บันทึกจากปัจฉาสมณะ


(ต่อจากหน้า 1/3)

สารอโศก
อันดับ 242
พฤศจิกายน 2544
หน้า 2/3


๒.วินาศกรรม เวิร์ลเทรดฯ และเพนตากอน
พ่อท่านเห็นอย่างไร

๑๑  ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก วันนี้พ่อท่านนอนดึกกว่าทุกวัน  เนื่องจากสนใจ การรายงานข่าวของโทรทัศน์ กรณีตึก เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์  และเพนตากอนของอเมริกา  ถูกเครื่องบินโดยสารพุ่งชน เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ขณะดูการรายงานข่าว พ่อท่านยังไม่ได้วิพากษ์ วิจารณ์อะไร ได้แต่รับฟังข้อมูลไปเรื่อยๆ

๑๒ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก ทราบข่าวว่า ๒ นาฬิกาเศษ ที่เพิ่งผ่านมาคลังอาวุธของอัฟกานิสถาน ถูกทำลาย จนถึงเช้าวันนี้ ไฟยังคงลุกลาม ขยายวงกว้าง มีผู้คาดการณ์ว่า เป็นฝีมือการตอบโต้ของอเมริกา  เพื่อกดดัน ให้ผู้ที่วางแผน ก่อการร้าย นี้ออกมา  เยอรมัน อังกฤษ  และอีกหลายๆประเทศ เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อหามาตรการป้องกัน เกรงการก่อการร้าย จะลุกลามมายังประเทศของตน  ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความเป็นห่วง  เกรงว่าจะเกิด สงครามโลก ครั้งที่ ๓

"นี่คือ ตัวอย่าง ของสภาพกลียุค สภาพไฟประลัยกัลป์" พ่อท่านกล่าวสั้นๆ

แม้จะมีพวกเราหลายคน พยายามจะสอบถาม ความเห็นพ่อท่าน ในเรื่องนี้   ช่วงต้นๆของข่าว พ่อท่านปฏิเสธ ที่จะแสดงความเห็น ท่าทีไม่ต้องการให้พวกเรา ไปวิพากษ์วิจารณ์ วิตกกังวลอะไรมาก กับเรื่องนี้

เมื่อเดินทางไปร่วมงานฉลองน้ำ  (๒๕ ก.ย.-๑ ต.ค.๔๔) ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านหยิบยก เอาสถานการณ์โลก ที่กำลังเป็นข่าว อย่างต่อเนื่องมาอธิบาย สภาพสังคมศาสตร์ เปรียบเทียบกับชาวอโศก ให้พวกเราได้ศึกษา จากเหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้น

"..ฏอลีบานเป็นรัฐบาลปกครองอัฟกานิสถาน ปีพ.ศ.๒๕๓๙ นี่เอง เท่ากับราชธานีอโศก ได้รับอนุมัติ เป็นหมู่บ้านปี พ.ศ.๒๕๓๙ เหมือนกัน

ผู้นำสูงสุดของฏอลีบาน เป็นผู้นำเคร่งศาสนามาก อยู่กันอย่างสันโดษ สมถะที่สุดเลย มีเมีย ๔ คน  เมียคนหนึ่งคือ ลูกสาวของโอซามา บินลาดิน  และลูกสาวของผู้นำสูงสุด ก็เป็นเมียของบินลาดิน

นายบินลาดิน   เป็นคนรวย แต่ถูกไล่ออก จากซาอุดิอาระเบีย เป็นญาติของกษัตริย์ไฟซาล อัฟกานิสถาน เป็นประเทศเล็กๆ จนยาก กำลังตั้งหลักตั้งตัว เหมือนกับชาวอโศก เคร่งศาสนาเหมือนอโศก  ผู้นำสูงสุดและบินลาดินคบหากัน  แล้วทำงาน ตามอุดมการณ์ และทฤษฎีของเขา  ก็จะสร้างบ้านเมืองของเขา แหม! ศาสนาอื่นมาไม่ได้  มีพระพุทธรูป ก็จะทำลายลงหมด ตามศาสนาอิสลาม ให้เคร่งเปรี๊ยะเลย ชาวอิสลามส่วนหนึ่งก็ชอบ พวกอนุรักษ์นิยมก็ชอบ แต่พวกเรา พวกอนุรักษ์นิยมไม่ชอบ พวกสมัยใหม่ก็ไม่ชอบ ของเรานี่ลึกกว่าของเขา เอาคนที่มีภูมิปัญญาสูงสุดถึงจะชอบ ของอโศกเรานะ เขาสร้างประเทศขึ้นมา ด้วยหลักทฤษฎีของศาสนา  แต่วิธีของเขา ก็เป็นวิธีโลกีย์ ที่มีการฆ่า ทำลายล้างอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็พอรู้เหมือนกันว่า  พึ่งตนเองดี อย่าไประรานใคร  แต่เขาก็ว่า ทำตามศาสดาของเขา ที่ให้มีสงครามจีฮัด แต่ของอโศกเรา ไม่ไปทำสงครามกับใคร ใครจะข่มขี่เรา เบียดเบียนเรา เราก็จะพยายามปรับตัว ให้อยู่ได้ อะไรยอมได้ ยอม อะไรยอมไม่ได้ เราก็ยืนยันของเรา ไปตามประสาเรา แล้วเราก็จะสร้างสรร พึ่งตนเองให้รอด

