กรรมตามสนอง ตอน
ไฟโลกันต์

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 235
เดือน เมษายน 2544
หน้า 1/1

กรรมตามสนอง เรื่องไฟโลกันต์นี้ กระผมผู้เขียน ได้รับการบอกเล่าจาก คุณพ่อบุญเรือง แสงพรหมสี อายุ ๕๐ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒/๑ บ้านหินฮาว หมู่ที่ ๔ ต.โนนฆ้อง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น


คุณพ่อบุญเรืองได้เล่าให้ฟังว่า ได้พบ ได้เห็น ได้พูด ได้คุย กับคนที่โดน วิบากกรรม เล่นงานมา จนถึงแก่ความตาย เหตุได้เกิดขึ้น กับชีวิตของพี่ชาย ของคุณพ่อ บุญเรืองเอง คือ คุณลุงจัน แสงพรหมสี ซึ่งหลังจากแต่งงาน มีครอบครัวแล้ว ก็ยึดอาชีพ ทำไร่ทำนา ตามปกติที่พ่อแม่ ปู่ย่า เคยทำมา แต่หลังจาก ทำไร่ทำนา เสร็จแล้ว ลุงจันก็จะหาปลาขาย หรือไม่ก็หารับจ้าง ทำงานทั่วไป

ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวในนา น้ำในนาที่มีหอย ปูปลาอาศัยอยู่ ก็เริ่มแห้งขอด ไปบ้างแล้ว พวกชาวนา ก็จะพากันเอาสุ่ม เอาสวิง เอาแห ออกไปจับปลา ตามทุ่งนา เพื่อเอามา ทำอาหารกินกัน

ลุงจันผู้เป็นพี่ชายของคุณพ่อบุญเรือง ก็เหมือนกับ ชาวบ้านทั่วๆไป ใช้เครื่องมือ หาปลา จับปลา ได้ง่ายขึ้น เมื่อลุงจันหาปลามาได้ ก็จะนำเอาปลาเหล่านั้น มาขังใส่หม้อ ใส่ข้อง เอาไว้ในครัว บนบ้าน เพื่อเอามาทำ เป็นอาหาร หรือเอาไว้ขาย บ้างก็ทำเป็น ปลาแห้ง เอาไว้กินนานๆ

แต่ทว่า ที่บ้านลุงจันนี้ จะมีแมวป่า มาขโมยกินปลา ของลุงจัน อยู่เป็นประจำ ลุงจัน จึงมีความผูกโกรธ พยาบาท เจ้าแมวขโมยตัวนี้ เป็นอย่างมากทีเดียว

ลุงจันจึงวางแผน หาวิธีจับแมวหัวขโมยตัวนี้ ด้วยการเอาปลาใส่ข้อง แล้วก็เอาเชือกเส้นเล็กๆ มาทำเป็นบ่วง ดักเอาไว้ที่ปากข้อง ที่ใส่ปลานั้น ส่วนปลายเชือกอีกข้าง ก็เอามาผูก กับเสาเรือนไว้ ตกดึกของคืนนั้น เจ้าแมวที่เคยขโมย กินปลา ของลุงจัน ก็ดอดขึ้นมาบนบ้าน แล้วมันก็พบปลา อยู่ในข้อง ในครั้งนั้นเอง มันเห็นฝาข้องเปิดอยู่ จึงเอาหัวมุดลงไป ในข้องอันนั้น เพื่อจะคาบเอาปลา ออกมากิน เหมือนทุกคืน ที่เคยทำมา หลังจากที่มันคาบ เอาปลาได้แล้ว ก็ยกหัวของมัน ขึ้นมาจากข้อง ที่ใส่ปลานั้น

แต่ทว่า... พอมันเอาหัวออกจากข้องได้แล้ว ก็จะคาบเอาปลาไปกิน คอของมัน ก็โดนเชือกบ่วง ที่ลุงจันทำดักเอาไว้ พอมันรู้ว่าติดบ่วง มันก็พยายามดิ้น ดิ้นเพื่อให้หลุด จากบ่วงนั้น ทั้งร้อง ทั้งขู่ ทั้งดิ้น แต่มันก็ไม่สามารถดิ้น ให้หลุดจากบ่วงนั้น ไปได้เลย

แมวร้องไปได้สักครู่ ลุงจันก็ตื่นขึ้นมา แล้วก็ตรงมายังแมวขโมย ตัวนั้นทันที พร้อมกับพูดไปว่า "มึงมาติดบ่วงกูแล้วหรือ เจ้าแมวหัวขโมย วันนี้มึงรู้ไหมว่า เป็นวันตายของมึง จงเตรียมตาย ได้แล้วละมึง"

