้าน และผลของมะเดื่อนั้น จะให้ประโยชน์ในด้าน การเพาะปลูกมากมายครับ นอกจากนี้ยังมี พวกผลหมากซัก มะขามป้อม ส้มป่อย มะเฟือง...โอ้ย! หลายอย่างครับ ผลไม้ประเภทนี้ เราจะใช้เน้นไปทางซักล้าง ทำความสะอาด ตั้งแต่เสื้อผ้า ร่างกายและภาชนะต่างๆ และทั้งหมด ที่คุณเห็นนี่แหละครับ คือ สิ่งมหัศจรรย์ ที่มองไม่เห็นตัว แต่มีอิทธิฤทธิ์อำนาจ ทำให้ข้าวงาม ผลไม้ดกและเห็ดสวย โดยมิต้องพึ่งพาอาศัยปุ๋ย หรือสารเคมีใดๆ มาเร่งมาโด๊ป อย่างที่เขาใช้กันอยู่ ทั่วไปหรอกครับ... ชายอารมณ์ดียืนยันอย่างยิ้มแย้ม

โอ้...ลุงเป็นหนุ่มนาข้าว ที่ประเสริฐจัง มีสาวนาเกลือ แถวๆนี้บ้างมั้ยคะ? เขตศีลหยอกเย้าไปอย่างยิ้มแย้ม เป็นกันเองด้วย ความสนิทใจใน 'มิตรธรรม'

“น่าเสียดายที่ไม่มีสาวนาเกลือ...ที่นี่เลยยังต้องซื้อเกลือ แต่มีสาวซีอิ๊วครับ...โน่นงัย...โรงหมักซีอิ๊วจากเห็ดป่า... พวกสาวๆ เค้าชอบไปหากันมากครับ... ป่าที่นี่เหมือนดังกับ ซุปเปอร์มารŒเก็ตแหละคุณ แค่แบกเปอะ หรือหิ้วตะกร้าเข้าไป แป๊บเดียว ก็ได้อาหารมา มากมายก่ายกอง โดยเฉพาะเห็ดป่า นับว่ามากจริงๆครับ มากจนรับประทานไม่หมด มันหลากหลายชนิด กิน กันไม่หวาดไม่ไหว จนต้องใช้วิธีหมัก เป็นซีอิ๊วเห็ดนี่แหละครับ...รสชาติดี ธาตุอาหารเยอะแยะ และ รับรองคุณภาพว่า เป็นธรรมชาติแท้ๆ ไร้สิ่งแปลกปลอม หรือย้อมแมวขาย แต่อย่างใด...และหากว่า มีแขกมาเยี่ยมเยียน เรา ‘แจก' ครับ”

“อ้าว...ก้อยมายืนคุยอยู่กับทิดสามธรรมที่ตรงนี้เอง พี่เดินหาเสียแทบแย่ ว่าจะชวนไปหาหน่อไม้ แถวๆเชิงดอยกันค่ะ”..

รักบุญอยู่ในชุดทะมัดทะแมง ใส่กางเกงขาก๊วย สวมรองเท้าบูทยาง และเธอยัดชายขากางเกง ไว้ในรองเท้าเรียบร้อย (คงคิด ป้องกันตัวทาก) มือถือมีดหน้าจวักด้ามไม้ (มีดพร้าทางเหนือ) เดินนวยนาดตรงมาหา ใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่ส่งเสียงดัง ทักทายมา

“อ๋อ...ก้อยสนใจเรื่องจุลินทรีย์เหรอ?...ที่นี่เราเพียบพร้อมในเรื่องวัตถุดิบ มากกว่าที่อื่นค่ะ แต่กำลังคนมีน้อย จึงดูยังไม่เป็น ระบบที่มาตรฐาน สักเท่าใดนัก... แค่ทิดสามธรรมคนเดียวนั้น ก็ต้องทำงานเท่ากับ ๓ คน ต้องวิ่งไปมา ระหว่างนา-สวน- และวัด ยังกะพระนารายณ์จริงๆ” เธอพูดพลางหัวเราะพลาง และมองชาวนาไม้ท่อนเดียว ด้วยความชื่นชม ในความขยันขันแข็ง เอาใจใส่งาน หลายอย่างตลอดมา...

เช้าวันรุ่งขึ้น...ไก่ป่าส่งเสียงขันเจื้อยแจ้วดังอยู่ไม่ไกลนัก ผสานกับชะนี ที่กู่ร้องครวญคราง แว่วมาจากหุบเขาไกลโพ้น ที่ปก คลุมด้วยเมฆหมอก... อากาศในเดือนตุลาคม เริ่มหนาวเย็นยะเยือก ทำให้บางคน มีความรู้สึกว่า บรรยากาศ มันน่าซุกตัว อยู่ในผ้า ห่มนวม อันอบอุ่น มากกว่าที่จะลุกขึ้น ไปร่วมพิธีทำวัตรเช้า ที่เขตอารามสงฆ์...

