บันทึกจากปัจฉาสมณะ ม ก ร า ค ม ๒ ๕ ๔ ๔
คนจริง ทำจริง
เป็นแล้วจริง ๒

สารอโศก
อันดับที่ 234 มีนาคม 2544
หน้า 2/2

ต่อจาก บันทึกปัจฉาสมณะ (๑)

สัมมนา คุรุสัมมาสิกขา
๑๘ ม.ค. ๒๕๔๔ พ่อท่านเดินทางไปค้างคืนที่ อ.วังน้ำเขียว ก่อนไปร่วมงาน สัมมนาคุรุสัมมาสิกขา (๒๐-๒๑ ม.ค.) โดยพักที่ ศูนย์ฝึกอบรม กสิกรรมไร้สารพิษ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่เพิ่งสร้างบนยอดเนินเขาเล็กๆ

รุ่งเช้า (๑๙ ม.ค.) คุณอำนาจ หมายยอดกลางและคณะ นำพ่อท่านเดินดู การทำกสิกรรมไร้สารพิษ ของชาวบ้าน ที่เข้าร่วม โครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ ซึ่งปลูกผักเมืองหนาว เป็นส่วนใหญ่ โดยมีกองทุน SIF ช่วยเหลือ ในการขุดสระน้ำ สำหรับ เครื่องมือและแรงงาน ได้จากหน่วยงานทหาร ขณะที่เดินไป คุณอำนาจบอกเล่า หลักการคร่าวๆ ในการตั้งกลุ่ม การทำงาน และการดูแล ตรวจสอบกันและกัน ในกลุ่มสมาชิก นอกจากนี้ ยังมีโครงการ ขยายพื้นที่ ในอาณาบริเวณรอบๆ คุณอำนาจพาดู ร้านค้าหมู่บ้าน (จำหน่ายผลผลิตชุมชน) ธนาคารหมู่บ้าน (ฝากและ เบิกเงิน จากผลผลิต) การที่ชาวบ้าน เข้ามาร่วมกลุ่ม มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะชีวิต ความเป็นอยู่เขาดีขึ้น มีรายได้ ทะเลาะกันน้อยลง ที่สำคัญ เราทำให้เขา เราไม่ได้เอาเปรียบเขา ชาวบ้านจึงไว้ใจเรา ปีที่ผ่านมา มีชาวบ้านกลุ่มต่างๆ มาอบรม แล้วเอาไปทำตาม ๔๐ กว่ากลุ่ม

ขณะเดินดูงาน พ่อท่านเปรยว่า “๓๐ ปีที่ผ่านมา อาตมาสร้างคน สร้างวัฒนธรรม สร้างรูปแบบ จารีตประเพณี ต่อจากนี้ไป จะเกิดผล เกิดกลุ่มรูปแบบอาชีพ ที่หลากหลายมากขึ้น... “

๒๐ ม.ค. ๒๕๔๔ ที่สีมาอโศก เริ่มการสัมมนา คุรุสัมมาสิกขา ด้วยการทำวัตรเช้า ฟังธรรมจากพ่อท่าน จากบางส่วน ที่พ่อ ท่านแสดงธรรม

“...เมื่ออยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่สุดสิ้นหรอกในการบอกสอน โลกุตระนั้น จะได้รับการถ่ายทอด มาจากผู้รู้อื่นทั้งนั้น ทุกอย่าง มาแต่เหตุ แม้จะเป็นปัจเจก ก็ได้รับการถ่ายทอด มาจากครูโลกุตระ ในปางอื่นๆมา

งานครูเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เป็นงานสำคัญ ของผู้ที่สำคัญ คนสำคัญ จะเป็นครู คนไม่สำคัญ จะไม่เป็นครู แล้วคนเป็นครู จะมีเลือดถ่ายทอดด้วย จึงชื่อว่าเป็นครู แม้ไม่ถึงขั้นโลกุตระ เมื่อเป็นสิ่งที่ดีงาม ก็ย่อมจะถ่ายทอดไว้

การเป็นครูนั้น เป็นคนยิ่งใหญ่ เป็นคนประเสริฐ จงภาคภูมิใจ ในความเป็นครูเถิด... “

ฟังพ่อท่านพูดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ตนเองยังห่างไกล จากภาวะ "ครู"

การสัมมนามีตลอดวัน พ่อท่านไม่ได้เข้าร่วม ปล่อยให้สมณะ สิกขมาตุ และคุรุฝ่ายการศึกษา ดำเนินกิจกรรมต่างๆ กันเอง