คุณพ่อบุญเรืองยังเล่าต่อไป... ตอนที่แมวติดบ่วง แล้วมันร้องนั้น ผมก็ตื่นขึ้นมาดู เหมือนกัน เพราะบ้านของผม ก็อยู่ใกล้ๆกัน กับบ้านของลุงจันนั่นเอง พอผมขึ้นไป บนบ้านของลุงจัน ผมก็เห็นลุงจัน กำลังเอาหมอน ใบเล็กๆ ที่ทำเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว เอามาผูกติดกับหลัง ของแมวตัวนั้น ผมจึงถามไปว่า " เอ้อ! คุณพี่ครับ จะทำอะไร กับแมวตัวนี้ล่ะครับ "

"พี่กำลังจะเอาหมอนผูกติดกับหลังแมวขี้ขโมยตัวนี้ จะเอาน้ำมันก๊าด เทใส่หมอน แล้วก็จะจุดไฟเผา ให้มันตาย โทษฐานที่มันมาขโมย กินปลาของพี่ล่ะ"

พอผมรู้ว่า ลุงจันผู้เป็นพี่ชายจะทำบาปทำกรรมกับแมว แค่นั้นแหละ ผมจึงพูด เตือนสติไปว่า "คุณพี่ครับ โปรดวางแมวลงก่อน ฟังผมก่อน จะได้ไหมครับ ก่อนที่พี่จะทำบาปอะไร กับแมวตัวนี้ ผมขอพูด ในฐานะน้อง ผู้หวังดีต่อพี่ชาย เพราะผมเคยบวชเรียน เคยศึกษาธรรมะ มาพอสมควร จึงอยากจะบอกกับพี่ว่า...

การที่ทำบาปกับแมวนั้น คนเฒ่าคนแก่ เคยสอนเอาไว้ว่า มันจะเป็นบาป เป็นกรรม เป็นเวร และเป็นภัย ย้อนมาสนองเรา ทีหลังนะครับ ดูแต่วัดบางแห่ง เขายังวาดรูป คนหาบช้าง คู่กับแมว ติดฝาผนังวัด เอาไว้เป็นปริศนาธรรม ให้คนดูเลยก็มี (ภาษาอีสานเว้าว่า หาบช้างซาแมว) ความหมายของ คนหาบช้างคู่กับแมว ก็คือ ถึงแมวตัวมันจะเล็ก นิดเดียว แต่ทว่าการทำบาปกับแมว เป็นกรรม เป็นเวร และเป็นภัย ใหญ่หลวงนัก ถ้าเปรียบเทียบ กับช้าง น้ำหนักบาป ของแมวตัวเล็กนี้ ก็จะหนักเท่าๆ กับช้าง ตัวใหญ่เลยทีเดียวนะพี่

มีคติอยู่บทหนึ่ง ท่านเขียนเอาไว้ว่า คนเราเกิดมาไม่ช้าก็ตาย หากมีโอกาส สร้างความดี ก็จงสร้างให้ มากๆ และทำสิ่งที่ไม่ดี ให้น้อยๆ หากพี่จัน ปล่อยแมว ขโมยตัวนี้ไป ก็จะเป็นการสร้างกรรมดี เป็นการให้อภัยทานแก่สัตว์ และเป็นการสร้างสม บุญบารมี ให้แก่ตัวของพี่จันด้วย

แมวหรือสัตว์เดรัจฉาน มันมีบุญน้อย ถึงไม่ได้เกิดมาเป็นคน พระท่านว่า สัตว์เดรัจฉาน ทุกตัวตน ที่เกิดมา ร่วมโลกเดียวกันกับเรานี้ ไม่มีสัตว์ตัวไหนเลย ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก และเป็นญาติพี่น้อง ของเราเลย จงให้อภัยแก่แมว ปล่อยเขาไป เพื่อเป็นทาน แก่สัตว์โลก ผู้น่าสงสารเถิดนะครับ"

