วันแม่'๔๔

"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เรา เฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเห ไปจนไกล..."

เสียงเพลง'ค่าน้ำนม'ดังกระหึ่มอีกครั้ง เมื่อถึงเทศกาล'วันแม่' ซึ่งหลายคนอยากให้ถึงวันนี้เร็วๆ เพราะจะได้เจอคุณแม่ จะได้บอก..."ความในใจ" จะได้ทำอะไรๆเพื่อคุณแม่ที่ เรารัก.. นี่คือสิ่งที่เด็กนักเรียนประจำ อย่างพวกเรา สัมมาสิกขา สันติอโศก อยากจะทำ... และแล้ว... วันนั้นก็มาถึง วันที่ ๑๑ ส.ค.๒๕๔๔ แม่ๆทั้งหลาย ต่างทยอยเดินทาง มากันแต่เช้า ฝ่ายลูกๆ ก็เตรียมารับเต็มที่ จัดให้มีฝ่ายต้อนรับโดยเฉพาะ จัดทำอาหาร ไว้บริการด้วยฝีมือ ของลูกๆเอง

งานนวันแม่วันนี้ เริ่มงานเวลา ๑๗.๐๐ น. กล่าวเปิดงานโดย สมณะกล้าดี เตชพหุชโน มีการจัดเลี้ยงอาหาร แบบบุพเฟ่ ฝีมือของนักเรียน ม.๓ ชาวชุมชนก็มาร่วมงานด้วยอย่างคึกคัก ที่ดีใจอย่างสุดๆ ก็คงจะเป็นคุณแม่ และลูกๆ ที่ได้ทานข้าว ร่วมกัน อย่างอบอุ่น ทานข้าวไป ชมการแสดง ของลูกๆไปด้วย

นอกจากนี้ยังมีรายการแสดงจากบริษัทฟ้าอภัย จากพ่อ-แม่ผู้ปกครองของนักเรียนเอง และแทรกด้วย การอ่านเรียงความ ของนักเรียน ที่ชนะการประกวด ได้ฟังน้องใหม่ กรรณิการ์ หมกทอง อ่านเรียงความแล้ว น้ำตาไหล ด้วยความซาบซึ้งใจ คนอ่านก็อ่านด้วยเสียง สั่นเครือ...

"...ข้าพเจ้าโตขึ้นมา แม่ก็จากข้าพเจ้าไป ตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๖ ขวบ ข้าพเจ้าโตขึ้นมา ด้วยความดูแล จากพ่อ ของข้าพเจ้า พอข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ขวบมีคนบอก แต่ข้าพเจ้าว่า 'แม่ข้าพเจ้า เป็นผู้หญิงที่ไม่รักลูกเลย' แต่ตอนนั้น ตัวข้าพเจ้า ยังเล็กอยู่มาก

พอข้าพเจ้าอายุได้ ๑๑ ขวบ ความรู้สึกที่ดีต่อแม่ ก็หายไปจากหัวใจ มีสิ่งที่แทนคำว่า'รัก' คือคำว่า'เกลียด'

ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้มาอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่ง คือโรงเรียนสัมมาสิกขา สันติอโศก เป็นโรงเรียนที่ให้ความรัก และ ความอบอุ่น กับข้าพเจ้ามาก

มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้กลับมาจากสวนสามวา พี่สาวบอกข้าพเจ้าว่า มีคนโทร.มาหา แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยอยากรู้ พอไม่นาน มีคนโทร.มาหาข้าพเจ้า เสียงแรกที่ผู้หญิงคนนั้น พูดกับข้าพเจ้าคือ "ลูกสบายดีหรือ?"

ข้าพเจ้านึกอยู่นาน ว่าคำๆนี้ เป็นเสียงของใคร เพราะโตขึ้น มีแต่พ่อเท่านั้น ที่เรียกลูก พอเธอบอกว่าคือ 'แม่' ความรู้สึกตอนนั้น ของข้าพเจ้าก็คือ รู้สึกเงียบไปสักพัก จากความรู้สึกที่'เกลียด' มันก็หายไป จากหัวใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบอกแม่ว่า "รักแม่มากที่สุด" ความเกลียดที่มีต่อแม่ มันหายไปไหนไม่รู้

ตอนนี้ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๔ จะอายุ ๑๕ ปีแล้ว สิ่งแรกในวันนี้ ข้าพเจ้าอยากบอกว่า รักแม่มากที่สุด ตั้งแต่ข้าพเจ้าโตขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ได้กราบแม่เลย ๑๕ ปีแล้ว ที่ข้าพเจ้า ไม่เคยเห็นหน้าแม่ วันแม่ปีนี้ ข้าพเจ้าอยากเห็น หน้าแม่มากที่สุด ไม่มีสิ่งใด มาทำให้หัวใจของข้าพเจ้า เปลี่ยนแปลงไปเลย...

ฟังแล้วอยากจะบอกคนที่มีแม่อยู่ใกล้ๆจังเลยว่า "เธอนั้นโชคดีที่สุด ขอให้รักแม่ให้มากๆนะ และก็เป็นคนดีด้วย"

จุดเด่นของงานอีกอย่างก็คือ นักเรียนสัมมาสิกขาฯ ร่วมกันกราบขอบคุณ พ่อแม่ของตน และพ่อแม่ที่ ๒ คือชาวชุมชน ที่อุปการะ ดูแลพวกเรา ดุจลูกหลาน โดยมีพิธีกรเสียงใส น้องเปิ้ล ศศิธร พูดนำกราบ

"...พวกเรา...นักเรียนสัมมาสิกขา ได้จากพ่อ-แม่-ญาติพี่น้องมาอยู่ที่นี่... ก็ได้รับความรัก ความอบอุ่น จากทุกๆท่าน ซึ่งท่านคอยดูแล เอาใจใส่เราอย่างดี เปรียบเสมือนท่านเป็นพ่อแม่คนที่ ๒ ของพวกเรา ในโอกาสนี้ พวกเรา นักเรียนทุกคน กราบขออภัย ในสิ่งที่พวกเรา ได้ทำบกพร่อง ผิดพลาดไป และขอกราบขอบพระคุณ สำหรับทุกๆสิ่ง ที่ท่านได้มอบให้ กับพวกเรา ขอบคุณมากค่ะ"

เราจะกราบผู้ใหญ่เวียนไปเรื่อยๆ กราบให้ได้มากคนที่สุด กราบด้วยหัวใจที่ขอบคุณจริงๆ สุดท้าย ก็กราบขอบคุณ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด...

