>สารอโศก

 
บันทึกจากปัจฉาสมณะ
ตอน..ก่อ..คนรากหญ้า
(๒)

หน้า 2/3


๓.วิพากษ์วิภาษณ์ การศึกษาและสังคม
๓.๑ คนศิวิไลซ์ ย่อมรู้ความสำคัญในความสำคัญ
๙ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันไหว้ครูของนิสิต ม.วช.และนักเรียน สส.ธ. ช่วงทำวัตรเช้า สมณะ สิกขมาตุ และคุรุ ให้โอวาทกับนิสิต และนักเรียน โดยกำหนดช่วงเวลา ๘.๐๐-๙.๓๐ น. เป็นพิธีกรรมวันไหว้ครู หลังจากนั้น ให้พ่อท่านแสดงธรรม ขณะเดินทางจากห้องทำงาน มาที่เฮือนศูนย์สูญ พบเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ขี่จักรยาน เมื่อได้เวลา แสดงธรรม พ่อท่านจึงหยิบยกเอาเหตุนี้ เป็นส่วนประกอบการสอน พูดเสียงดุๆ

"...เมื่อครู่นี้ อาตมาเห็นนักเรียนคนหนึ่ง ถีบจักรยานเล่นอยู่ข้างนอกโน่น อาตมาไม่รู้ว่า ถีบจักรยานไปทำอะไร มีความรีบด่วน สำคัญยังไง (เพื่อนไม่สบาย) เพื่อนไม่สบายเมื่อไหร่ (เมื่อเช้านี้) เมื่อเช้านี้ แล้วทำไมต้องไปเยี่ยมตอนนี้ อะไรนะ ทำรายการ ก็รายการยังไม่เสร็จนี่

ก็เอาเหตุนี้เทศน์ให้ฟัง วันนี้เด็กๆก็ตาม ให้รู้จักความสำคัญในความสำคัญ พิธีกรรมอย่างนี้ เป็นพิธีกรรมสำคัญ เพื่อนที่ไม่สบายนั้นน่ะ จะกินข้าว ฝากคนอื่นก็ได้ ที่เขาไม่ใช่ฐานะนักเรียน ตอนนี้นักเรียน จะต้องไหว้ครู นักเรียน จะต้องมาอยู่ ในที่พรักพร้อม ถ้าไม่มีความจำเป็น ถึงคอขาดบาดตาย ต้องเห็นความสำคัญ ในพิธีกรรม นี่เป็นเรื่อง ของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของความสำนึก เป็นเรื่องของปัญญา ถ้าปัญญาต่ำ ปัญญาด้อย ก็จะไม่เข้าใจ จะไม่รู้ว่านี่คือ ความสำคัญ ที่เราจะต้องให้ความสำคัญ ปีหนึ่งมีหนหนึ่ง เพราะฉะนั้น จะต้องมีปัญญา จะต้องรู้ รู้จักสาระ ระดับอะไรสูง อะไรต่ำ อะไรสำคัญมาก อะไรสำคัญน้อย อาตมาพอเห็น เอ ถีบรถเฉย เรื่อยๆเล่นๆ ทั้งๆที่นี่ กำลังดำเนิน พิธีกรรม ก็เลยเห็นชัดเจนเลยว่า ไม่เข้าใจความสำคัญ ในความสำคัญ อันนี้เป็นความบกพร่อง เป็นความโง่ เป็นความไม่มีปัญญา เป็นคนไม่ศิวิไลซ์ เป็นคนไม่เจริญ นี่เป็นการสอน"

๓.๒ คลั่งไคล้แมนยูฯ เพราะพุทธเพี้ยน
นอกจากเอาเหตุการณ์ปัจจุบันมาบอกสอน พ่อท่านยังนำเอาเหตุการณ์สังคมที่เป็นข่าว มาวิพากษ์ วิจารณ์ ให้เห็น ความวิปริต ของสำคัญ จากกรณีที่ทีมฟุตบอล แมนเชสเตอน์ยูไนเต็ด ได้มาลงเตะ กับทีมชาติไทย เมื่อปลายเดือน ที่ผ่านมา