สาววัยรุ่นบุญขวัญ ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ที่กำลังสุขสบาย อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่... แต่ขณะที่เธอกำลังพลิกตัว อิดออดอยู่ไป มานั้นเอง...

“ลูกขวัญขา...ตื่นได้แล้วคะ โน่นไงพี่ฟ้าลั่นมายืนรอ เปิดไฟวับๆแวบๆอยู่นั้นไง...เอ่อ ลูกฟ้าลั่นคะ ไปบอกบ้านหลังโน้น หรือยังคะ?... เรามีไฟฉายดวงเดียว จะได้เดินไปพร้อมๆกันค่ะ”

รักบุญปลุกลูกสาวให้ตื่นด้วยเสียงอ่อนหวาน และประโยคหลัง เธอหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม ที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน ซึ่งเมื่อวาน ตอนเย็น เธอนัดแนะกับฟ้าลั่น ที่นอนอยู่ในเขตอาราม ให้มารับฝ่ายหญิง ที่พักในเขตหมู่บ้าน...

“ครับแม่...ผมไปเรียกปลุกแล้ว และคงใกล้จะมาแล้วครับ” เสียงตอบของฟ้าลั่น ทำให้สาวน้อย เลิกบิดขี้เกียจ แล้วก็รีบ สปริงตัวลุกขึ้น เข้าห้องน้ำทันที

แสงไฟฉายจากแบตเตอรี่ ซึ่งชาร์จด้วยพลังแสงอาทิตย์ อันสว่างเจิดจ้านั้น นำสมาชิกสุภาพสตรี จากชุมชน เดินไปเขตอาราม ซึ่งห่างกันประมาณ ๓๐๐ เมตร อย่างค่อนข้างสะดวก โดยการนำของเด็กหนุ่ม ผู้ที่เกิดมาท่ามกลางการรับรู้ ของฟ้าในคืน วันมาฆะบูชา...

กลุ่มคนผู้ตื่นขึ้นมาเพื่อปรารภความเพียร เดินตามกันมา จนผ่านเข้าถึงใต้ร่มไม้พุ่มใหญ่ใบทึบ ทันใดนั้นเอง เสียง...พึบพับๆๆๆ... ดังขึ้นเหนือคาคบไม้นั้น ค่อนข้างแรง ทำให้ทุกคน สะดุ้งตกใจ โดยเฉพาะบุญขวัญ ถึงกับ ผวามาเกาะแขนฟ้าลั่น อย่างลืมตัว...

เด็กหนุ่มรีบตวัดไฟฉาย ขึ้นส่องดูทันที และทำให้เจ้าของเสียงที่ดัง ท่ามกลางความมืด ซึ่งอยู่เหนือศีรษะนั้น ตกใจส่งเสียง ร้อง..กระต๊ากๆๆๆๆ ลั่นป่า พร้อมกับขยับปีก บินหนีกันอย่างชุลมุน...ไก่ป่าตัวเมีย ๔-๕ ตัวนั่นเอง ที่มาจับกิ่งไม้ นอนกันเป็นกลุ่ม

ทุกคนถอนหายใจ อย่างโล่งอก เมื่อรู้ที่มาของเสียง อย่างชัดเจน ขณะเดียวกับที่สาววัยรุ่น ก็รีบปล่อยมือ ที่เกาะกุมแขนฟ้าลั่น ไว้เช่นกัน ใบหน้าเธอแดงซ่าน ร้อนผ่าวขึ้นมา อย่างเขินอายทันที เมื่อคิดถึง สิ่งที่ตัวเองลืมสติ แล้วแสดงออกไป อย่างควบคุมไม่ได้...

เช่นเดียวกันที่ฟ้าลั่นเองก็รู้สึกตกใจมาก ที่หญิงสาว มาแตะเนื้อต้องตัวอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความวูบวาบหวาดหวั่น สั่น หนาวอย่างบอกไม่ถูก... มันรู้สึกต่างกับเมื่อตอนที่ไปฉุดแขนเธอ ออกมาจากดงหญ้า ริมลำธาร คราวโดน ทากกัด เมื่อตอนอายุ ๕ ขวบ

“มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ชอบธรรม สำหรับผู้ที่ต้องการประพฤติพรหมจรรย์แน่นอน” ฟ้าลั่นบอกตัวเอง ด้วยสัญชาตญาณ ของผู้ที่เคยได้รับการอบรม ศีลธรรม มาอย่างเข้มงวด และก็ถอนใจออก มาอย่างปลอดโปร่ง เมื่อฝ่ามือที่ร้อนผ่าวนั้น หลุดออกไป จากต้นแขน...