๒๑ ม.ค. ๒๕๔๔ ที่สีมาอโศก ทำวัตรเช้า พ่อท่านแสดงธรรม นำเอาเอกสารเผยแพร่ โครงการโรงเรียนต้นแบบ และครูแกนนำ เพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ เรื่องโรงเรียนสัมมาสิกขา สีมาอโศก จัดทำโดยศูนย์ศึกษา การพัฒนาครู คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ นครราชสีมา พ่อท่านอ่านเฉพาะคำนำ ให้พวกเราฟังดังนี้

เมื่อศูนย์ศึกษาการพัฒนาครู คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครราชสีมา ต้องทำหน้าที่ หาโรงเรียนต้นแบบ การปฏิรูปการเรียนรู้ จึงได้พยายาม นิยาม ศึกษารูปแบบ และลักษณะ ของโรงเรียนต้นแบบ ในที่สุด ก็พบว่า โรงเรียนแต่ละแห่ง จะมีลักษณะของตัวเอง มีจุดเด่น จุดด้อย และที่สำคัญ ไม่มีโรงเรียนแห่งใด ที่จะให้คนอื่น มาลอกเลียนแบบ แต่มีโรงเรียนมากมาย ที่มีลักษณะน่าสนใจ ที่จะนำไปศึกษา ประยุกต์ใช้เพื่อเป็นต้นแบบ ดังนั้น คำตอบของโรงเรียนต้นแบบ จึงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง เราพบว่า ความเป็น ต้นแบบ ทางความคิด เพื่อนำไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลงโรงเรียน ให้เอื้อต่อการเรียน เพื่อกระบวนการปฏิรูป การเรียนรู้

โรงเรียน สัมมาสิกขา สีมาอโศก เป็นโรงเรียน และชุมชนที่เหมาะ ที่จะใช้เป็นต้นแบบ เพื่อนำไปศึกษา ในหลายเรื่อง เช่น การเรียนรู้ ที่เน้นคุณธรรมจริยธรรม การช่วยเหลือเกื้อกูล เพื่อนมนุษย์ ลดละอบายมุข และความเห็นแก่ตัว เป็นโรงเรียน ที่เน้นชีวิตจริง ไม่เพ้อฝัน พึ่งพาตนเอง รักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นโรงเรียนต้นแบบ ที่เป็นต้นแบบ ก่อนที่เมืองไทย จะมีพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ แต่แนวคิด ของสีมาอโศก จะแพร่ขยายช้า เพราะเป็นแนวคิด ที่สวนกระแส ค่านิยมที่เลวร้าย ของสังคมไทย อย่างรุนแรง ดังนั้น แนวคิดของชาวอโศก จึงเป็นต้นแบบที่ยิ่งใหญ่ สำหรับ กระบวนการปฏิรูปการศึกษา เพราะแนวคิดของ ชาวอโศก ได้ฝ่าฟันปัญหา และ อุปสรรคนานัปการ เป็นการนำร่อง ให้กระบวนการปฏิรูป การศึกษาของไทย ที่จะต้องฝ่าฟันปัญหา และ อุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะ อุปสรรคจากคน ในกระบวนการ ทางการศึกษา

“ ...ก่อนมาที่นี่ อาตมาได้อ่านวิทยานิพนธ์ ของนักศึกษา ปริญญาโทนิดา ที่เขียนเกี่ยวกับ ชุมชนชาวอโศก ว่าเป็นชุมชนพึ่ง ตนเอง หากใครที่แสวงหา ชุมชนพึ่งตนเอง ได้อ่านแล้ว ก็คงจะมุ่งมาเลยนะ

อย่างที่ขวัญดีเล่าเมื่อวาน ข้างนอกเขามองเรา อย่างเชิดชูยกย่อง พวกเราก็อย่าเหลิง เรื่องคุย ปล่อยให้อาตมาผู้เดียว พวกเรายังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ ทุกวันนี้ ที่เขายอมรับเรา ก็เพราะผลที่เกิดจริง แรกๆเขาว่า พวกเราเพ้อเจ้อ แล้วก็ไม่มีหลักฐาน จากสถาบัน คนก่อนๆ มารองรับ ยืนยันอะไร เช่นหลักฐาน เรื่องการปฏิบัติสมาธิ จากมรรคองค์ ๘ ความเชื่อแต่โบราณปรัมปรา เขาเชื่อว่า การปฏิบัติสมาธิ คือ การนั่งหลับตา ต้องไปป่าเขาถ้ำ ที่สงบสงัด