"...ไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ความรู้ในเรื่องของสัจธรรม มันเพี้ยนผิดพลาดเหลวไหลไปหมด จนหลงว่าอบายนี่ดี ไม่เข้าใจอบาย ที่พระพุทธเจ้าสอน ขนาดอบายมุข มุขะนี่แปลว่า หัวหน้า ปากทางขั้วต้น เป็นของหยาบ เป็นของใหญ่แท้ๆ เป็นของที่รู้ได้ง่ายด้วยซ้ำ ยังไม่รู้เลย ยังหลงๆว่า เป็นของดี หลงว่าน่าเอร็ดอร่อย น่าเพลิดเพลิน น่าได้น่ามี นี่ผ่านไปหยกๆ นี่ ไม่รู้เลยว่าอบายมุข แล้วไม่รู้ว่าแสดงออก น่าเกลียดน่าชังขนาดไหน มันหลงบ้า หลงคลั่งไคล้กัน ขนาดฉิบหายเงิน ก็ไม่ว่า จะแสดงออกซึ่งความน่าอาย ก็ไม่ยอมอาย กล้าจนกระทั่ง เอาชีวิตเข้าแลก แค่ซื้อตั๋วไม่ได้ ไม่ได้ดูฟุตบอล กระโดดตึกตายไปเลย โอ้โฮ! มันน่าอเนจอนาถ มันน่าสมเพชเวทนา มันหลงขนาดนั้น เป็นผู้หญิงแท้ๆ น่าไม่อาย ไปเที่ยวได้ไล่กอด ไล่จูบผู้ชายนักฟุตบอล

ห้องที่นักฟุตบอลเช่าอยู่อาศัย ตอนที่มาแข่ง พอมันออกไป รีบแย่งกันจองน่ะ จองเพื่อจะเข้าไปดมกลิ่น เข้าไปคลุกคลี กลิ่นอาย ของนักฟุตบอล โอ้โฮ! มันถึงขนาดจริงๆแล้ว ประเทศไทย สุดเศร้าจริงๆ ค่าเช่าห้องวันละหมื่น สองหมื่น ไปแย่งกันเช่า เพื่อที่ตัวเอง จะเข้าไปดมเอาเศษ เอากากอะไร ของนักฟุตบอลน่ะ โอ้โฮ! มันน่าอาเจียนจริงๆ ไม่รู้ตัวน่ะ เขานึกว่า เขาโก้เก๋ด้วย

เสื้อนักฟุตบอล ไอ้นายทุนมันก็เอามาประมูล ขายได้ตั้งเป็นแสน แล้วคนประมูลได้ เงินไม่มีด้วย ต้องกู้เขาก่อน เอามาประมูลแล้ว ก็เอามาออกอากาศ โชว์หน้าโชว์ตา เป็นว่ามันของดี เงินนี้เขาก็คงเอาไปทำประโยชน์ เอาไปทำการกุศล อะไรอย่างนั้น อ้างอิงการกุศลไปโน่น"

๓.๓ โคลนนิ่งคน? ได้ร่างไร้วิญญาณคุณธรรม วิปริตเกินคิด
๑๒ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ที่บ้านราชฯ ก็มีกิจกรรม ก่อนนั้น พ่อท่านแสดงธรรม ช่วงต้น วิพากษ์วิจารณ์ การโคลนนิ่งมนุษย์ แล้วต่อด้วยการบอกเล่าประวัติ เรื่องพ่อแม่ และเครือญาติ ของพ่อท่าน จบท้าย ด้วยครอบครัวอโศก ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ เป็นสังคมบุญนิยม ที่มีความเอื้อเฟื้อกูลกัน ถึงขั้นเป็นสาธารณโภคี เป็นพี่น้องกัน ยิ่งกว่าพี่น้อง คลอดตามกันออกมาในสายเลือด แต่ในที่นี้ ข้าพเจ้าขอนำเฉพาะ ส่วนที่พ่อท่าน วิพากษ์วิจารณ์ การโคลนนิ่งมนุษย์ มาถ่ายทอดดังนี้

"...แม่ในโลกตามธรรมชาติทุกคนก็รู้แล้วว่าแม่ คือผู้ให้กำเนิด ถ้าไม่มีแม่ก็ไม่มีการกำเนิดละ สมัยนี้ไม่ต้องมีแม่ เขาก็กำเนิดได้ คือเขาโคลนนิ่ง

