หน้าแรก >สารอโศก


โรงบุญธรรมชาติ

สำนึกดีปีใหม่ครับ ขอบพระคุณมากที่ทางธรรมปฏิสัมพันธ์ได้ให้คำแนะนำ และให้กำลังใจใน การทำเกษตร ธรรมชาติไร้สารพิษ (ไม่ใช่ปลอดสารพิษ) ผมทำเกษตรธรรมชาติแต่ก็ยังไม่ เต็มรูปแบบ เพราะยังมี การไถพรวนอยู่ ปีหน้าฟ้าใหม่ ผมจะทดลอง แบบไม่ไถพรวน ดูบ้าง ว่าที่ดินที่แข็งกระด้างเป็นดาน จะได้ผล มากน้อยเพียงใด

ปีนี้ ๒๕๔๔ ผมอยากทำประมาณห้าไร่ ได้ข้าว ๒,๐๐๐ ก.ก. โดยไม่ใช้สารเคมีเลย ไม่ กำจัดวัชพืชบนคันนาเลย ใช้สารชีวภาพทั้งหมด ตั้งแต่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก รองพื้นฉีดพ่นด้วย สารสะเดา และน้ำหมักผลไม้ ตั้งแต่ข้าวงอก ยาวประมาณ ๓ นิ้ว ฉีด ๕ วันครั้ง ๕ ครั้ง และต่อจากนั้น ๑๕ วัน ฉีดอีก ๒ ครั้ง ข้าวก็งอกงามดี เติบโตตามธรรมชาติ

ปีนี้ผมโชคร้ายไปหน่อย เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและเพลี้ยจักจั่นปีกหยัก ลงกัดกินข้าว ผมเกือบหมดกำลังใจ ที่จะต่อสู้ กับภัยธรรมชาติ ผมไม่ทำอะไรกับเจ้าแมลงเหล่านี้เลย คิดว่า ได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น หรือไม่ได้เลย ก็ไม่เป็นไร ทางราชการ เอาสารเคมีมาให้ ผมก็ ไม่เอา ผมปล่อยไป ตามบุญตามกรรมเถอะ

แต่แล้วธรรมชาติก็ไม่โหดร้ายกับผมจนเกินไป พายุฝนเกิดตกลงมา ๕ วัน ๕ คืน แมลงร้ายเหล่านี้ หายไปกับสายลม สายฝนหมด ผมยังเหลือ เมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ ตั้งไร่ละ ๔๐ ถัง เมื่อบวก ลบ คูณ หารแล้ว ผมก็ยังมีกำไร เพราะผม ไม่ได้ใช้สารเคมี ต้นทุนจึงต่ำมาก แม้ราคาจะต่ำมาก เป็นประวัติการณ์ ผิดกับผู้ที่ใช้สารเคมี ซึ่งขาดทุน กันทุกคนเลย ชาวนาส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้คิดว่า ต้นทุนเท่าไร เพราะไม่ได้ทำบัญชี รายรับ-รายจ่ายไว้ จึงไม่รู้ว่า ขาดทุน หรือมีกำไร มากน้อยแค่ไหน.....

การทำกสิกรรมธรรมชาติ ไร้สารพิษ ย่อมต้องแบ่งปันผลสำเร็จหมุนเวียนคืนสู่ธรรมชาติด้วย ทั้งดิน น้ำ ฟ้า และสัตว์ทั้งหลาย ก็สมควรได้รับ สิ่งที่ไร้สารพิษเช่นกัน ฉะนั้น แบ่งให้แมลงกินบ้าง ถือว่าเป็นการ จัดโรงบุญธรรมชาติ ก็แล้วกัน บ.ก.


"ฉันได้อะไร?"
ดิฉันได้อะไรบ้าง จากการไปช่วยงานเจที่อุทยานบุญนิยม และการพักค้างคืนที่ราชธานีอโศก ๑ คืน กับ ๑๔ ชั่วโมง ช่วยงานอยู่ ๓ วัน ๒ คืน