เรานำหน้าสังคมส่วนใหญ่เขาอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ชุมชน การศึกษา แต่ที่นำหน้าเขาอยู่มาก ก็คือ พุทธศาสนา จากตำราพุทธศาสนา ที่มีๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทย หรือเทศ อาตมาเห็นแล้ว เขาออกนอกแนวทาง ของพุทธไปมาก ปราชญ์ต่างชาติก็ตาม ก็ออกนอกแนวทางพุทธไปมาก ของพุทธศาสนาในไทย ก็เพี้ยนออกไป จากสัจจะ ไม่ว่าจะเป็น อรรถะ หรือธรรมะ... พูดให้ถูกก็คือ จะว่าออกนอกแนวทางนั้น ก็ส่วนหนึ่ง ที่ไม่เข้าข่ายพุทธแท้ๆ ถึงเนื้อ ถึงแก่น อันเป็น “อาริยะของพุทธ” นั่นแหละที่มาก จริงๆ หรือเกือบทั้งนั้น...ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งวิมุติ...“

เสร็จจากทำวัตรเช้าผู้เข้าร่วมสัมมนา เดินทางไปดูงาน และสัมมนากันต่อที่ อ.วังน้ำเขียว เพื่อศึกษาโครงการ อันเนื่องมาจาก พระราชดำริ เท่ากับบอกทิศทางว่า การศึกษาสัมมาสิกขา กำลังให้น้ำหนัก มาเชื่อมกับ กสิกรรมไร้สารพิษ มากขึ้น ขณะที่พ่อท่าน แยกเดินทาง ต่อไปศีรษะอโศก และราชธานีอโศก ระหว่างเดินทาง สมณะร่มเมือง ยุทธวโร ได้เรียนถามขอความรู้ จากพ่อท่านว่า มีคนมาโต้แย้งว่า การที่เราเผลอ ทำให้สัตว์ตาย แล้วใจเรา รู้สึกเป็นทุกข์นั้น เพราะเรามีอุปาทาน ว่าเป็นบาป อุปาทานว่าไม่ดี จึงทำให้ ใจเราเป็นทุกข์ ด้วยอุปาทาน ของเราเองที่ยึด สู้เขาไม่ได้ เขาไม่มีอุปาทานใดๆ ก็เลยไม่ทุกข์

พ่อท่านอธิบายว่า “การที่เรามีทุกข์ทางใจนั้นเป็นสัจจะ ไม่ใช่อุปาทาน เป็นหิริโอตตัปปะของเรา ที่ทุกข์นี้ ทุกข์ทางใจ ส่วนทางกายนั้น เราไม่ได้ทุกข์ เขาเองเขาไม่รู้ว่า การที่เขาสั่งสมบาปทางกาย ไปอยู่เรื่อยๆนั้น เขาจะต้องได้รับ วิบากทางกาย ที่หนักกว่า แม้ว่าเขาจะบอกว่า ตอนนี้ทางใจเขาไม่มีทุกข์ เพราะไม่มีอุปาทานก็ตาม แต่บาปนั้น ก็เป็นกรรม ที่สั่งสมไปเรื่อยๆ มีวิบาก เพราะที่จริง เขาเข้าใจไม่สมบูรณ์ หรือเข้าใจผิด ที่ว่าตนเอง “เผลอ” นั้น ไม่ใช่ความบกพร่อง หรือ ความยังไม่ดี ที่จะต้องสังวร แก้ไขตนเอง เขาตีทิ้งไปเลย เขาก็ไม่เจริญทางใจสูงขึ้น กรรม "เผลอ" ก็จะมีได้อีก สั่งสมวิบากเวร วิบากบาปยิ่งๆขึ้น... “

เอื้อไออุ่น คืนเดือนดับ ที่บ้านราชฯ
“ ...วันนี้เกือบมืดสนิทแล้ว เห็นดวงดาวเต็มเลย แต่พระจันทร์ไม่มี แน่นอน วันนี้แรม ๑๔ ค่ำ มีแต่ดาวเต็มท้องฟ้าเลย...” พ่อท่านกล่าว ที่ริมแม่น้ำมูล ๒๓ ม.ค. ๒๕๔๔ ในรายการเอื้อไออุ่น มีทั้งเด็กเล็กๆ เด็กโต และคนเฒ่าคนแก่ แทบจะไม่เหลือใคร ในหมู่บ้านที่ไม่ได้ไปร่วม อาจเป็นเพราะ ต่างเห็นความสำคัญว่า เดือนหนึ่ง พ่อท่านจะมาบ้านราชฯ ครั้งหนึ่ง อีกทั้งมีศรัทธา ที่จริงสถานที่ริมแม่น้ำมูลนั้น สำหรับผู้สูงอายุ ค่อนข้างจะไกล และพื้นดินบางแห่ง ยังหมาดๆ เนื่องจากน้ำ เพิ่งจะลดได้ไม่นาน ผิวดินก็ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ น่าชื่นชมความพยายาม และศรัทธา ที่มีของผู้เฒ่า ที่ไปจนได้