วันก่อนนี้ ข่าวรอยเตอร์โทรศัพท์ จะขอสัมภาษณ์อาตมา เกี่ยวกับพุทธศาสนา มีความเห็นอย่างไร กับการโคลนนิ่งมนุษย์

โคลนนิ่ง คือ การเอาส่วนใดส่วนหนึ่ง ของสัตว์ตัวนั้น ไปเพาะเลี้ยง เป็นตัวออกมาได้แล้ว ไม่ต้องมีพ่อ ไม่มีแม่ เขาไปเก็บ เอามาจากส่วนเศษ ของเซลล์ตรงนั้นตรงนี้ ผมเส้นหนึ่ง ก็เอามาเพาะเลี้ยง ก็ไม่รู้ใครเป็นพ่อเป็นแม่ อาตมาจะตอบ ในนัยเชิงของพุทธศาสนา เป็น ๒ เรื่องใหญ่ๆ

         ๑.ปรัชญาสุดยอดของพุทธศาสนา นี่คือไม่ได้เห็นดีในการเกิด แต่เห็นดีในการดับ การสูญ ไม่ใช่เห็นดี ในการพอกพูน ทุกวันนี้ หลายประเทศคุมกำเนิด มีกฎหมายเลย ว่าแต่ละคนๆจะมีลูกเกินกว่านี้ๆไม่ได้ แล้วยังจะโคลนนิ่ง กันเล่น ขึ้นมาอีก ปัดโธ่ ขนาดธรรมชาติ เรายังคุมกำเนิดแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็น ที่จะเพิ่มพลโลกขึ้นมา             สัจธรรมของศาสนาพุทธ เห็นว่านิพพาน ปรินิพพาน ดีกว่าสูญไปเลย อย่าว่าแต่เกิดจากชาตินี้ ชาติหน้า หายไปเลย ไม่ต้องเกิดอีกเลย นั่นแหละยอดเยี่ยมกว่า ถ้าบอกว่าพุทธศาสนา มีความเห็นอย่างไร ประเด็นนี้ เป็นประเด็นหลัก เลยว่า ไม่ควรเกิด แล้วเรื่องอะไร จะมาทำเกิด ทำเกิดโดยที่ ไม่ใช่ธรรมชาติด้วย

         ๒.เขามีเหตุผลว่า เขาให้เกิดนี่ เขาก็ไม่โคลนนิ่งคนที่เลวๆหรอก เขาจะไปเอาเชื้อ เอายีนส์ เอาตัวของคนที่ดีๆ คนที่ฉลาดๆ คนที่มีคุณธรรม เช่นโคลนนิ่งไอน์สไตน์ โคลนนิ่งลินคอล์น ฯลฯ เขาก็คิดอย่างนั้น

ในเรื่องรูปนะ โคลนนิ่งออกมาก็ได้เหมือนต้นฉบับ แต่จะไม่ได้วิญญาณของผู้นั้น จะได้รูป สังขาร ร่างกาย ตัวตน สมองอาจจะได้ใหญ่เท่าด้วย แต่วิญญาณไม่ใช่ แน่นอนที่สุด ในเชิงของศาสนา วิญญาณ อันประกอบไปด้วย กรรมและวิบาก ของใครของมัน มาร่วมเกิดนี่ การเกิดของพุทธนั้นจะมี
       ๑. ไข่ของเพศเมีย
       ๒. เชื้อของเพศผู้
       ๓. วิญญาณจะต้องเข้าไปประกอบกัน

