กรรมตามสนอง

สารอโศก
อันดับ 242
พฤศจิกายน 2544


เล่าเรื่องกฎแห่งกรรม โดยนางลำใย คงยิ้ม ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๑๖๖ หมู่ ๖ ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร

เรื่องแรก เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก อายุประเมาณ ๑๒ ปี ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในไร่ มีพ่อแม่และน้องๆ รวมทั้งหมด ๖ คน โดยมีฉัน เป็นพี่คนโต ฉันยากจน จึงต้องหาเลี้ยงครอบครัว และน้องๆ โดยวิธีต่างๆ

วันหนึ่งฉันบอกพ่อว่า ให้ทำด้วงให้หนู ๑๐ อัน หนูจะไปดักแย้ (คำว่าด้วงในที่นี้คือ ลอบดักที่ทำด้วยไม้ไผ่ เป็นกระบอก มีสาย อยู่ตรงปากกระบอก และมีสายดึง คล้ายคันเบ็ด) เวลาแย้ออกจากรูของมัน ก็จะมาติดที่กระบอกไม้ไผ่ แล้วก็ดิ้น จนตายคาด้วงก็มี ส่วนตัวไหนที่ติดหลัง หรือตัวใหญ่กว่า หากยังไม่ตาย ฉันก็หักขาแย้ทั้งสี่ขา แล้วก็เอาเถาหญ้านาง มามัดที่เอวของแย้ เก็บด้วงกลับบ้าน

พอถึงบ้านแล้ว แย้ตัวไหนยังไม่ตาย ฉันก็ใช้มีดทุบหัวแย้ให้ตาย แล้วจึงผ่าลอกหนังออก ตัดมือเท้าหัว เหลือแต่ลำตัว ผ่าเอาไส้ข้างในออกจนหมด มีความภูมิใจว่า วันนี้มีกับข้าวแล้ว จากนั้นจึงนำแย้มาสับๆๆ แล้วก็นำมาแกงใส่สับปะรดอ่อน ทุกคนก็ทานกันอย่างอร่อย อิ่มหนำสำราญ ซึ่งตอนนั้น ฉันยังไม่รู้เรื่องของบาป หรือเวรกรรมเลย

ต่อมาเมื่อมีอายุได้ ๔๐ ปี ฉันเข้าวัดปฏิบัติธรรม ยังไม่รู้อะไรมาก แต่ก็ไม่ทำบาป แม้แต่ตบยุง และถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด แต่แล้ววิบากเวรและกรรม ก็ทำให้ป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ มือขวา และขาข้างขวา อ่อนแรง จึงไปหาหมอ แล้วต้องนอน ที่โรงพยาบาล พอวันรุ่งขึ้น ก็หมดแรงไปเฉยๆอีก เมื่อหมอตรวจแล้ว จึงรู้ว่า เป็นโรคหัวใจโต และหัวใจรั่ว พักรักษาตัว อยู่ที่โรงพยาบาล พระมงกุฏ เป็นเวลา ๑๕ วัน หมอจึงให้ออกไป พักฟื้นที่บ้าน ระหว่างที่รอหมอนัด ฉันก็ทานยาสารพัด ไม่ว่าจะถูกหรือแพง ใครว่าที่ไหนมีหมอดี ยาดี จะใกล้หรือไกล ที่ไหน ก็ไปรักษาตัวมาทั่ว จนอ่อนใจ ในที่สุด ฉันจึงบอก กับลูกว่า แม่จะไปฟื้นฟูสมาธิ (เจโตสมถะ) ที่แม่เคยทำได้มาก่อน ตอนนั้น ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๒ จึงตัดสินใจ เดินทางไปจังหวัดอุบลฯ โดยการชักชวน จากพ่อของ คุณเชิดพงศ์

เช้าวันหนึ่ง ในขณะที่นั่งทำจิตให้สงบ จิตของฉันก็เห็นภาพ ที่ตอนเป็นเด็กได้ทำกับแย้ ซึ่งเรื่องนี้ฉันได้ลืมไปแล้ว เพราะว่านานมาก ถึง ๔๐ กว่าปี ฉันจึงยอมรับวิบากกรรมแต่โดยดี มีแต่ร้องไห้คร่ำครวญว่า นี้คือผลของกรรม ที่ได้ทำกับแย้ จึงได้รับวิบากกรรม ความเจ็บปวด มากกว่าแย้หลายเท่านัก ขณะที่กำลังได้รับวิบากกรรม ที่เคยทำไว้ ฉันยอมรับแต่โดยดี และคิดว่าต่อไปนี้ ฉันไม่ทำบาปอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ต่อมาอาการของฉัน ก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังไม่หายขาด