สรุปแล้ว เราไม่มีศัตรูเหมือนอเมริกามี เหมือนผู้ก่อการร้ายมี แม้นใครจะมาเบียดเบียน  เอาเปรียบเอารัดเรา   ว่ากันจริงๆแล้ว อเมริกาก็ไปเอาเปรียบเอารัด   ข่มขี่ประเทศอื่นๆไม่น้อยเลย ทุกวันนี้ เราก็ประสานกับสังคมหมู่ใหญ่ เราก็อาศัยเขานะ อย่างน้อยทุนของรัฐบาล เป็นเงินของประชาชน เราเอามาทำเพื่อประชาชน แต่ส่วนตัวเราไม่เอา

ฏอลีบานยังไม่กี่ปีเลยร้อน  แต่ราชธานีอโศก ของเราไม่ร้อน  นอกจากไม่ร้อนแล้ว มีญาติ  มีเพื่อนๆมากมาย โอ๊ยน้ำท่วม เดือดร้อนแล้ว มาช่วยเอากล้วย เอาผัก เอาอาหารแห้งมาให้

บุช ประกาศ ใครไม่มาเข้าข้างอั๊ว ลื้อต้องอยู่อีกข้าง ผู้ก่อการร้ายนะ เขาก็ได้พวกเหมือนกัน แต่การได้พวกของเขา ไม่เหมือนเราได้พวก  นี่อธิบายสังคมศาสตร์ให้ฟัง ซึ่งวิธีการก็ดี จิตลึกๆ ทฤษฎีลึกๆของเขาก็ตาม ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะของ ฏอลีบาน หรือของอเมริกันก็ตาม

พวกเราก็มีกลุ่มบริหาร  ตั้งแต่ อาตมาเป็นหัวหน้า กลุ่มบริหาร พวกเราหลายคน มั่นใจแล้วว่า เกิดมาไม่ต้องไปรวยหรอก อาตมาถึงได้บอกอย่างแรงๆว่า คนไปคิดรวย คือคนโง่ คนคิดจะเป็นคนจน อย่างอุดมสมบูรณ์  จนอย่างมีความรู้ ความสามารถ จนอย่างมีน้ำใจ ยิ่งกว่าท้องฟ้า และแม่น้ำ และ จนจริงๆ สมบัติส่วนตัวไม่มีเลย อย่างนี้ต่างหากล่ะ วิเศษ เรามั่นใจว่า เราเป็นคนมักน้อยสันโดษ  เราทำมากกว่า ที่เรากินเราใช้ เราแน่ใจว่า เราพึ่งหมู่กลุ่มได้ และเราเชื่อมั่นว่า หมู่กลุ่มจะอุดมสมบูรณ์    โดยที่เราไม่ต้องสะสมสมบัติส่วนตัว   เราก็อาศัยสวัสดิการ ในนี้แหละ จะไปจะมา จะเจ็บจะป่วย จะอยู่จะตาย อะไรก็แล้วแต่