ก่อนหน้านี้พ่อท่านพูดถึงเรื่องพืชผักไร้สารพิษ ต่อด้วยงานการเมืองอาริยะ ที่กำลังเริ่มทำกันอยู่

เจตนาเดิมของการจัดรายการเอื้อไออุ่น เพื่อสร้างความอบอุ่นขึ้น ในหมู่คณะให้ยิ่งขึ้น มีอะไรก็มาบอกเล่า คุยกัน แต่ดูเหมือน จะไม่เป็นไปตามเป้า เลยสักครั้ง กลายเป็นรายการ พ่อท่านคุยเล่า และตอบข้อซักถาม ซึ่งคุยเล่าซักถามที่ใด ก็มีแต่เนื้อหา ธรรมะ หรือปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ตามภพภูมิ ของผู้ถาม การร่วมคิด ร่วมคุยยังไม่เกิด

ครั้งนี้มาแปลก มีคำถามไกลไปถึงจักรวาล อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศ ท่ามกลางดวงดาวเต็มท้องฟ้า และพ่อท่านเอง ก็บอกเล่า ข่าวทางดาราศาสตร์ คำว่า กาแล็กซี่ เนบูล่า จักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่ เคยได้ยินมา สมัยที่ยังเรียน วันนี้พ่อท่าน พูดถึงคำ ควอซ่า เป็นคำใหม่ เพิ่งจะได้ยิน พ่อท่านเอง ก็พยายามอธิบาย แต่ฟังแล้วก็งงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า เด็กๆกับคนเฒ่าคนแก่ จะงง เหมือนข้าพเจ้าไหมหนอ

“พ่อท่านครับ จักรวาลมีที่สิ้นสุดไหมครับ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถาม

“จักรวาลนี้มีที่สิ้นสุด แต่เราไม่รู้จักที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรที่จะไปตามหาที่สิ้นสุดได้ นี่ภูมิอาตมานะ ไม่ใช่นักดาราศาสตร์ อย่างเขา

จักรวาลนี้ก็ไม่เที่ยง ไม่อยู่ตายตัว จักรวาลคือ สิ่งที่มันมีมากมายล้อมอยู่นี่ เป็นลูกกลมใหญ่อย่างนี้ และ อยู่อย่างนี้ มีมากขึ้น น้อยลงไม่ตายตัว มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่เป็นการร้อยมหาจักรวาล อยู่ด้วยกัน ร้อยสัมพันธ์กันอยู่ ทั่วมหาจักรวาล มีความเกี่ยวกัน ดึงดูดกัน และผลักกัน “

ต่อมามีคำถามเกี่ยวกับโลกหมุน และดวงอาทิตย์เคลื่อนอีกเล็กน้อย ซึ่งไม่น่าสนใจ ขอข้ามผ่านดีกว่า มีหนุ่มคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยคุยด้วยหลายครั้ง เขามีปัญหา เรื่องกังวลว่า ตนเองจะฆ่าตัวตาย คุยทีใดก็ยิ้มออกว่า คลายใจได้แล้ว แต่ผ่านไปช่วง ระยะหนึ่ง ก็จะมีอาการกังวล เช่นนี้อีก คราวนี้เขาถือโอกาส ถามพ่อท่าน

“เรื่องวิบาก เคยได้ยินมาว่า คนที่เกิดมาแล้ว ถ้าเกิดฆ่าตัวตาย ก็จะต้องเกิดมาฆ่าตัวตาย ชดใช้วิบากอีก ๕๐๐ ชาติ สมมุติ มีอยู่ชาติหนึ่ง ได้เกิดมาพบพระโพธิสัตว์ แบบพ่อท่านนี่ จะสามารถหยุดได้มั้ยครับ “

“ได้ ถ้าเจอผู้ที่นำพาสอน ฟังจนกระทั่งเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจ แล้วเกิดการแก้ไขปรับปรุง ก็เปลี่ยนแปลงได้” พ่อท่าน ตอบ