           ๓ ส่วนนี้ เรื่องการปฏิสนธิ อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทีนี้วิญญาณนี่ เขาไปโคลนนิ่งได้อย่างไรล่ะ จะจับเอา วิญญาณคนนั้น มาโคลนนิ่ง มาประกอบใส่เองเลย นั่นไม่ได้ จะได้วิญญาณมาไม่เหมือนละ คุณธรรมไม่เหมือน ถ้ายิ่งไม่สมสัดส่วน กลัวจะกลายเป็นอีเดียต ไปอีกด้วยซ้ำ สมองใหญ่ แต่วิญญาณเลว วิญญาณไม่มีประสิทธิภาพพอ วิญญาณ อินทรีย์ พละ ไม่พอก็จะผิดขนาด ใช้ลีลาร่างกายกล้ามเนื้อ เซลล์ประสาทต่างๆ มันจะกลายเป็น คนไม่เต็มเต็ง เอาละสิ หรือมันจะกลายเป็น คนเกินเอาก็ไม่รู้ รูปร่างคน หรือว่าเซลล์คนได้ขนาดนี้ แต่วิญญาณ ไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาตมา ก็เดาไม่ออก แต่รู้ว่ามันไม่สมสัด สมส่วนแน่ เพราะมันอุตริ

ถ้าว่าโดยวิบากกรรมแล้ว อาตมาก็นึกไม่ออก เหมือนกันว่า วิบากกรรมที่เป็นอจินไตย ทั้งหลายนี้ว่า การเกิดมันมีการ เกี่ยวเนื่องต่อโยง ระหว่างพ่อ ระหว่างแม่ อยู่ด้วยเหมือนกัน อย่างแม่ของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้า หรือว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ จะเกิด ก็จะต้องดูว่า แม่คนไหนที่เหมาะ ก็จะต้องมาปฏิสนธิ มาอุบัติขึ้น ในพ่อคนนั้น แม่คนนั้น แล้วโคลนนิ่งนี่ มันไปพิจารณาตรงไหน พ่อคนนี้แม่คนนี้เหมาะ พิจารณาตรงไหนละ

ที่ว่าพระพุทธเจ้า หรือผู้ที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ จะต้องมีความเป็นแม่ที่เหมาะ ความเป็นพ่อที่เหมาะนี่ ก็เพราะว่า ท่านเองตรวจสอบได้ ท่านเห็นได้ เพราะรู้สัจธรรมลึก จนกระทั่งวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถตามไปรู้ได้ พระพุทธเจ้า ก็เหมาะ ในฐานะพระพุทธเจ้า สัตว์โลกก็เหมาะ ในฐานะของสัตว์โลก ตามกรรมวิบาก ทุกคนก็นัยเดียวกัน ก็จะต้องเหมาะ ความเหมาะสม ของความเป็น พระพุทธเจ้า ต่ำก็ไม่ดีใช่ไหม สูงที่สุดแหละ ที่จะเลือกได้ ทีนี้คนธรรมดา ไปเลือกเอาสูง ได้อย่างไร เลือกไม่ได้หรอก ทีนี้โคลนนิ่ง จะเลือกพ่อเลือกแม่อย่างไรให้เหมาะ ไม่มีให้เลือก อาตมาก็ เอ! อจินไตย ตัวนี้ อาตมาก็งงแล้ว มันจะเป็นไปอย่างไรเล่า มันนึกไม่ออกว่า มันเป็นไปอย่างไร เพราะฉะนั้น ก็คือวิญญาณเดาสุ่มแน่ เกินกว่าธรรมชาติแล้ว เกินกว่าที่จะไปคิดแล้ว ดังนั้น การเอาเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่ง เอา DNA ของมนุษยชาติ ของสัตว์โลก มาโคลนนิ่ง ทำขึ้นมาจนได้ แต่มันก็จะต้อง ไม่เต็มเต็งอะไร อันหนึ่งอยู่นั่นแหละ ตอบในเชิงของ พุทธศาสนา ก็ไม่น่าจะเสี่ยง

ในเรื่องของสังคมก็คิดได้อีก ถ้าคนๆนี้เกิดมาแล้วนี่ จะมีกตัญญูกตเวทีอย่างไร เป็นคนไม่มีพ่อ ไม่มีแม่แล้ว มันจะ หยิ่งผยอง ขนาดไหน หรือมันจะว้าเหว่ ขนาดไหน ไม่มีญาติโก โหติกา ไม่มีอะไรเลยในโลก มันจะกลายเป็น คนห่ามๆ จะกลายเป็นไม่แคร์อะไรละวะโลกนี้ อะไรหรือเปล่า แหมพิลึกพิลือ ซึ่งมันไม่น่าเสี่ยง..."