อาตมายิ่งมองเห็นเลยว่า  อโศกเรานี่นะ วัฒนธรรมของอโศก จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตของอโศก  แหม! อยากจะพิสูจน์ กับสังคมโลกทุนนิยม เหลือเกิน ถ้าเราเข้มแข็ง มีความอุดมสมบูรณ์  แล้วเราจะไม่สะสม ไม่ร่ำรวย ไม่ผลิตอาวุธ ยุทโธปกรณ์ อาวุธฆ่ากัน ไม่ผลิต บ้านนี้เมืองนี้ ไม่มีปืนสักกระบอก ไม่มีลูกระเบิดสักลูก ถ้าจะมีเรือบิน ก็จะมีเรือบินที่จะทำงาน  ทางธุรกิจ ขนส่งสินค้าสมบัติ จะไม่มีเรือบิน บรรทุกระเบิด มาทำลายเข่นฆ่าใคร  ไม่เสียแรงไปคิด ทำเรือบินแบบนั้น  นี่คือ นโยบายของพวกเรา  และก็จะเป็นกลุ่มหมู่สังคม หรือประเทศ  สมมุติว่า ประเทศไทยสมบูรณ์ขึ้นมา เป็นอย่างนี้แล้วนี่ ดูสิว่า ประเทศไทย เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ  เมืองที่มีจิตใจเกื้อกูล เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือชาวโลก ไม่มีวัตถุที่เป็น อาวุธยุทโธปกรณ์  ไม่มีระเบิด ไม่มีปืน ไม่มีเครื่องมือทำร้ายใคร ดูสิว่า จะมีคนช่วยป้องกัน หรือคนกล้า จะมาทำร้ายไหม  ถ้าเรามีบุญคุณต่อเขา ทั่วไปในโลกนี้  แหม! อาตมาอยากดู  แต่อาตมาว่า อีก ๕๐๐ ปี จะได้เห็น จำไว้นะ...."


๓.การจัดระเบียบสังคม
๑๓ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก คุณมนสิกุล โอวาทเภสัชข์ นักข่าวนิตยสาร NATION สุดสัปดาห์ ได้ขอสัมภาษณ์พ่อท่าน ในประเด็นหลัก เรื่องการจัดระเบียบสังคม ที่รัฐบาลพยายาม ช่วยแก้ปัญหาสังคมอยู่นี่ พ่อท่านเห็นอย่างไร

"...เห็นท่าแล้วชื่นใจ  กระทำกันอย่างนี้นี่ ดีมากเลย น่าจะทำมาหลายรัฐบาลแล้ว รัฐบาลที่ผ่านมา คงคิดไม่ถึง  หรือคิดถึง แต่ไม่กล้าก็ได้ โดยเฉพาะ หน้าที่รัฐมนตรีมหาดไทยนี่นะ โอ๊! กล้าหาญ  นอกจากกล้าหาญแล้ว ยังมั่นคง แน่นเหนียว อีกด้วย รู้สึกว่าเรื่องนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดี ของสังคมมาก

ทุกวันนี้ อาตมาว่า เมืองไทยนี่เหลวไหลจริงๆ  ทั้งความเสื่อมโทรม ทางวัฒนธรรม เสื่อมโทรมทางบริโภค ทั้งวัตถุ และอารมณ์ ทางด้านจิตวิญญาณ บริโภคจังเลย กระดี๊กระด๊า จนกระทั่ง มันเลยเถิด ล่าสุดที่เห่อฟุตบอล คราวที่แล้ว ที่เขามา เห่อจนกระทั่ง ประมูลเสื้อนักฟุตบอล ตัวละแสนสองแสน  หรือแม้แต่ นักฟุตบอล ออกจากโรงแรม รีบจองห้องนั้นต่อ เพื่อจะเข้าไปสูดดมอะไรๆ  โอ้โฮ!  มันน่าทุเรศนะ  มันจัดจ้าน ทั้งราคะและโทสะ  สายกีฬานี่ เสริมโทสะ บันเทิงเริงรมย์นี้เสริมราคะ   เพราะเขาไม่รู้จักสัจธรรมว่า นี้เป็นอบายมุข   การละเล่น มหรสพ กินเหล้ากินยา มอมเมา เวลากลางคืน เป็นเวลาพักผ่อนหลับนอน ทำงานกลางวันกันทั้งวัน  ๑๒-๑๓ ชั่วโมงนี่ มันเมื่อยแล้ว แต่พวกนี้ ไปดักให้คนไปเสียแรงงาน เสียสุขภาพร่างกาย ชีวิตเสียหายหมด ทั้งๆที่บันเทิงเริงรมย์นี่ เป็นเรื่องเล่น แต่เขาไปจัดเข้า เป็นจริงเป็นจัง   ทุ่มโถมเป็นอาชีพเลย   นี่ล้มเหลวแล้ว  เพราะเอาเรื่องเล่นเป็นเรื่องจริง   มันผิดสัจธรรม เรื่องของกิเลส ยั่วยวนคนทั้งโลกเลย มันเหมือนคนเมา คนที่ติดกิเลสจัดๆ แล้วนี่เหมือนคนหน้าด้าน ไม่รู้จักอาย แต่คนอื่นเห็นแล้วว่า น่าอายแล้ว นี่คนเหล่านี้ กลับมาม็อบ มาร่ำร้อง โดยไม่อายเลย    ที่จริงคนที่ทำงาน หากินกับงานอย่างนี้ ควรเปลี่ยนงานมา   พระสงฆ์องคเจ้า น่าจะออกมาช่วยรณรงค์  มาช่วยอธิบาย สัจธรรมพวกนี้  ให้คนได้ปฏิบัติถูกทาง เป็นสัมมาทิฐิ..." จากบางส่วนที่พ่อท่านตอบ