อีกคำถามหนึ่งที่ฟังแล้วขำๆคนถาม ที่เหมือนระบาย หรือเหน็บแนม อาศัยเวทีนี้ ว่าคนที่เขามุ่งหมาย คือ คนถามทำหน้าที่ ดูแลห้องเครื่องมือ คงมีหลายคน ที่ยืมเครื่องมือ แล้วลืมเอามาคืนบ่อยๆ จึงถามพ่อท่านว่า ทำไมถึงลืม มันเกี่ยวโยงกับเวลาแก่ เจ็บป่วยแล้ว หลงลืมหรือไม่ จะแก้ได้อย่างไร ฟังแล้วคล้ายกับว่า ผู้ถามเอาเรื่อง วิบากกรรมมาขู่ๆด้วย ดูเหมือนพ่อท่าน จะตั้งใจตอบ อย่างจริงจัง ไม่ได้ใส่ใจ กับลักษณะว่าใคร ของผู้ถาม

“เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งของพลังงาน ในเชิงฟิสิกส์ อย่างพลังงานแม่เหล็กดูด เกิดการติดกันอยู่ ก็เหมือนกับจำได้อยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า พลังงานแม่เหล็กนี่ จะดูดไปตลอดกาล มีอะไรมาคั่นมาขวาง ก็หมดฤทธิ์ได้เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ความจำของเรา ก็เหมือนกัน ถ้ามีเหตุปัจจัยอะไร มาทำลายมากพอ มันก็ทำให้ไม่จำแล้ว ถ้าเข้าใจภาวะสมมติ ตามเชิงฟิสิกส์นี่ เพราะฉะนั้น คนเรานี่ พอชาติหนึ่งตาย เกิดมาใหม่ เป็นเหตุปัจจัยที่ว่ามาลบ ก็เลยหายไป เหมือนกับม้วนเท็ป เอาแม่เหล็กไปล้าง คลื่นแม่เหล็กในเนื้อเท็ป ก็เปลี่ยนหายไปได้ นี่ลักษณะอย่างหนึ่ง ทำไมจำถึงลืมบ้าง

อีกอย่างหนึ่งก็คือ คนนี่จิตวิญญาณเป็นจิตวิญญาณจริง สามารถจำได้มาก จำได้น้อย คุณภาพต่างกัน คนมีบารมีต่างกัน

ทีนี้จิตวิญญาณนี่ ใช้สรีระ ใช้ร่างกาย ใช้ประสาท ใช้สมองเป็นอุปกรณ์ ในการใช้งาน คนเราเมื่อแก่ เมื่อป่วย หรือเมื่อ ประสาทเสีย บางครั้งบางคราว จำอะไรไม่ได้ ปฏิกิริยาอะไร ที่ทำให้เซลประสาทสมองมันลืม พอรักษาหายฟื้นขึ้นมา จำได้เก่งกว่าเก่า เป็นได้ นี่เกิดจากอุปกรณ์ วัตถุรูปในปัจจุบัน ที่เป็นร่างกายชีวิตมนุษย์ด้วย นี่เรื่องของทำไมลืม

วิธีแก้ลืม ก็ฝึกละกิเลส จะทำให้จำได้มากขึ้น เพราะมันไม่สับสน ถ้าเป็นปฏิภาณจำได้ นี่อย่างหนึ่ง ระลึกย้อนความจำไป ลึกๆ อีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสติ

ทำอย่างไรจะแก้ ก็คือฝึก ฝึกทั้งในการที่จะฝึกหัดจำ หัดทำให้จิตของเรานี่หยุดฟุ้งซ่าน หยุดไขว้เขว ให้จิตเป็นระเบียบ ทำอย่างไร จะจำดีขึ้น ก็ฝึก ไม่มีทางอื่น “

คำถามสุดท้ายของรายการเอื้อไออุ่นในวันนั้น จากหญิงคนหนึ่ง ที่ปฏิบัติธรรมมานาน ๒๐ ปี ตั้งแต่ยังอยู่กับสามี และลูก ซึ่งโตแล้ว กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย จนเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา เธอได้ขออนุญาตสามี และลูกๆ มาอยู่ช่วยงาน ที่บ้านราชฯ ก็ได้รับการอนุญาตด้วยดี เพราะจำนนต่อเหตุผลว่า เธอตั้งใจมาดี มาลดละเสียสละ ทำประโยชน์ต่อสังคม ให้ยิ่งขึ้น แต่ลึกๆ ทั้งสามีและลูก ก็ยังอยากให้เธอ อยู่ร่วมกัน ที่บ้านมากกว่า ด้วยศรัทธา และปัญญาที่ชัดเจน ทำให้เธอยืนยัน ที่จะใช้ชีวิต ที่บ้านราชฯ มากกว่า แม้จะไม่สะดวกสบาย เท่าที่บ้านก็ตาม ทรัพย์สมบัติที่จะพึงได้ พึงมีเป็นของตน เธอสละให้สามี และลูกๆ เมื่อไม่นานมานี้ สามีของเธอ คิดอย่างไรไม่ทราบได้ สามีของเธอมาขอร้อง บังคับ ข่มขู่ ใช้กำลังทำร้าย อีกทั้งยังพกปืนมาด้วย เรื่องถึงตำรวจ สามีของเธอ จึงเจอข้อหา พกอาวุธปืนในที่สาธารณะ