๓.๔ สุริโยไทกับการสร้างชาติ
๒๕ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก ทำวัตรเช้าพ่อท่านแสดงธรรมเป็นภาษาอีสานให้เกษตรกรที่ มาอบรม รุ่นที่ ๓ โดยพ่อท่าน เรื่องปูพื้นถึงความทุกข์ของคน ที่มีมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะคนหลง มีอุปาทาน มีกิเลสมากกว่า จึงไม่สงบ ทำให้เสียเวลา เสียเงิน ไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น แล้วก็มาเน้นย้ำ เป็นคนจนที่ขยัน ดีกว่า เป็นคนรวยที่เอาเปรียบ กรรมเป็นของของตน กรรมเป็นทรัพย์แท้ และเมื่อพ่อท่าน บอกเล่าเรื่อง ชุมชนอโศก เป็นดุจครอบครัวเดียวกัน มีกองกลาง พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ประเด็นที่น่าสนใจในวันนี้ คือการวิพากวิจารณ์ การสร้างหนังสุริโยไท ที่กำลังโหมโฆษณา จากบางส่วนดังนี้

"...หนังสุริโยไท สร้างขึ้นมาเพื่อจุดสำคัญอะไร

จุดสำคัญหนังสุริโยไท สร้างเพื่อให้คนดูแล้ว รู้สึกรักชาติ จะต้องเสียสละเพื่อชาติจริงจริง แต่ก็มีความซับซ้อนที่ชัดเจน คือ หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อให้คนสร้างยิ่งใหญ่ อลังการ หรูหรา โฆษณาเก่ง จนคนหลงใหลว่า จะต้องไปดู ไปดูอะไร ก็ไปดูคน คนที่ทำกันเล่นๆ...เล่นกันทั้งนั้นแหละ ของปลอมทั้งนั้น ไปอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ว่าสมเด็จพระสุริโยไท มีความเสียสละก็รู้ได้แล้ว แต่คนต้องไปดู ไปดูเขาสร้างอย่างยิ่งใหญ่ มีบทรัก มีบทบู๊ บทผลาญ บทอะไรต่างๆ มันเต็มไปหมด อยู่ในหนัง เขาสร้างลงทุน ใช้เงินมหาศาล ๔๐๐ ล้าน โฆษณาอีก ๒๐๐ ล้าน สร้างเพื่อชี้ชวน ให้คนไทย รักชาติ เสียสละ แต่คนสร้างได้ไป (กำไร)

สมมุติว่า เขาขายได้ ๙๐๐ ล้าน ลงทุนไป ๖๐๐ ล้าน กำไร ๓๐๐ ล้านคนที่ได้กำไรคือใคร คือผู้สร้างหนัง ก็เป็นเรื่องของ ทุนนิยม เอาละ... หมายความว่า สร้างเพื่อทำให้คนเสียสละสร้างสรร หรือรักชาติ อาตมาทำให้พวกคุณ เสียสละได้ไหม สอนให้สร้างสรรได้ไหม อาตมาสอนให้รู้รายละเอียดเป็นสัจธรรมด้วยซ้ำ รู้ง่ายกว่า การเสียสละแบบ หนังสุริโยไท ไม่สมสมัย เท่าอาตมาพาทำด้วยซ้ำ ลองคิดดูแล้ว จะเอาดาบไปฟัน กับพม่าอีกไหม จ้างก็ไม่เหมือน ก็ต้องสอน ให้รู้จักวิถีชีวิต อย่างที่อาตมาพาทำ นี้แหละ จึงจะสร้างชาติได้ ช่วยชาติได้ ก็เพราะเราสร้าง เราขยันหมั่นเพียร เกื้อกูล ให้สังคมเป็นมิตร เป็นสหาย เป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ใช่ไปแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกัน อย่างนี้ต่างหาก เป็นการสร้างชาติ โดยเฉพาะรู้กิเลส ลดกิเลส