"หลักการของหลวงพ่อที่ดำเนินมา  ๒๐-๓๐ ปี  ถ้าเกิดว่าจะปรับใช้กับสังคมข้างนอกที่วัตถุนิยมแรงกล้า  กิเลสพานำไป อย่างสุดโต่ง จะทำอย่างไรล่ะคะ  "  ก็เป็นคำถามของนักข่าว ที่สะท้อนความคิดความรู้สึก ของหลายๆคน ที่ยอมรับว่า การประพฤติปฏิบัติ อย่างชาวอโศกนี้ดี แต่เข้มเกิน ที่คนทั่วไปจะนำไปใช้

"...ไม่ต้องปรับหรอก เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ถูก ให้สัมาทิฐิแล้วก็ใช้ตรงๆ ไม่ใช่ไปปรับไปแปลง ของพระพุทธเจ้า แล้วพูดกันให้เข้าใจ สอนกันให้ดีๆ ศาสนาพุทธไม่บังคับนะ เป็นศาสนาที่ไม่ได้เอาศรัทธา เป็นตัวนำ  พุทธนี้เอาปัญญา เป็นตัวนำ เมื่อสมัครใจ เห็นดีเข้าใจดีแล้ว  คุณค่อยมาพิสูจน์ เมื่อปฏิบัติพิสูจน์ จึงจะเกิดศรัทธา จึงจะเกิดอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ..." นี่ก็เป็นคำตอบของพ่อท่าน ส่วนหนึ่งที่มองดูคล้ายๆ การจัดระเบียบสังคม ที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย กำลังดำเนินการ แล้วถูกชาวอบายมุข ร่ำร้องต่อรอง ขอให้ลดๆมาตรการลงมา ขณะที่รมว.มหาดไทยบอก ไม่ได้ทำ เกินไปกว่า ที่กฎหมายกำหนดไว้เลย ดูไม่ต่างกันกับ สิ่งที่พ่อท่านนำธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มาอธิบาย พาชาวอโศก ปฏิบัติให้จริง  ขณะที่สังคมส่วนใหญ่ เข้าใจว่า นี่เข้มเกินไป

แต่ละคำถาม พ่อท่านอธิบายยาวมาก บางครั้ง ก็มีภาษาบาลีด้วย ซึ่งดูจะเข้าใจยากอยู่ ยังไม่รู้ว่านักข่าว เขาจะนำไปลงยังไง ขณะที่พ่อท่าน ก็ดูจะมีฉันทะ ที่จะชี้แจ้งอธิบายความไปหมด เหมือนคนตั้งใจทำปัจจุบัน ให้ดีที่สุด ไม่ได้สนใจ หรือห่วงกังวล กับอนาคตว่า  นักข่าวเขาจะลงพิมพ์หรือไม่  จะตัดตรงนี้ ไม่เอาตรงโน้น อย่างไร พ่อท่าน ดูไม่คำนึงถึง ดีที่ท่าทีคุณมนสิกุล ดูจะตั้งใจฟังดี  บางขณะดูจะซาบซึ้ง ประทับใจเอาด้วยซ้ำ ดูคุณมนสิกุล มีข้อมูลของพวกเรา มากพอสมควร  พวกเรามีกิจกรรมอะไรๆ เธอรู้ไปหมด ที่สันติอโศก มีกิจกรรมเข้าค่าย ถือศีลอุโบสถ เธอก็รู้  เรื่องการเงิน การออมทรัพย์ การธนาคาร ของชาวอโศก ที่ฝากหรือกู้ ไม่มีดอกเบี้ย เธอก็รู้ แม้แต่อโศก มีพรรคการเมือง จดทะเบียน และชื่อพรรค เพื่อฟ้าดิน เธอก็รู้ อย่างเข้าใจ โดยเสริมเหตุผลให้ว่า ถ้าจะสร้างชุมชนช่วยคน ก็ต้องมี สิ่งที่ต่อเนื่องกันอย่างนี้

การสัมภาษณ์ ใช้เวลานาน  ๓ ชม. ข้าพเจ้าอยากจะตัด อยู่หลายที ด้วยเห็นว่าพ่อท่าน ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น แต่ท่าที สนใจฟัง อย่างจดจ่อ ทุกถ้อยคำ ของคุณมนสิกุล ทำให้ข้าพเจ้าก็เกรงใจ ขณะที่เสียงของพ่อท่าน ก็ดูยังปกติ จึงเลยตามเลย มาถึง ๓ ชม.