งานวันแม่วันนี้ จบลงด้วยความซาบซึ้ง อบอุ่นใจ ในเวลา ๒๑.๓๐ น. สมณะกล้าตาย ปพโล กล่าวปิดงาน จากนั้นพวกเรา รวมพลังกันเก็บงาน แล้วแยกย้ายกันพักผ่อน

พรุ่งนี้เจอกันใหม่อีกครั้ง ในงานวันแม่'๔๔ ซึ่งทางนักเรียนสัมมาสิกขาฯ จัดร่วมกับนักเรียน พุทธธรรมวันอาทิตย์

๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๔
บรรยากาศเริ่มคึกคักตั้งแต่เช้ามืด นักเรียนสัมมาสิกขาฯ พร้อมทั้งคุณพ่อคุณแม่ ตักบาตรร่วมกัน มีชาวชุมชน สันติอโศก ร่วมด้วย แถวตักบาตรยาวเหยียด ทำให้บริเวณ หน้าพุทธสถาน สันติอโศก ดูคึกคัก เป็นหมู่เป็นมวล เป็นพิเศษ ทุกคนต่างก็มีใบหน้า ที่อิ่มบุญ ยิ้มแย้มแจ่มใส เข้าหากัน พูดคุยทักทายกัน อย่างมีความสุข

สำหรับงานวันแม่วันนี้ เริ่มเวลา ๑๒.๑๕ น. สมณะเมืองแก้ว ติสสวโร กล่าวเปิดงาน มีตัวแทน นักเรียนพุทธธรรรมฯ กับนักเรียน สัมมาสิกขาฯ อ่านเรียงความ วันแม่ ที่ชนะการประกวด

หลังจากนั้นก็เป็นพิธีกรรมที่สำคัญคือ นักเรียนสวดบทเคารพคุณบิดา-มารดา ตามด้วยลูกๆทุก คนเข้าไปกราบ คุณแม่ของตัวเอง บนเวที บรรยากาศอบอุ่น ถ้าให้เรียกเว่อร์ๆ เห็นจะเป็นประโยคที่ว่า 'น้ำตาท่วมเวที' ลูกๆซึ้ง คุณแม่เอง ยิ่งซึ้งใหญ่ ซับน้ำตา ไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว

ปีนี้มีผู้มาร่วมงานมากกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้คุณแม่กับลูกบางคน ต้องล้นลงด้านล่างเวที เช่น ครอบครัว อาจารย์แม่ลดาศรี สุ่มมาตย์ ซึ่งทั้งลูกของอาจารย์แม่เอง และหลาน ดูแล้วช่างเป็นครอบครัวใหญ่ และอบอุ่นจริงๆ

สำหรับการแสดงบนเวทีปีนี้คึกคัก มีการแสดงของนักเรียนสัมมาสิกขา นักเรียนพุทธธรรมและผู้ปกครอง เรื่องที่กินใจ ผู้ชมสุดๆ เห็นจะเป็นละครเรื่อง 'กาลครั้งหนึ่งวันนี้' ของนักเรียนสัมมาสิกขาฯ เป็นเรื่องราวของ ความรักวัยรุ่น ซึ่งสุดท้าย คนที่รักเราจริงที่สุด ก็คือ คุณแม่ของเราเอง ช่วงสุดท้ายของละคร พระเอกในเรื่อง ทำเซอไพรส์ผู้ชม โดยการลงจาก เวทีมากราบงามๆ บนตักของบุพการี ผู้ชมยิ้มชอบใจไปตามๆกัน ความดีความชอบเรื่องนี้ ขอยกให้ผู้แต่ง น้องเปิ้ล ศศิธร ม.๖ จ้า

ในส่วนของพุทธธรรม ก็จะมีทั้งรีวิวและละคร ซึ่งปีนี้ผู้ปกครองพุทธธรรม มีความกระตือรือร้น ที่จะแสดงละคร เป็นพิเศษ ลงทุนเขียนเรื่องเอง เลยทีเดียว 'ยังงี้แหละชีวิต' คือชื่อเรื่องของละคร เป็นเรื่องราวของวัยรุ่น ที่หลงใหล ไปตามกระแสสังคม ทำให้พ่อแม่ กลุ้มอกกลุ้มใจ แต่โชคดี ที่เมื่อผิดพลาดแล้ว ก็กลับตัวกลับใจใหม่ มาเป็นลูกที่ดี ของพ่อแม่... สาธุ

สุดท้ายของรายการ นักเรียนทุกคนร่วมกันร้องเพลง'อิ่มอุ่น' สิกขมาตุ จิตรา กล่าวปิดงาน ท่านฝากให้พวกเรา ลูกๆทุกคน เป็นเด็กดีของพ่อแม่ เป็นคนดี ของสังคมต่อไป

สุพินทอง+ปิยะวรรณ


วันแม่'๔๔ หนังสือสารอโศก อันดับที่ ๒๓๙ หน้า ๑๗ - ๒๑