อาตมาสอนไม่เอาเงินสักบาท อย่าไปพูดถึงเลยเรื่องทำแล้วได้ ๓๐๐ ล้าน ๙๐๐ ล้าน อย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้น มันเป็นวิธีการ ของทุนนิยม พวกสร้างหนังก็ได้ความร่ำรวยไป อาจจะล่มจม ขาดทุนก็ได้ สร้างยิ่งใหญ่ สร้างให้เป็น มหากาพย์ มันก็ดีอยู่หรอก แต่ก็ไม่ควรจะลงทุน ถึงขนาดนั้น ถ้าเอาเงิน ๔๐๐ ล้าน มาให้หมู่บ้านต่างๆ ทำ เหมือนอาตมาสอน พัฒนาในหมู่บ้านของพวกเรา ให้มีอยู่มีกิน พึ่งตนเอง อย่างนี้ยิ่งจะได้ประโยชน์มากกว่า ให้คนรักชาติ ด้วยการไปดูหนังสุริโยไท แล้วเสียเงินไปตั้ง ๓๐๐ ล้าน จะได้รักประเทศชาติ แล้วจะทำอย่างไร ขอถามหน่อย จะทำอย่างไร จึงจะช่วยชาติได้ จะรักประเทศชาติได้ ถือดาบแบบสุริโยไท แล้วไปฟาดฟันกัน เข่นฆ่ากัน ทุกวันนี้ ใช้วิธีฟาดฟันอย่างนั้นหรือ นั่นคือเชิงแฝงของทุนนิยม อ้างอิงรักชาติ อ้างอิงการกุศล นี้แหละมันซ้อนเชิง อยู่ในโลกกัน ทั้งนั้น มาดูรายละเอียดกันแล้ว มันไม่คุ้มกันหรอก แต่ก็เป็นวิธีการ ของทุนนิยม เขาก็ทำกันอยู่ทั้งนั้น เพราะเขายังไม่มี วิธีดีกว่านั้น ก็ทำไปเถอะ มันได้แค่นั้น ที่จริงอาตมาก็มาจากโรงหนัง ออกมาจากโทรทัศน์ ผู้ที่ทำมาหากิน ในวงการนี้ แทบจะรู้จักกันทั้งนั้น อาตมาว่าเขา ตัวเองก็เคยเป็นมาก่อน ที่พูดให้ฟัง ก็เพราะไม่อยากให้ไปหลง ไปเข้าใจผิด ถ้าไม่มีปัญญารู้เท่าทัน ก็จะไปหลงกับเขา อาตมารู้แล้ว โอ้! คนเรากว่าจะรู้สัจธรรม กว่าจะมาบอกมาสอนกันได้ ก็ไม่ใช่ธรรมดา ต้องศึกษาฝึกฝน ลดละลงมาให้ได้จริงๆ" ...พ่อท่านกล่าว


๔.สุขภาพในวัย ๖๗ แม้ตาจะเสื่อม แต่เลือดโพธิสัตว์ยังข้น
๔.๑ เบื่ออาหารครั้งแรกในชีวิต
๑๕ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก วันนี้พ่อท่านฉันอาหารไม่ค่อยจะได้ "ในชีวิตไม่เคยเบื่ออาหารเลย ครั้งนี้ทำให้รู้ว่า อาการเบื่ออาหารเป็นอย่างไร" พ่อท่านกล่าว ถือเป็นครั้งแรกในชีวิต พ่อท่านที่มีอาการเบื่ออาหาร เริ่มจะค่ำ ๑๘ นาฬิกาเศษ พ่อท่านบอกมีอาการไม่ดี จะไปนอนเร็วกว่าปกติ ข้าพเจ้าติดต่อคุณใบลาน ให้มาตรวจวัดอาการ วัดความดัน เลือดได้ ๑๐๐/๗๐ mm.Hg ชีพจร ๘๘ ครั้ง/นาที แต่การเต้นไม่สม่ำเสมอ คุณใบลานสงสัย อาจจะเป็นยาพ่น ขยายหลอดลม เนื่องจากมีสเตียรอยด์ คุณเพชรตะวัน พยาบาลอีกคน ตามไปวัดไข้พ่อท่านที่กุฎิ วัดได้ ๓๗.๔ ํc

๑๖ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านลุกตื่น คุณใบลานตรวจวัดความดันปกติ ไข้ไม่มี แต่จังหวะการเต้นของหัวใจ ยังไม่สู้ดีนัก เต้นเร็วและช้าในตอนท้าย