จิตใจของฉัน ยิ่งดีขึ้นมากๆ เมื่อได้เดินทางไปปฏิบัติธรรม ที่วัดดอยเกิ้ง ได้ทำบุญถวายสังฆทาน และนำเงินค่าอาหาร ให้กับแม่ครัวของวัด แม่ครัวซื้ออาหารมาทำเสร็จแล้ว ฉันเป็นผู้ถวายพระ

คนเราได้ทำกรรมไว้กับใคร อย่างไร ที่ไหน ก็ต้องได้รับวิบากกรรมนั้น ยิ่งกว่าที่เคยทำกับเขา ตัวฉันเองได้รับกรรมนั้น คือเป็น อัมพฤกษ์-อัมพาต ได้รับทุกขเวทนาอยู่นาน รวมเป็นเวลา ๔ ปีกว่า เริ่มเป็นเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐ นั่นเทียว

เรื่องที่สอง ฉันจะเล่าถึงเมื่ออายุได้ประมาณ ๑๓ ปีกว่า ฉันได้ทำบาปกับไก่เพียง ๑ ตัว โดยวิธีฆ่าแบบ จับปีกไก่ ทั้งสองข้างขัดกัน เพื่อที่จะจับขาไก่แล้วเอาหัวไก่ฟาดกับเสาบ้าน ทีเดียวไก่ไม่ตาย จึงต้องฟาดไปหลายที จนไก่ตาย เพื่อทำกับข้าวเลี้ยงน้องๆ เพราะว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน

ต่อมา เมื่อฉันเข้ามาปฏิบัติธรรม พ.ศ.๒๕๓๔ ที่วัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน บางครั้ง ขณะนั่งฝึกจิต ฉันได้เอามือสองข้าง จับหัวตัวเอง แล้วก็ฟาดกับพื้นปูน เพื่อจะให้หัวแตก ให้เลือดชั่วไหลออกมา มันจะได้หายปวดหัว แต่มันก็ไม่หาย ฉันปวดหัวมากอย่างนี้ อยู่หลายชั่วโมง พอฉันเริ่มทำสมาธิทีไร ฉันก็จะปวดหัว แล้วก็จะจับหัวตัวเอง ฟาดกับพื้นปูน อยู่อย่างนี้ทุกทีไป ต่อมา เมื่อฉันหายปวดหัวแล้ว ได้นั่งอย่างสงบ ฉันเห็นภาพตัวเอง เมื่อตอนเป็นเด็ก จับไก่ขัดปีกแล้วฟาดกับเสา ฉันจึงรู้ว่า นี้คือวิบากกรรม ที่เคยได้ทำไว้กับไก่

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ วิบากกรรมนั้นของฉัน ยังใช้ไม่หมด วันหนึ่ง ฉันนอนทับแขนตัวเอง ข้างขวาที่หมดแรง และเป็นอัมพาตอยู่ ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก บอกกับตัวเองว่า จะทำอย่างไรดี ก็คิดได้ว่า จงระลึกถึงบุญที่เคยทำไว้ แล้วก็นึกได้ว่า ฉันเคยทำบุญหลายๆอย่าง เป็นลำดับไป จนตอนหนึ่งคิดได้ว่า เคยร่วมทำบุญถวายพระไตรปิฎก ที่พระธาตุบ้านละอุบ อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พอฉันนึกมาถึงบุญ ที่ได้ถวายพระไตรปิฎก ฉันจึงพลิกตัวได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เหมือนมีใครมาช่วย ทั้งๆที่เวลานั้น ตัวฉันเองไม่มีแรง และเป็นอัมพาตอยู่ ถ้าไม่ใช่อำนาจของผลบุญ มาช่วยฉันในเวลานั้น ฉันต้องตายแน่