ในตอนแรกๆ ลุงจันก็คล้อยตามที่ผมติงเตือนสติอยู่เหมือนกัน ผมเห็นลุงจัน กำลังจะแก้หมอน ออกจากหลังของแมว และทำท่าว่า จะปล่อยแมวไปอยู่แล้ว แต่ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียว ลุงจันกลับเปลี่ยนใจ มันคงจะเป็น เพราะลุงจัน ผูกพยาบาท อาฆาตแมวตัวนี้ เอาไว้มาก ผมเห็นลุงจัน รีบมัดหมอนคืนไว้ พร้อมกับพูดว่า "มันต้องตาย ถึงอย่างไร มันก็ต้องตาย เพราะหากมันไม่ตาย มันก็จะมาขโมย กินปลาของพี่อีก" พูดไม่พูดเปล่า มือหนึ่งจับแมวเอาไว้ มือหนึ่งถือเอา ขวดน้ำมันขึ้นมา แล้วก็เท น้ำมันก๊าดใส่หมอน ที่อยู่บนหลัง ของแมวตัวนั้น แล้วก็อุ้มแมว เดินลงจากบ้านไป

เดินมาถึงใต้ถุนบ้าน ผมเห็นลุงจันเอาไม้ขีดไฟ มาจุดไฟใส่หมอน ที่เปียกชุ่ม ด้วยน้ำมันก๊าดนั้น พอไฟลุกขึ้น ลุงจันก็รีบปล่อยแมวลง มันก็รีบวิ่งหนีไป ความร้อนของไฟ ที่อยู่บนหลังของแมวนั้น ทำให้แมวรีบวิ่งหนีๆๆ หนีสุดชีวิต เพื่อให้หนีพ้น จากการเผาไหม้ ของไฟนั้น

แมวตกใจกลัวไฟ ยิ่งวิ่งเร็ว ไฟก็ยิ่งลุกโพลงสว่างจ้า ทำให้ผู้คนที่ตื่นขึ้นมา เห็นเหตุการณ์ พากันส่งเสียงหัวเราะ ชอบใจไปตามๆกัน แมววิ่งหนีไฟ เพราะความร้อน เพราะความเจ็บปวด เพราะความตกใจกลัวตาย มันวิ่งหนีตาย อย่างหัวซุกหัวซุน เข้าไปในป่าอ้อย ของเพื่อนบ้าน ที่ปลูกเอาไว้ ใกล้ๆหมู่บ้านนั้นเอง

ป่าอ้อยกำลังลำใหญ่ พอตัดขายได้แล้ว จะมีหญ้าแห้งๆ และใบอ้อยแห้ง รวมอยู่ด้วย มันจึงกลายเป็น เชื้อของไฟ เป็นอย่างดี เพียงไม่นาน ป่าอ้อยจำนวน ๒ ไร่ ก็กลายเป็น ทะเลเพลิง ไปในทันที และแมว ผู้น่าสงสารตัวนั้น ก็ได้ตายลง ที่ป่าอ้อยไฟไหม้นั้นเอง

วันต่อมา เจ้าของป่าอ้อย พอรู้ว่า สาเหตุ ที่เกิดไฟไหม้ในครั้งนี้ เกิดจากลุงจัน จุดไฟเผาแมว จึงเรียก ค่าเสียหาย จากลุงจัน เป็นจำนวนเงินถึง ๘,๐๐๐ บาท นี่คือผลของกรรม ที่ทันตาเห็นของลุงจัน

ต่อมาอีก ๓ ปีให้หลัง เจ้ากรรมนายเวร ที่ลุงจันเคยก่อกรรม ทำเข็ญเอาไว้ ก็มาทวง เอาชีวิตคืน ในปีนั้น คือปี ๒๕๓๓ หลังจากที่ลุงจัน ทำไร่ทำนา เก็บเกี่ยวข้าว ขึ้นเล้าขึ้นฉางแล้ว ในราวเดือนมีนาคม ต่อเดือนเมษายน ก็คือฤดูที่มีแดดร้อนจัด มีคนในหมู่บ้านเดียวกัน ได้มาว่าจ้าง ให้ลุงจันไปเลื่อยไม้ ที่หัวไร่ปลายนา เอามาทำเครื่องเรือน

ลุงจันไปเลื่อยไม้ เห็นว่าแดดมันร้อนจัด อากาศก็ร้อนอบอ้าว เลยไม่ใส่เสื้อทำงาน เรียกว่าถอดเสื้อ ตากแดดทำงาน เลยทีเดียว ทำอยู่อย่างนั้นถึง ๗ วัน และในตอนเย็น ของวันที่ ๗ นั้น ลุงจันก็บ่น ว่าปวดหัว ตัวร้อนเป็นไข้ จึงขอพักงาน เพื่อกินยา รักษาตัว อยู่ที่บ้าน ผู้เป็นภรรยา จึงไปหาซื้อยาแก้ไข้ แก้ปวด ตามร้านในหมู่บ้าน มาให้กิน แต่อาการไข้ และปวดหัว ก็ไม่ดีขึ้นเลย