ด้านร่างกาย
๑. ได้รับอาหารที่ปราศจากเลือดเนื้อของสัตว์ร่วมโลก
๒. ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ติดดิน เพราะเดินเท้าเปล่าเป็นส่วนมาก
๓. ได้ลดการใช้เครื่องสำอาง ฝึกความประหยัด
๔. ได้ตื่นนอนแต่เช้า นอนแต่หัวค่ำ ไม่ต้องดูละครน้ำเน่าประโลมโลก
๕. ได้พักสายตา และสมองจากงานที่วุ่นวาย เพราะความสับสนจากคำสั่งหลายคำสั่ง
๖. ได้รับบรรยากาศธรรมชาติที่สะอาด บริสุทธิ์ของราชธานีอโศก
๗. ได้เรียนรู้การทำอาหาร การหุงข้าว การล้างผัก การลวกผัก
๘. ได้เดินทางร่วมกับเพื่อนร่วมโลกที่ไม่รู้จัก (ส่วนมากเคยใช้แต่รถส่วนตัว ไม่ใช้รถ โดยสาร)
๙. ได้เสียน้ำตา เมื่อลูกชายที่ไปด้วยขัดแย้งกันรุนแรง และได้ฝึกความอดทนกับลูกชาย

ด้านจิตใจ
๑. รู้จักความเสียสละ การให้ ต้องทำงานฟรี เช่น ล้างจาน ล้างผัก ทำความสะอาด ฐานงานขัดส้วม
๒. ลดความเห็นแก่ตัว ลดมานะการถือตัวในตัวเองลงได้มาก
๓. มองเห็นกิเลสตนเองได้ง่ายขึ้น
๔. รู้จักการปรับตัวในการอยู่ร่วมกับหมู่กลุ่มที่แตกต่างกัน ในเรื่องวัย พื้นฐานการศึกษา ฐานะ อารมณ์ จิตใจ
๕. ลดการดูถูกคนอื่น เพราะเราก็ไม่เก่งกาจอะไรเลย เมื่อดูแล้วคนที่นี่น่านับถือ และเก่ง จริงๆ
๖. ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากตำราที่ร่ำเรียนมา
๗. ได้ระบายความคับแค้น คับข้องใจทางโลก ให้ญาติธรรมฟัง ทำให้โล่งใจ และได้ข้อคิด ในการแก้ไขปัญหา ในการใช้ชีวิตคู่
๘. รู้จักการควบคุมอารมณ์โกรธ ซึ่งมีอยู่ตลอด เกิดได้ตลอดในจิตใจ แต่ไม่รู้วิธีจัดการด้วย วิธีผ่อนคลาย จึงได้แต่ เก็บกด กดดัน และได้แนวทางออกที่เหมาะที่ควร "ระวังอารมณ์ก่อนงาน"
๙. เรียนรู้ผู้อื่น (ฟังเขานินทา) ทุกคนมีความบกพร่อง มีปัญหา มีกิเลสเหมือนกัน แตกต่างกัน ที่ผู้ใดจะมีมากหรือน้อย
๑๐. รู้จักการพึ่งพาอาศัยเกื้อกูล มีน้ำใจต่อกันอย่างบริสุทธิ์
๑๑. ตั้งแต่เกิด ไม่เคยเห็นที่ไหนเสียสละเท่าครั้งนี้ เคยศึกษาอ่าน แต่ในหนังสือดอกหญ้า สารอโศก และคำบอกเล่า จากญาติธรรมข้างนอก ไม่คิดว่า สังคมเหล่านี้จะมีจริง
๑๒. รู้จักการนำความบกพร่องของคนอื่น มาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน และรู้จักสิ่งที่ตนเอง ต้องปรับปรุงอีก

สมาชิกเก่า ๒๑๕๔๐๑

อโศกอาศัยการทำงานเป็นผัสสะ เรียนรู้ความจริง ทั้งกายและใจตามความเป็นจริง นี้เป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อเรียนรู้ กิเลสตนได้ชัดเจน เพราะคนอื่นจะช่วยขุดกิเลสของเรา ออกมาให้เห็น เราจะได้ลดละกิเลสของเราได้ถูกตัว บ.ก.