เรื่องที่สาม ฉันจะเล่าต่อไปก็คือ สาเหตุที่ฉันป่วยเป็นโรคหัวใจโตหัวใจรั่ว เรื่องนี้เกิดที่จังหวัดอุบลฯ ฉันได้เห็น เจ้ากรรมนายเวร คือ เจ๊แป๋วมายืนตรงหน้า แล้วฉันก็พยายามเรียกเขา แต่ก็เรียกไม่ออก จนในที่สุด ฉันร้องไห้ แล้วก็สารภาพผิด สารภาพบาปทุกอย่าง ด่าตัวเองอยู่นาน เป็นเวลาเกินกว่าครึ่งชั่วโมง แล้วภาพนั้นก็หายไป

ต่อมาฉันนึกได้ว่า เวรกรรมที่เคยทำ ไม่มีวันที่จะยกโทษให้ใคร ถึงแม้ว่า ฉันจะเอาดอกไม้ ธูปเทียน ไปขอขมาเขาแล้ว ที่บ้านกับตัวเขาเองก็ตาม เจ้าตัวเขานั้น ให้อภัยทุกอย่าง เขาไม่ได้โกรธฉัน ผู้เป็นเมียน้อย แต่ตัวเจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่ยอมยกโทษให้ ฉันจึงต้องรับวิบากกรรม ได้ทุกข์ทรมานใจ ด้วยโรคหัวใจโต และโรคหัวใจรั่ว จากเรื่องที่ได้เล่ามานี้ จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า การที่คนเราผิดศีลข้อ ๓ หรือไปเป็นเมียน้อย ของผู้ที่เขามีคู่อยู่แล้ว ของใครใครเขาก็รัก ก็หวง ดังนั้น จึงขอเตือนลูกผู้หญิงทุกคน ที่คิดจะไปเป็นเมียน้อยเขานั้น ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม สุดท้าย จะต้องได้รับกรรม เหมือนฉัน แต่ส่วนตัวของฉันนั้น เป็นในชาตินี้ แต่ดีที่ว่าฉันได้มาปฏิบัติธรรม จึงรู้สาเหตุของกรรมในชาตินี้

เรื่องที่สี่ นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อฉันมีอายุได้ประมาณ ๓๗ ปีกว่าๆ มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อครั้งที่ฉันไปอยู่กับสามี ที่จังหวัดชุมพร สามีชอบกินปลาช่อนที่ตัวใหญ่ๆ เขาเห็นปลาช่อนตัวใหญ่ จึงซื้อมาทั้งๆที่ปลาช่อนนั้นยังไม่ตาย แล้วให้ฉับทุบหัวปลา จากนั้นฉันจึงเอามีดเล่มใหญ่ ที่เรียกว่าปังตอ ฟันเข้าที่หลังปลาช่อน แต่มันยังไม่ตาย ปลาดิ้นหนี ฉันจึงตามไป เอามีดทุบหัวปลาช่อนอีก จนตายสนิท แล้วจึงขอดเกร็ด ทำต้มยำปลาช่อน จากนั้นก็รับประทานกัน ในครอบครัว อบอุ่นตามประสา พ่อแม่ลูก โดยไม่คิดถึงเรื่องวิบาก บาปเวรกรรมใดๆ

ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๔๓ ได้เข้ามาปฏิบัติธรรม ที่วัดดอยเกิ้ง ฉันมีอาการเจ็บปวดที่หัว และเจ็บปวดหลัง เหมือนมีใคร มาทุบที่หัว และมีดฟันที่หลัง เจ็บปวดมากๆ จนร้องโอย ในสมาธิ ฉันเห็นภาพตัวเอง กำลังเอามีดฟันที่หลัง และทุบหัวของปลาช่อน จึงรู้ว่าผลกรรมที่ฉันได้รับอยู่นี้ เป็นเพราะว่า เราได้ทำกรรมไว้ เรื่องนี้สอนใจให้รู้ว่า ชีวิตใครๆเขาก็รัก เราทำกับเขาไว้อย่างไร เราก็ได้รับผลกรรมอย่างนั้น และอาจมากกว่าหลายเท่า

ถ้ากลัวต่อความทุกข์ และความทุกข์ไม่เป็นที่รักของท่าน ก็อย่าได้ทำบาปทั้งในที่ลับ ที่แจ้งเลย ถ้าท่านจะทำ หรือทำอยู่ ซึ่งบาปกรรม แม้จะหนีไป ก็ไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย
*พระพุทธองค์ตรัส


     

สารอโศก อันดับ ๒๔๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ หน้า ๑๒๙ กรรมตามสนอง