๔.จริยธรรมกับการประกอบธุรกิจ ไหวพริบ ปฏิภาณของผู้นำ
๑๖  ก.ย.๔๔ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๕ คณะเศรษฐศาสตร์  พ่อท่านได้รับนิมนต์ ให้มาบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ จริยธรรมกับการประกอบธุรกิจ ตามโครงการปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ วิชา  ศ.๖๖๓ ธุรกิจกับสังคมไทย (Business and  Thai Society)

อาจารย์สุขุม  อัตวาวุฒิชัย  ผู้นิมนต์พ่อท่าน มาบรรยายพิเศษ กล่าวนำ  วิชานี้ให้ความรู้ ในหลายๆทาง สังคม และการเมือง ให้ไปแล้ว หลายครั้ง และครั้งก่อน ก็เป็นเรื่องธรรมาภิบาล

พ่อท่านแบ่งจริยธรรม ออกเป็น ๓ ระดับ
๑.ไม่มีจริยธรรม
๒.จริยธรรมอย่างสามัญ จริยธรรมปุถุชน จริยธรรมโลกียะทั่วไป
๓.จริยธรรมอย่างโลกุตระ เป็นจริยธรรม ที่พ่อท่านตั้งชื่อ เรียกว่า "บุญนิยม"

นอกจากนี้พ่อท่านนำเอาลักษณะบุญนิยม  ๑๑ ประการ มาอ่านอธิบายคร่าวๆ และอุดมการณ์บุญนิยม โดยยกตัวอย่าง พาดพิงถึงชุมชนต่างๆ ที่กำลังทำตามอุดมการณ์บุญนิยม

ก่อนจบคำบรรยาย เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาถามปัญหา   พ่อท่านอธิบาย ขยายความมาจาก ทฤษฎีกำไรขาดทุน ของอาริยชน "ผลิตผลอย่างหนึ่ง ทุนมัน ๑,๐๐๐ คุณให้เขาไป เขาให้แลกมา  ๑,๐๐๐ มันก็เจ๊ากันแล้ว ต่างก็ไม่มีใครได้ ใครเสีย ไม่มีใครมีค่า ไม่มีใครเสียค่า แต่ถ้าผลิตผลนั้นทุน  ๑,๐๐๐ คุณให้เขาไป และคุณเอาเกิน ๑,๐๐๐ คุณคิดบวกเพิ่ม  เอาเกิน ๑,๐๐๐ มาจากเขา คุณว่าคุณได้วัตถุ ได้กำไร แต่วัตถุไม่ใช่ความได้นะ คุณเสียต่างหาก คุณเป็นคนเลวลง คุณเป็นคนไร้ค่า เป็นคนไร้ประโยชน์ต่างหาก

อาตมาพูดผิดมั้ย ถ้าผิดแจ้งเลยนะ คุณเป็นคนไม่ได้อะไร คุณเป็นคนไรัประโยชน์ คุณเป็นคนไร้ค่า เกิดมาเสียชาติเกิด  คุณยิ่งโลภมามากเท่าไหร่ คุณยิ่งไร้ค่ามากเท่านั้น..." (เสียงหัวเราะ)  พ่อท่านเน้นย้ำความและสุ้มเสียง  ผลก็คือ เสียงขำหัวเราะตอบรับ ของผู้ฟังร่วม ๖๐ คน ในห้องบรรยายนั้น ทั้งๆที่เนื้อหา คือการถูกว่า อาจเป็นเพราะ ผู้ฟังสัมผัสได้ว่า พ่อท่านไม่ได้พูด ด้วยอารมณ์ชิงชัง  รังเกียจ ผู้ฟังก็ไม่รู้สึกว่า ถูกหมิ่นหยาม เป็นคำกล่าว ที่เป็นเหตุ เป็นผล ที่เป็นสัจจะที่ต้องจำนน

มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง   ติดใจประเด็นที่มีผู้ถาม เรื่องพระ ที่ออกมาเรี่ยไร รับบริจาคเงิน และทองคำ เป็นพันล้าน เพื่อช่วยชาติ  ซึ่งพ่อท่าน ได้แสดงความเห็นว่า  เรี่ยไรไม่ใช่กิจของสงฆ์ สงฆ์ควรสอนคน ให้ละวางเลิก ให้ไปในตัวอยู่แล้ว  บริจาคนั้น เป็นสัจจะที่ซ้อนเชิง  แต่ทำอย่างนั้น  ยังเป็นการทำ เหมือนอย่างโลกีย์เขา เหมือนอย่างโลกๆ คนที่ทำเด่นดัง อีกทั้งมีความขัดแย้งว่า  ทำอย่างนั้นดีหรือเปล่า ด้านเศรษฐศาสตร์ นักศึกษาหญิง คนดังกล่าวนั้น ลุกขึ้นมาโต้แย้ง ซักถามแสดงความเห็น นับเป็นวิวาทะย่อยๆ   ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ ไหวพริบ ปฏิภาณ การโต้ตอบที่รวดเร็ว ทั้งจากพ่อท่าน และนักศึกษาหญิงคนนั้น จากบางส่วนดังนี้

นักศึกษา : ทำไมมีท่านหนึ่งให้ทุกคน บริจาคสิ่งที่เป็นของตนออกมา เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ หรือ เพื่อประโยชน์ ของชนหมู่มาก อะไรถึงเรียกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ท่านเองก็ทำในส่วนนี้เหมือนกัน อันนี้ใช่กิจของสงฆ์หรือคะ

พ่อท่าน : อาตมาไม่ได้ทำอย่างที่คุณว่า อาตมาทำเหมือนกัน

นักศึกษา : objective คือการช่วยเหลือสังคม คือการเกื้อกูลสังคมด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าแนวทาง และวิธีการทำ แตกต่างกันเท่านั้นเอง  ทำไมถึงเรียกว่า อันหนึ่งใช่ อีกอันหนึ่งไม่ใช่ อะไรเป็นมาตรฐาน ในการคิด ในการวัดคะ

พ่อท่าน : ตกลงต้องใช้ภูมิปัญญาที่จะศึกษาแนวลึกของสาระสำคัญ สัจธรรมของพระพุทธเจ้าให้ชัด แล้วคุณจะรู้ ถามตอนนี้ อาตมาตอบไป คุณก็จะยังงง ยังแยกแยะไม่ได้

นักศึกษา : แล้วพระพุทธเจ้ามีธรรมะ ๒ ระดับ ระดับแรกคือ ระดับเพื่อชุมชน เพื่อสังคม เพื่อการเป็นอยู่ของสังคม ในการเกื้อกูลกัน อย่างหนึ่ง สาระที่ ๒ ที่สำคัญที่สุด คือการที่คนคนหนึ่ง  ได้ปฏิบัติธรรม ได้สิ่งที่เรียกว่า นิพพาน สิ่งนั้นคือการปรับปรุง ตัวของเราเองใช่มั้ยคะ คือจิตของเราเอง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ตัวของเรานี่แหละ ซึ่งเป็นโลก อันกว้างใหญ่ ที่เราต้องดู แต่การที่เราทำเพื่อสังคม ยังไม่ใช่สาระของ พระพุทธศาสนาที่แท้จริง  การเข้าสู่นิพพานต่างหาก สิ่งที่เป็นปัจเจกบุคคล  หรือปัจเจกชนทำกัน  ถึงเรียกว่า สาระของพุทธศาสนา นั่นคือ การเกื้อกูล ระดับสังคม ระดับหนึ่ง เท่านั้น

พ่อท่าน : คุณเข้าใจครึ่งเดียว

นักศึกษา : อีกครึ่งหนึ่งคืออะไรคะ

พ่อท่าน : อีกครึ่งหนึ่งคือ คนที่เกื้อกูลสังคม ด้วยจิตละลดกิเลส นั่นแหละ ที่มีจิตถึงขั้นโลกุตระ คนนั้นได้นิพพานที่แท้จริง  เพราะโลกุตระ มีทั้งโลกียกุศล  และโลกุตรกุศล  เป็นสาระหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่ง ไม่แยกเป็นสอง  ส่วนคุณพูด แค่ยังไม่ใช่ของพุทธ ไม่ใช่โลกุตระ เป็นแค่โลกียะ เพราะพุทธลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียว  โลกียกุศลยังไงก็สอง เพราะฉะนั้น ยังไม่ใช่พุทธ พุทธแท้ๆต้องเป็นโสดาฯ  สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ เพราะฉะนั้น ที่ไม่ใช่โสดาฯ สกิทาฯ  อนาคาฯ อรหันต์นั้น เป็นพุทธแต่เพียงยี่ห้อ ยังไม่เข้าถึงความเป็นโลกุตระจิต ยังไม่เป็นอาริยะ

นักศึกษา : ไม่ใช่ค่ะ การที่เราเป็นพุทธ ไม่ใช่ว่าเราต้องเป็นโสดาบัน เป็นอาริยสงฆ์ แต่การเป็นพุทธ ไม่ใช่หมายความว่า ต้องเป็นพระสงฆ์ และการที่....