ไม่มีใครทิ้งคุณ ตราบที่คุณไม่ทิ้งธรรม
ดิฉันขอกราบขอบพระคุณ ที่ท่านได้ส่งหนังสือมาให้ดิฉันอ่านเป็นประจำ ทำให้ดิฉันได้รู้เรื่อง ราวของชาวอโศก ดิฉันถึงแม้จะไม่ได้ไปปฏิบัติกับชาวอโศก แต่ก็ได้อ่านหนังสือเป็นประจำ และก็ได้นำมาปฏิบัติ เป็นประจำ ดิฉันจะน้อมนำ คำสอนของท่านสมณะ เคยสอนดิฉันว่า "ไม่มีใครทิ้งเธอ ตราบที่เธอไม่ทิ้งธรรม" ซึ่งเป็นคำสอน ที่ทำให้ดิฉัน ไม่เคยรู้ลืม

สิ่งที่ดิฉันได้รับจากการอ่านหนังสือดอกหญ้า และสารอโศก ดอกบัวน้อย ดิฉันจะนำเอาสิ่งที่ ดีมาสอนลูกๆ เพราะถือว่าลูกเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด ถ้าลูกของดิฉันเป็นคนดี ดิฉันก็พอใจ และคิดว่าเป็นค่าอย่างสุดซึ้งแล้ว ไม่เสียแรงที่ท่านได้ส่งหนังสือมาให้

ดิฉันมีลูกชาย ๒ คน ดิฉันจะบอกลูกเสมอว่า โตขึ้นแม่จะไปอยู่กับหมู่กลุ่มอโศก ทั้ง ๒ คน คนโตไปแล้ว เหลือแต่คนเล็ก ดิฉันดีใจ ที่ลูกชายนั้น เขาเป็นใจด้วย ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง ในตัวเขา ดิฉันก็ขอฝาก ลูกชายด้วยค่ะ เขาคือ ด.ช. ศักดา ยมโคตร เด็ก น.ร. สัมมาสิกขาสันติอโศก และดิฉันขอฝาก กับท่านทุกคนด้วย เพราะเขามีโอกาส ดีกว่าดิฉันมาก เพราะได้ปฏิบัติธรรม กับหมู่กลุ่ม

จิตใจของคน วันหนึ่งๆมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่ดิฉันก็จะพยายามเอาใจดีมา ข่มใจร้ายให้ได้ จะพยายามทำงานให้มาก บางทีก็เป็นคนขี้บ่น จนรำคาญตัวเองเหมือนกัน จะถามตัวเองว่า เราพูดมาก เกินไปหรือเปล่า เพราะบางที เราพูดไป อาจถูกใจเรา แต่จะผิดใจคนอื่นหรือเปล่า จะพยายามดูตัวเองเรื่อยๆ เพราะดิฉัน เป็นคนร่าเริงตลอดเวลา

ตอนนี้ดิฉันทำงานเป็นแม่บ้าน บริษัทกรุงเทพประกันชีวิต ดิฉันนำสิ่งที่ดีๆ จากการอ่านหนังสือ มาประกอบ กับการทำงาน ดิฉันคิดว่ามันมีความสุขดี คือไม่เครียด แม้ต้องอยู่กับ ทั้งคนดีและเห็นแก่ตัว เพราะคนเรา มีหลายประเภท

สุดท้ายดิฉันไม่มีอะไรมาก ถึงใครจะว่าอโศกเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ดิฉันคิดว่า ถ้าปฏิบัติ อย่างอโศกได้ จะมีความคิด และชีวิตที่เบาและสุขสบายตลอดไปค่ะ นี่คือความคิดของ ดิฉันที่คิดว่าอโศก สอนให้คนเรา เตรียมพร้อม ทุกสถานการณ์ค่ะ

อารญา ยมโคตร จ.หนองบัวลำภู

นักเรียนสัมมาสิกขาของชาวอโศก จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตามหลักการศึกษาที่เน้น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ขอให้คุณวางใจเถิด ข้อที่น่าห่วงไม่ใช่อยู่ที่เด็ก แต่อยู่ที่ผู้ ปกครองมากกว่า เพราะหากพ่อแม่ ไม่พัฒนา การปฏิบัติธรรม ให้สูงขึ้นด้วย ก็จะเกิดช่องว่าง ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ได้ ในภายหลัง บ.ก.