วันนี้เธอจึงถามพ่อท่าน เพื่อบรรเทาสิ่งที่ยังคาใจว่า “ดิฉันรู้ว่า ตัวเองมีวิบากเยอะ ทีนี้เราจะปฏิบัติตัวอย่างไร ให้เขาปล่อยวาง ให้เขาเข้าใจเราอย่างนี้ ไม่มาเป็นสิ่งขัดขวาง เราจะปฏิบัติตัวเองอย่างไรคะ “

“โอ๊ย! ไม่มีคำตอบอื่นหรอก มีคำตอบเดียว ทำให้เราเองแข็งขัน พัฒนาในธรรม ขึ้นมาจริงๆ เป็นคนที่ดีขึ้นมา และจะมี อำนาจทางธรรม เรียกธรรมฤทธิ์ เหมือนนางสีดา มีอำนาจในตัว เป็นธรรมฤทธิ์ในตัว ทศกัณฐ์เข้าใกล้ไม่ได้เลย ร้อน อย่างนี้เป็น บุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐานมีอีกซ้อน อาตมาไม่อธิบายแล้ว

ถ้าคุณเอง คุณทำให้ตนเองมีธรรมะสูง เป็นธรรมฤทธิ์นะ เขาเข้าใกล้ไม่ได้หรอก มันจะแพ้ภัยของธรรม แพ้ฤทธิ์ ของธรรมะ ไปเอง เรามีวิบาก เราก็ต้องสร้าง สิ่งที่เป็นกุศลให้มากๆ โดยเฉพาะ โลกุตรกุศล ถ้าเราสร้างแต่โลกียะ สร้างกุศลโลกียะ จะมีวิบาก ซ้อนง่าย ถ้าเป็นโลกุตระแล้ว จะเป็นกุศลโลกียะ และกุศลโลกุตระด้วย จะไม่มีวิบากโลกียะ ซ้อนมากนัก “

ช่วงปลายของทุกๆเดือน จะมีการประชุมหลายๆองค์กร ที่ผ่านมา พ่อท่านก็เข้าร่วมประชุม แทบทุกครั้ง เดือนมกราคมนี้ ก็มี ประชุมสาธารณโภคี ประชุมชุมชนสันตินาคร ประชุม ๔ องค์กร ประชุมบริษัท ขอบคุณ จำกัด นี่นับเฉพาะ ที่สันติอโศก บางเดือนก็ จะมีบริษัท แด่ชีวิตจำกัด บริษัท ฟ้าอภัยจำกัด บริษัทพลังบุญจำกัดด้วย รวมถึงที่จรอื่นๆ เช่น ศูนย์มังสวิรัติ สัจจะออมทรัพย์ สันตินาครบุญนิธิ ฝ่ายการศึกษา ฯลฯ ข้าพเจ้าเอง ไม่ได้เข้าร่วมฟังทุกองค์กร ยอมรับตามตรงว่า ขี้เกียจ เมื่อยหัวด้วย แต่พ่อท่าน นั้นต้องร่วมรับฟัง ร่วมคิดทุกองค์กร นี่ยังไม่รวมนับ กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย รายเล็กรายย่อย อีกมากมาย

การที่ทุกองค์กรล้วนต้องการให้พ่อท่าน เข้าร่วมประชุมด้วย เข้าใจว่า ไม่เพียงปัญญาที่ได้รับ และ การยุติปัญหา ได้เร็วเท่านั้น พ่อท่านจะมีบุคลิก กันเองง่ายๆ มีเรื่องบอกเล่า ผ่อนคลายอยู่ในตัว มิใช่ ตั้งหน้าตั้งตา จริงจังกับการประชุม อย่างเดียว