คุณเพ็ญเพียรธรรม โทรฯจากสันติอโศก แจ้งว่าได้สอบถามหมอสิทธิเทพ ซึ่งเป็นผู้ให้ยาพ่นขยายหลอดลม หมอบอก ยาที่ให้ ไม่ได้เกิดผลข้างเคียง อย่างที่พ่อท่านมีอาการผิดปกตินั้น ฉันอาหารเร็วกว่าเดิม เพื่อไปให้หมอตรวจ พ่อท่าน ยังคงมีอาการ ฉันอาหารไม่ค่อยได้ "ตั้งแต่เกิดมา ก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ ที่เบื่ออาหาร แต่ก่อนก็ยังนึกแปลกๆ เมื่อมีคนพูดว่า เบื่ออาหาร มันเป็นยังไง มีด้วยหรือ" พ่อท่านกล่าว

ที่คลีนิค หมอวีระ มหานากูล เป็นหมออายุกรรมหัวใจ คุณหมอตรวจการเต้นของหัวใจ ก็ดูปกติ ต่างจากที่คุณใบลาน ตรวจพบเมื่อวาน นิมนต์พ่อท่านไปตรวจคลื่นหัวใจ ที่ร.พ.สรรพสิทธิประสงค์ต่อ ผลการตรวจคลื่นหัวใจก็ปกติ หมอวีระ สั่งจ่ายยาให้ ๓ ชนิด เป็นยาบรรเทาอาการมึนงง ยาช่วยให้เลือดไหลเวียน และวิตามินรวม

เมื่อกลับถึงบ้านราชฯ พ่อท่านนอนพัก คุณใบลาน โทร.แจ้งให้หมอพจน์ทราบ หมอพจน์ให้วัดไข้ทุก ๔ ชั่วโมง หากถึง หรือ เกินกว่า ๓๗.๖ ํc ให้แจ้งหมอพจน์ทันที ครู่ต่อมาคุณใบลานแจ้งว่า สมณะถ่องแท้ วินยธโร ฝากเรียนพ่อท่านว่า มีหมอนวด สายวัดโพธิ์ จะรับมานวดให้พ่อท่าน เพื่อคลายกล้ามเนื้อคลายเส้น บริเวณคอไหล่ และสามารถนวด ให้อาการเบื่ออาหารหายไปได้ พ่อท่านจะเห็นอย่างไร ตอนแรกพ่อท่านปฏิเสธ ว่าอย่าไปรบกวนเขาเลย ยังไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อถูกรบเร้า พ่อท่านก็ยอมนัดให้มาพรุ่งนี้

๑๗ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านลุกตื่น ๖ นาฬิกา คุณใบลานตรวจวัดไข้ ความดัน และชีพจร ทุกอย่างปกติ
          ๙ นาฬิกาเศษ พ่อท่านยังมีอาการเนือยๆ ไม่สดชื่น จึงนอนพักต่อ
         ขณะพ่อท่านฉัน หมอพจน์โทร.มาสอบถาม อาการกับพ่อท่านเอง
         บ่าย สมณะถ่องแท้ วินยธโร นำหมอนวดศิษย์วัดโพธิ์ ตาพิการมานวดให้พ่อท่านใช้เวลา ๒ ชั่วโมง. ข้าพเจ้า สอบถาม ถึงผลการนวด พ่อท่านบอก "กดได้แรงกว่าคุณอภิชาติ (เกียกกาย) แต่ไม่รู้ว่าแรงกว่า จะได้ผลดีกว่า คุณอภิชาติหรือไม่ ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้เรื่องการนวด"
          ค่ำพ่อท่านนอนเร็วกว่าเดิม บอกพรุ่งนี้จะทำวัตรเช้า เทศน์กับเกษตรกร ที่มาอบรม ข้าพเจ้าต่อรองว่า พ่อท่าน ยังไม่หายดี สมณะ สิกขมาตุที่เทศน์ได้ ยังมีอยู่หลายรูป แต่พ่อท่านยืนยันว่าไหว แค่ใช้เสียงเท่านั้น