“ไก่ป่าที่นี่ชุกชุมและเชื่องกับพวกเราพอสมควรค่ะ” รักบุญอธิบายให้ญาติธรรมหญิง ที่มาใหม่คนหนึ่งฟัง เพราะเธอมีท่าทาง ค่อนข้างตกใจ และคงจะไม่ค่อยคุ้นเคย กับการมาอยู่ ในป่าดงพงพฤกษ์แบบนี้

“ที่นี่...มีเสือมั้ยคะ?” สุภาพสตรีนั้นขยับเข้ามาเดินเบียด และถามรักบุญอย่างหวาดๆ

“อ๋อ...ไม่มีหรอกค่ะ” น้ำฟ้าแม่ของฟ้าลั่นตอบแทน ในฐานะที่เธอได้มาอยู่นานปีแล้ว

“แต่ก็ยังมีพวกหมูป่า เก้งและหมีอยู่บ้างค่ะ...พวกพรานชาวบ้านข้างล่างโน้น ชอบขึ้นมาล่ากันประจำค่ะ... บางครั้ง ขณะที่ พวกเรากำลังสวดมนต์ ทำวัตรเย็นกันนั้น... พวกเขาเดินผ่านศาลา เราเคยเห็นขาหมู ขาเก้งโผล่ขึ้นมาจากเป้ ที่เขาสะพายกันมาค่ะ... พรานพวกนี้เมื่อล้มสัตว์ได้แล้ว ก็จะช่วยกันหั่นเนื้อแบ่งกัน ตามจำนวนคน ที่ไปล้อมล่าด้วยกัน ฉะนั้น แต่ละคน ต่างยัดใส่เป้ สะพายกลับบ้าน ส่วนใครส่วนมันค่ะ”

น้ำฟ้าซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าของถิ่น เดินเล่าเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นกับสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้น ด้วยความรู้สึก สลดหดหู่สังเวช ใจ... มันเป็นเรื่องของการเบียดเบียน เข่นฆ่าที่เกิดขึ้น อยู่ประจำ ตำตา แต่ก็ไม่สามารถ จะช่วยอะไรได้เลย...

“นฆา สเหตูปิ กเรยยะปาปัง ความว่า อย่าทำบาปเพราะเห็นแก่กิน...พระพุทธพจน์บทนี้ คงยากที่จะหยั่งเข้าไปถึงจิต วิญญาณ ที่ยังเอร็ดอร่อยลิ้น อยู่กับเลือดเนื้อ ของสรรพสัตว์ต่างๆ แน่นอนค่ะ...” รักบุญกล่าวเสริมขึ้น อย่างปลงตก กับสังคมชาด้าน ต่อความเมตตา

เสียงสวดมนต์ในยามเช้าตรู่ ดังระงมกึกก้องกังวานไพเราะ คละเคล้ากับเสียงหรีดเรไร และไก่ป่า ที่ต่างพากันขานดังอยู่ ไม่ขาดระยะ เหมือนดั่งมันรับรู้ได้ ถึงเสียงของความรัก ความเห็นใจ ในชะตากรรม ของสรรพสัตว์ ที่ต้องตกไปเป็นเหยื่อ ของมนุษย์ไร้ศีล เหล่านั้น...อย่างน้อย มันก็ได้รับความอบอุ่นใจว่า ในโลกแห่งการฆ่าฟัน เบียดเบียนกันอย่าง ทารุณหฤโหดนั้น ก็ยังมีมนุษย์กลุ่มหนึ่ง กำลังสวดมนต์ให้พร เพื่อให้ทุกชีวิต จงมีความรัก และเมตตาต่อกัน

มนุษย์กลุ่มนี้ ได้วางศาสตราอาวุธ และละเว้น การบริโภคเลือดเนื้อ ของเพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งสิ้น อย่างเด็ดขาด แท้ๆ หาได้เป็นดังเช่น... สมณพราหมณ์บางจำพวก ที่ปากสวดมนต์แผ่เมตตา แต่ในขณะเดียวกัน ที่ซอกฟัน ยังเหลือเศษเนื้อ ที่ไม่ได้แคะเขี่ย และกลิ่นคาวของเลือดเนื้อ ยังพุ่งออกมาจากลมปากอยู่เลย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

     

(สารอโศก อันดับ ๒๓๔ มีนาคม ๒๕๔๔ หน้า ๑๒๘ - ๑๓๔ อาริยะยุค ๒๐๐๐)