จากโอวาทปิดประชุมสาธารณโภคี ๒๖ ม.ค. ๒๕๔๔ ที่สันติอโศก เป็นอีกกาละหนึ่งที่ พ่อท่านเปรียบ ระบบบุญนิยม กับ ระบบทุนนิยม ที่น่าสนใจดังนี้

“เมื่อยิ่งทำยิ่งเห็นระบบบุญนิยม มีถึงขั้นสาธารณโภคี ยิ่งเห็นความเป็นไปได้ ด้านทุนนิยม เขามีวิธีของเขา เราดูทุนนิยมเขา ใหญ่ ก้าวหน้า แต่ระบบทุนนิยมมีเจ้าของ เอาไปแล้ว กลายเป็นคนที่รวย คนใดคนหนึ่ง ไล่ระดับลงมา แต่คนไม่รวย มันเกิดเยอะเลย ซึ่งที่เกิดเยอะ ต่างคนต่างมีกิเลสอยู่ มวลคนที่จน จิตก็ยังอยากรวยทั้งนั้น ยังไม่หยุดอยาก

ซึ่งต่างกันกับระบบบุญนิยม บุญนิยมจนเหมือนกัน ไม่มีใครรวยเป็นที่หนึ่ง จนเหมือนกันหมด และในจิตใจของคนจน เหมือนกันหมด จิตใจไม่เหมือนพวกทุนนิยม จิตใจสบายกว่า มีใจพอ สันโดษ มีความสบายใจ เบิกบานร่าเริง ไม่มีการคิดโค่น คิดฆ่าใคร ไม่ต้องคิดหาวิธี ให้ปวดสมอง ยิ่งคนที่ใจวิมุติ ตนก็หยุดอยากเด็ดขาด

เห็นได้ว่าเป็นระบบสังคม ความเป็นมนุษยชาติที่ต่างกันมาก และผลกระทบที่ชัดเจน คือการเฉลี่ย ทางเศรษฐศาสตร์ ทุนนิยม ทำไม่ได้ มันเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นไปไม่ได้ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ ที่สวยงามเฉยๆ เฉลี่ยรายได้ ไปสู่มือคนด้อยกว่าไม่ไปหรอก ทุนนิยม มีแต่โม้หลักการเฉยๆ กิเลสโลภเห็นแก่ตัว มันยังไม่ยอมเฉลี่ย เสียสละจริง

แต่หลักเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ทำได้ตามหลักการเศรษฐศาสตร์ ศาสตร์ต่างๆที่ร่ำเรียนมา เอาเข้าจริง ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์ทางการเมือง ไม่มีที่ไหนทำได้ แต่บุญนิยมทำได้ มันเป็นเรื่องเหมือนเล่นๆ แต่ไม่ใช่เล่น มันเป็นเรื่อง ของจิตวิญญาณที่ทำได้ และต้องมี องค์กรที่สมบูรณ์ มันเกิดจากพลังงานจิต วิญญาณเป็นต้นเหตุ ด้านทุนนิยม เขาจะมองยากมาก

อาตมาเขียนลงอาทิตย์วิเคราะห์รายวัน เขียนเรื่องบุญนิยม ทุนนิยม พยายามแจกแจง พยายามอธิบาย แนวคิดระบบบุญ นิยม ซึ่งอาตมากล้าเขียนไปมาก เพราะพวกเรามี คนจริง ทำจริง เป็นแล้วจริง เกิดขึ้นจริง มันเกิดขึ้นแล้ว ควรจะเปิดเผย ควรจะโชว์ ออกไป ซึ่งอาตมาคิดว่า มันจะยั่งยืน ตามหลักฐาน ของพระพุทธเจ้า มันจะเกิดความมั่นคง ยั่งยืนถาวร มันไม่เป็นอื่น มันไม่แปรเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีอะไรมาล้มล้าง มันไม่กลับกำเริบ มันเป็นสัจจะ

เพราะในเมื่อคนเราเห็นว่านี่มันดี เป็นสิ่งดี คนเราก็ปรารถนาที่จะทำสิ่งที่ดีๆ และเราก็ทำได้ด้วย พลังต้านคือ กิเลส มันลดลง มันไม่มี มันจึงจริง มันก็ไม่ควรจะช้า มันดีแล้ว เราทำได้แล้ว ก็ดีอีกต่างหาก มองไม่เห็นว่า จะมีอะไร มาทำให้ล้มได้ มันดีก็ยิ่งน่ายินดี สัจจะมันเป็นอย่างนี้ มันไม่ต้องฝืน ไม่ได้หลงผิด มันชัดเจนดี มีการเกื้อกูล เผื่อแผ่ เสียสละ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง

อาตมาคิดว่า ไม่มีใครโง่เง่า ที่จะไม่รู้ว่า สิ่งนี้มันดีจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาทำไม่ได้ โดยสามัญสำนึก อาตมาไม่เชื่อว่า ไม่มีใครไม่ใฝ่ดี ทุกคนใฝ่ดี โจรมันยังใฝ่ดีเลย แต่มันทำไม่ได้ ขอให้ทุกคนแข็งแรง ประสบผลสำเร็จ ในภาวะ ที่พาให้เจริญต่อไป... “

เกี่ยวกับสุขภาพกายของพ่อท่าน ๒๘ ม.ค. ๒๕๔๔ ที่สันติอโศก ขณะพ่อท่านเคี้ยวอาหาร มีอาการเจ็บร้าวๆ บริเวณกราม ด้านซ้าย นอกจากนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งจะเห็นตุ่มเนื้อ ที่มีน้ำใสๆ บริเวณอก พ่อท่านบอก เป็นอย่างนี้มาเดือนกว่าแล้ว

ข้าพเจ้าถามอาการเจ็บร้าวที่กรามว่า พ่อท่านเคยผ่าฟันคุดหรือยัง พ่อท่านตอบว่า เคย ๔๐ ปีได้แล้วมั้ง ตอนนั้น ผ่าซี่ล่างซี่เดียว

วันรุ่งขึ้น ๒๙ ม.ค. ๒๕๔๔ ท.พ.กิตติโชติ บุญศรี ลูกชายหมอพจน์ มาตรวจดูบริเวณกราม ของพ่อท่าน ได้ข้อสรุปว่า เกิดจากกระดูก บริเวณกรามอักเสบ ขอให้พ่อท่าน หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารข้างซ้าย และควรงด การใช้เสียงเทศน์ด้วย

ขณะร่วมประชุมบริษัทขอบคุณจำกัด คุณเพ็ญเพียรธรรม ช่วยเอาห่อสมุนไพร ที่คุณเหมือนพรให้มา ให้พ่อท่าน ประคบร้อน สลับเย็น บริเวณกราม ที่มีอาการเจ็บร้าว ผลปรากฏว่า อาการเจ็บร้าวลดลง

วันต่อมา ๓๐-๓๑ ม.ค. ๒๕๔๔ ที่สันติอโศก คุณพรเพ็ญ รัศมีวิเชียรทอง นักกายภาพบำบัด ซึ่งแบ่งเวลา จากทางครอบครัว มาช่วยงานที่สันติอโศก อยู่เสมอๆ ได้มาช่วยอุลตร้าซาวน์ บริเวณกรามที่เจ็บร้าว ทำให้พ่อท่าน มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ อาการเจ็บร้าว น้อยลง นอกจากนี้ พ่อท่านยังคงไปอบ และประคบสมุนไพร โดยสรุป พ่อท่าน ยอมรับการรักษา ทั้งแผนปัจจุบันบางอย่าง และ ภูมิปัญญาชาวบ้านบางอย่าง

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรม ทำวัตรเช้า วันปีใหม่ ๑ ม.ค. ๒๕๔๔ ที่น่าสนใจดังนี้

“ ...โลุตระต่างจากโลกียะ ตรงที่ โลกุตระรู้จักกรรม รู้จักธรรมะที่เป็นโลกุตระ โลกุตระมีทั้งกุศลโลกีย์ และกุศลโลกุตระ นั้น คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

การพ้นมิจฉาทิฏฐินั้น ยังถือเป็นโลกียะ เป็นปุถุชนอยู่ ต่อเมื่อพ้น สักกายะทิฏฐิด้วยนั่นแหละ จึงจะถือเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะ

การจะพ้นมาสู่ขีดโลกุตระ จะต้องมีญาณ มีวิธีการปฏิบัติพากเพียร ลดละกิเลส ลดละโลกียะ โลกีย์ ก็มีกุศลได้ แต่เป็นกุศลโลกีย์ ไม่มีกุศลที่เป็นโลกุตระ

โลกในอีกหลายร้อยปีจากนี้ไป จะมีผู้ที่มีโลกุตรธรรม มีคนบุญจะช่วยโลกไว้ ให้อยู่ไปได้อีก จนกว่าจะหมด ภัทรกัปนี้ “

อนุจร
๑ มี.ค. ๒๕๔๔

     

(สารอโศก อันดับ ๒๓๔ มีนาคม ๒๕๔๔ หน้า ๖๑ - ๖๙ บันทึกจากปัจฉาสมณะ ๒ )