๔.๑ ตาจะบอด
๑๘ ส.ค.๔๔ ที่ราชธานีอโศก ทำวัตรเช้าพ่อท่านไม่สามารถไปเทศน์ได้ ด้วยพ่อท่านมีอาการท้องเสีย เมื่อคืนถ่าย ๓ ครั้ง คุณใบลาน และคุณเพชรตะวัน สองพยาบาลช่วยวัดไข้ ความดันฯ ชีพจร ของพ่อท่าน ทุกอย่างปกติ ถวายน้ำเกลือแร่ ให้พ่อท่านฉัน พร้อมคาร์บอน ๔ เม็ด

พ่อท่านฉันอาหารที่ห้องทำงาน วันนี้ฉันได้มากกว่า ๒ วันที่ผ่านมา แต่ยังมีเอาการแน่นๆท้อง หลังฉัน เก็บอุจจาระ ของพ่อท่านไปตรวจ

ก่อน ๑๘ นาฬิกา คุณใบลานนำน้ำสมุนไพรต้ม มาให้พ่อท่านสรง เช่นวันที่ผ่านมา แต่วันนี้พ่อท่านปฏิเสธ ว่ายุ่งยาก "อาตมาไม่สนุกเลย กับการอาบน้ำสมุนไพร ลำบากกว่าอาบน้ำธรรมดามาก และยุ่งยาก กลายเป็นภาระด้วย ตอนอยู่ที่ สันติอโศก คุณนิ่ม (เพ็ญเพียรธรรม) เขาต้มมาให้ ก็อาบให้ ด้วยเห็นแก่น้ำใจของเขา นี่จะกลายเป็นธรรมเนียมเลย ไปที่ไหน ก็จะต้มน้ำสมุนไพร ให้สรงอย่างนี้ ไม่เอาดีกว่า ยุ่งยากเป็นภาระเปล่าๆ อาบแล้วก็ไม่ใช่ว่า มันจะดีขึ้นมา อะไรกันมากนัก"

คุณใบลานมาตรวจวัดไข้ ความดันฯ ชีพจร ทุกอย่างปกติ แล้วโทรแจ้งหมอพจน์ ครู่ต่อมาคุณใบลานนำวิตามิน B12 มาฉีดให้พ่อท่าน ตามที่หมอพจน์แนะนำ เสร็จจากการฉีดวิตามิน B12 แล้ว พ่อท่านเพิ่งจะพูดถึง ตาข้างขวา ของพ่อท่านว่า "มีจุดดำตรงกลาง และขยายบริเวณขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนเป็นจุดกลมๆ ตอนนี้ไม่เป็นรูปร่างแล้ว มันหยักๆ อย่างกับแผนที่ มองตรงๆ ไม่เห็นแล้ว เห็นแต่ด้านข้างๆ และดูจะลางๆ ไม่ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าอีก ๕ ปี คงจะตาบอด แล้วข้างขวานี่ คงต้องใช้ตาข้างเดียว"

ฟังพ่อท่านแล้วรู้สึกตกใจ พ่อท่านไม่เคยพูด อย่างนี้มาก่อนเลย ข้าพเจ้าเรียนถามพ่อท่านว่า พ่อท่าน เพิ่งรู้สึกว่า บริเวณจุดดำ ตรงกลางตาข้างขวา มันขยายมาก ในวันนี้หรือเปล่า

พ่อท่าน "มันเป็นมาตั้งแต่ ทำเลเซอร์ครั้งแรกแล้ว ตอนนั้นเป็นเหมือนวงกลมๆ ดำจางๆเล็กๆ แล้วมันก็ขยาย มากขึ้นมาเรื่อยๆ"

๔.๓ เลือดโพธิสัตว์ เข้มข้นกว่าเลือดที่ตา
๑๙ ส.ค.๔๔ ที่ร.พ.สรรพสิทธิประสงค์ แผนกตา หมอสมนึก ศิริพานทอง บอกผลการตรวจว่า เส้นเลือดบริเวณ จอประสาทตาบวม ยังไม่ถึงกับแตก ทำให้การมองภาพไม่เห็น คล้ายกระดาษเปียก จะลงสีอะไรก็เลอะไปหมด

อ่านต่อหน้า ๓

ก่อ..คนรากหญ้า๑   ก่อ..คนรากหญ้า๓

บันทึกจากปัจฉาสมณะ หนังสือสารอโศก อันดับที่ ๒๔๑ ตุลาคม ๒๕๔๔