จากนั้นอีก ๓-๔ วัน ลุงจันก็รู้สึกว่า มีตุ่มเล็กๆขึ้นมา ตามแผ่นหลัง รู้สึกคันมาก จึงเอามือไปเกา ตรงที่มันคันนั้น พอเอามือไปเกาโดน เนื้อหนังก็หลุด ติดมือออกมาด้วย ลุงจันรู้สึกเจ็บ ปวดแสบ ปวดร้อน จึงบอกลูกเมียมาดู ปรากฏว่าแผ่นหลัง ตรงที่ถูกแดด แผดเผานั้น ได้กลายเป็น แผลพุพอง เปื่อยยุ่ย ดูๆไปก็คล้ายๆ โดนไฟไหม้หลังมา อย่างนั้นแหละ

ยิ่งคันลุงจันก็ยิ่งเกา ยิ่งเกาเนื้อหนัง ก็ยิ่งหลุดลุ่ยติดมือมาด้วย มันยิ่งทำให้เป็นแผล เน่าเปื่อย เต็มหลังไปหมดเลย ลุงจันได้รับความรู้สึก ปวดแสบปวดร้อน ราวกับโดน ไฟในโลกันต์ เผาไหม้ เอาเลยทีเดียว

ลุงจันสารภาพกับผมว่า "ขณะที่นอนป่วยอยู่นั้น จะหลับตาลงไปคราใด ก็เห็นแต่ ภาพเหตุการณ์ ตอนที่แมวโดนไฟเผา มันจะปรากฏ ในมโนสำนึก อยู่เสมอ ดูมันดิ้นรน กระเสือก กระสนหนีตาย มองเห็นภาพนั้นแล้ว ชวนให้สงสารมันจริงๆ ภาพแมว ตามมาหลอน หรือมาทวงเอาชีวิต ของมันคืน แม้แต่ อาการปวดแสบ ปวดร้อนตามตัว ตามแผ่นหลัง ของพี่คราวนี้นั้น มันคงจะเป็น กรรมของพี่ ที่เคยเอาไฟ เผาหลังแมว จนแมววิ่งหนี ไปตายในป่าอ้อย คราวนั้นแน่นอน หากว่าพี่ เชื่อคำพูดของน้อง ในคราวนั้น พี่ก็คงจะไม่ต้องมา ทนทุกข์ทรมาน อย่างนี้หรอก"

ลุงจันป่วยอยู่ที่บ้านถึง ๖ วัน แม้จะกินยาขนานใด อาการป่วยนั้น ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ปวดหัวมาก จนหัวแทบระเบิด ออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ พวกญาติพี่น้อง ลูกเมียเห็นว่า หากขืนมัวรักษา อยู่ที่บ้านต่อไป คงจะไม่หายป่วย เป็นแน่ จึงพากันไป เหมารถโดยสาร ในหมู่บ้าน พาลุงจันไปส่ง โรงพยาบาล แต่พอรถวิ่ง ออกจากหมู่บ้าน ไปไม่ไกลเท่าใดนัก ลุงจันก็ทนความปวดหัวไม่ไหว ได้สิ้นใจตาย อยู่บนรถโดยสาร คันนั้นเอง (เส้นเลือดในสมองแตกตาย)

ลุงจันตายไปแล้ว ผมและพวกชาวบ้าน ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันเกิดจาก ผลของกรรม ที่ตามมาสนอง เนื่องจากลุงจัน เอาไฟเผา แมวตอนเป็นๆ จนแมวตาย อย่างทรมานที่สุด คุณพ่อบุญเรือง แสงพรหมสี กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด

ก่อแก่น


ก่อนจาก ผู้เขียนขอคัดเอาบทธรรมจากพระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ จูฬกัมมวิภังคสูตร ข้อที่ ๕๘๒-๕๘๔ ใจความว่า... การเป็นผู้มักทำให้ชีวิตสัตว์ตกล่วงไป เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นอยู่ในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูสัตว์มีชีวิต ตายไป ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนมีอายุสั้น ส่วนการเบียดเบียนสัตว์ ด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ของมีคม ตายไป ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนมีโรคมาก

อาริยะยุค ๒๐๐

กรรมตามสนอง (สารอโศก อันดับ ๒๓๕ หน้า ๑๓๘ - ๑๔๒ เมษายน ๒๕๔๔)