พ่อท่าน : ไม่ใช่พระสงฆ์ ฆราวาสนี่แหละเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ

นักศึกษา : ไม่ใช่คะ การที่บอกว่า เราเป็นศาสนิกชน ไม่ใช่ว่าเราไม่เป็นโสดาบัน ถูกมั้ยคะ

พ่อท่าน : ต้องเป็นพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สาวกสังโฆ คือสาวกของพระพุทธองค์ทุกคน  คือบุรุษ ๘ คือบุรุษ ๔ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์เท่านั้น จึงเป็นสาวกแท้ เป็นศาสนิกแท้ นอกนั้นยังไม่ใช่ จะเรียกว่า เป็นศาสนิกสมมุติก็ได้   เรียกว่า ศาสนิกยังไม่จริงก็ได้ ศาสนิกปลอมก็ไม่ผิด ศึกษาดีๆ

นักศึกษา : ไม่เคยได้ยิน

พ่อท่าน : ถูก คุณเพิ่งเคยได้ยิน ก็ดีแล้ว คุณบุญหูแล้ว จริง.. นี่แหละ เข้าใจผิด อย่างที่คุณเข้าใจผิดนี่  ขออภัยนะ  ที่อาตมาพูด  ไม่ใช่ลบหลู่คุณ  ส่วนใหญ่ จะเข้าใจอย่างคุณนี่แหละ ศาสนาพุทธ จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ที่แท้จริง

นักศึกษา : ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของปัจเจกชน มิใช่เรื่องของสังคม ศาสนาพุทธเป็นการดูจิตของตน มิใช่ดูสังคม แต่เมื่อดูจิตตนแล้ว ถึงช่วยสังคม นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่แก่นแท้ของพุทธศาสนา คือการดูจิตของตน

พ่อท่าน : แหม! น่าสงสารนะ ก็ดูจิตตนทำจิตตน ในขณะช่วยสังคมนั่นแหละ อาตมาพูดกับคุณนี่ อาตมาคิดว่า คุณเชื่อของคุณเสียแล้ว คุณไม่เปิดใจฟังอาตมา อาตมาก็คงยอมให้คุณเข้าใจ อย่างที่คุณเข้าใจ

นักศึกษา : ไม่ใช่การไม่เปิดใจหรือเปิดใจ เป็นการที่เราได้ Share ความคิดกัน ก็เป็นเรื่องที่ดี

พ่อท่าน : อาตมาก็ยืนยันกับคุณแล้วไงว่า คุณกับอาตมาตอนนี้เข้าใจต่างกันแล้ว

นักศึกษา : เราไม่ได้เข้าใจต่างกัน เราอยู่ในพุทธศาสนาเดียวกัน

พ่อท่าน : นั่นภาษา แต่ความจริงแล้ว แตกต่างกันจริงๆ

นักศึกษา : แต่อาจารย์ก็เข้าใจผิดนะคะ อาจารย์บอกว่า...

พ่อท่าน : ไม่เป็นไร อาตมาชื่อว่าผิดก็ได้ แล้วคุณถูกก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร  (ผู้ฟังในห้อง หัวเราะ)   ก็อาตมาบอกแล้วไงว่า คุณกับอาตมา เข้าใจต่างกัน จริงๆ อาตมาขอบคุณ อาตมาว่า อาตมายินดีให้คุณเข้าใจว่า  อาตมาเข้าใจผิด และคุณเข้าใจถูกจริงๆ ความต่างกัน มันก็ต้องคนละขั้ว และอาตมาเข้าใจอย่างนี้ คุณเข้าใจอย่างนั้น เข้าใจคนละอย่างแล้วจริงๆ  มันจึงเชื่อต่างกัน เข้าใจต่างกันไง ศึกษาเถิด ถ้าคุณจะทำ  ขนาดว่า คุณเข้าใจว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัจเจกเท่านั้น นี่แหละคือความแคบ แล้วยืนยันว่า ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่เรื่องของสังคม

นักศึกษา : ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนา ของปัจเจกเท่านั้น

พ่อท่าน : คุณพูด

นักศึกษา : เป็นชื่อของปัจเจก

พ่อท่าน : ถูกแล้ว ปัจเจกของพระพุทธเจ้านั้น คือตนเป็นผู้บรรลุ คนที่บรรลุตนเองนั้น จะเป็นผลเหมือนเหรียญสองด้าน แยกกันไม่ได้ คนที่เป็นปัจเจกบรรลุธรรม ก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทันที  เรียกว่าอุภยัตถะ ประโยชน์สองส่วนทันที ของพุทธ แต่ถ้าคุณยังเป็นประโยชน์ตน อย่างที่เข้าใจประโยชน์ตน   คือข้าได้  ข้าได้หรือถ้าจะให้คนอื่น จะต้องมีส่วน ที่จะได้อย่างโลกียะ อย่างที่มันเป็น อย่างที่ทุนนิยมนี่นะ นั่นแหละ ไม่ใช่ของพุทธแท้

นักศึกษา : ดิฉันไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่บอกว่าปัจเจกชน ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้อยู่ร่วมกับสังคม ไม่เผื่อแผ่ชุมชน แต่ความหมายโดยแท้จริง ของพระพุทธเจ้า คือการที่เราต้องรู้จักตน รู้จักประโยชน์ของตน รู้จักทำส่วนของตนให้ดีก่อน แล้วถึงจะเผื่อแผ่สังคม

พ่อท่าน : ก็ถูกแล้วไง เผื่อแผ่ประโยชน์แก่สังคม ตนก็ทำให้ได้  และการทำตนเอง ให้ได้ประโยชน์ของตนเองนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมทันที นี่แหละ สังคมกับตนก็อยู่ด้วยกัน เผื่อแผ่  ไม่ใช่อยู่คนเดียว ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ อย่างที่คุณพูดเกือบถูกแล้ว ถูกแล้ว คำพูดอันหลังนี่ถูก

นักศึกษา : ไหนว่าพูดโลกุตระเท่านั้น

พ่อท่าน : ใช่ซิ  โลกุตระก็มีโลกียะ เพราะทำตนเองได้แล้ว ประโยชน์ท่านได้ทันที โลกุตระไม่แยก  เมื่อไรเป็นโลกุตระมีประโยชน์ ทั้งสองอย่าง พร้อมกันทันทีไง อาตมาบอกแล้วว่า  เป็นอุภยัตถะ เป็นประโยชน์สองอย่าง เรียกอุภยัตถะ ใช่เลย เพราะฉะนั้น จะได้ประโยชน์สังคมทันที แต่คุณพูด คุณแบ่งประโยชน์สังคมอย่างหนึ่ง ประโยชน์ตนอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ ของพุทธเป็นประโยชน์ตนนี่แหละ ได้ทันที คุณให้เขา คุณละกิเลสคุณ คุณก็ได้ประโยชน์ ที่ได้ละกิเลส  คุณให้เขาทันที เขาก็ได้ของที่คุณให้ ของพุทธแยกกันไม่ได้เลย  เหมือนเหรียญสองด้าน อ่านจิตตน ทำจิตตน ขณะให้นั่นแหละ ไม่แยกเรา ไม่แยกสังคม

นักศึกษา : คือว่า อาจารย์พูดตอนหลังนี่ถูกค่ะ (ผู้ฟังในห้องหัวเราะ)

พ่อท่าน : อันนั้นใช่แล้วไง คุณทำให้ได้อย่างที่อาตมาว่าซิ คุณจะบอกว่าบรรลุธรรม ทำที่จิตตนได้ที่ตน ทำให้ได้ซิ อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ แล้วคุณก็ถูกนี่แหละ อาตมาว่าแล้ว อาตมาจึงบอกว่า คุณพูดตอนหลังนี่ถูกแล้ว

นักศึกษา : หนูก็ว่าอาจารย์ก็พูดถูกเหมือนกัน (ผู้ฟังในห้องหัวเราะ)


๕.ประวัติและผลงาน ยังเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน
๑๒  ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก คุรุฟังฝน จังคศิริ ครูใหญ่ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก โทรศัพท์ ปรึกษาว่า  นิตยสาร  Thailand Education  ติดต่อขอมาสัมภาษณ์ เก็บข้อมูลการศึกษา ของร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก  พ่อท่านจะเห็นอย่างไร ด้วยระมัดระวัง การแพร่กว้างเกินตัว จะเป็นผลเสีย พ่อท่านไม่ขัดข้อง (ยังมีต่อ)

อ่านต่อหน้า ๓ / ๓

 
สารอโศก อันดับ ๒๔๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ บันทึกจากปัจฉาสมณะ ๒