"คัดคนบวช"
หนังสือสารอโศก ฉบับมหาปวารณา'๔๔ ผมได้รับแล้วด้วยความขอบพระคุณอย่างสูง เรื่อง ที่ชอบมากก็คือ ๑๕ นาทีกับพ่อท่าน

ผมเห็นด้วยกับพ่อท่าน จุดเริ่มต้นในการคัดคนเข้ามาบวชในศาสนา ทำกันอย่างหละหลวม ไม่คัดเลือกเอาเสียเลย ใครอยากบวชก็บวชให้ บางคนบวชเอาเอง บวชแล้วเที่ยวขอ เงินจากชาวบ้าน ได้มามากก็สึก ถ้าบวชอย่างอโศก รับรองว่ามีคุณภาพ เพราะกว่าจะได้ บวช ต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้วหลายขั้นตอน สมณะอโศกจึงมีแต่คุณภาพ

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เห็นดีด้วยคือ เมื่อพ่อแม่ตายลงไปแล้ว ให้ลูกหลานบวชจูง ตามความเห็น ของผมแล้ว เหมือนทำเล่น ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เผาเสร็จแล้วก็สึก

ความหมายของคำว่า บวชจูง คือชักจูงพ่อแม่ที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้ตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ ตั้งแต่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่จูงเมื่อท่านตายไปแล้ว พูดให้ใครฟังก็ไม่มีคนเอาด้วย เขาว่าเป็น ประเพณี ผมก็จนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร กับความเห็นของคน

ทอง กุยแก้ว จ.อุดรธานี

ประเพณีที่เพี้ยนออกนอกทางพุทธ ทำให้ศาสนาเสื่อม สมควรแก้ไข ให้เข้าสู่ทางพุทธที่ถูกต้อง (สัมมา) มิฉะนั้น ผู้คนที่เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ ก็จะห่างไกล จากความเป็นพุทธ ออกไปทุกที อาจไกล จนกู่ไม่กลับเลยก็ได้ การคัดคนบวช จึงเหมือนกับการคัด "ทิฏฐิ" ของ คนที่จะมา ปฏิบัติธรรมนั่นเอง ว่าควรจะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้นก่อน บ.ก


สังคมเส็งเคร็ง
ขอแจ้งเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของกระผม จะถูกหรือผิดก็ขอให้ท่านพิจารณาด้วย คือ เวลา เช้า ประมาณ ๓.๓๐ น. ทำการธุรกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็มาสวดมนต์ ถึง ๔.๒๐ น. ทำการเจริญสมถภาวนาอีกประมาณ ๓๐ นาที จนถึงเวลาประมาณ ๕ โมงเช้า ก็ทำการ งานในบ้าน เช่น กวาดลานบ้าน ๕ โมง ๒๐ นาทีก็เดินจงกรมเสร็จ ก็ออกกำลังกาย เล็กน้อยตามวัยของตนเอง

เวลาเย็นตั้งแต่เวลา ๖.๓๐ น. เริ่มทำการสวดมนต์ไหว้พระ จนถึงเวลา ๘.๓๐ น. เสร็จ ทำการบำเพ็ญสมาธิ ๓๐ นาที แล้วก็ดูโทรทัศน์บ้าง ฟังเท็ปธรรมะบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง ตามแต่เวลาจะอำนวย เดินจงกรมบ้าง ทำอยู่อย่างนี้ทุกๆวันมิได้ขาด ส่วนอาหาร กินอาหารเจมาตลอด บางวันก็ ๓ มื้อ วันพระก็ ๒ มื้อ บ้าง

ถ้าไม่ไปสังคมงานต่างๆ เช่น งานศพ บางครั้งไปแล้วก็หดหู่ใจบ้าง เพราะไปเห็นแล้ว เหมือนเป็นงานรื่นเริงไปเสียแล้ว บางทีก็มีดนตรีนุ่งน้อยห่มน้อยมาโชว์ด้วย และก็มีการ เล่นการพนันกันเป็น ๗-๘ วงเลย มีเหล้าเลี้ยงกันจนผมเอือมระอาเต็มที ทำให้คิดว่าสังคมไทย และประเพณีไทยที่ดีจะหมดสูญไปเสียแล้วหรือ

บางครั้งผมไป ก็เอาเท็ปธรรมะไปให้เขาเปิด เพื่อจะได้เตือนสติเขาบ้าง เขากลับขอ ให้ปิด เขาไม่ต้องการได้ยิน โดยเฉพาะเถ้าแก่บางคนยังไปมั่วสุมกับอบายมุขด้วย ผม อยากจะรบกวนว่า ทำอย่างไรหนอ ที่จะทำให้สังคมเหล่านี้ ลดละเลิกไปได้บ้าง หากมีคำตอบที่ ดีๆ กรุณาตอบในวารสาร สารอโศกก็ได้ ดอกหญ้าก็ได้ จักขอขอบพระคุณยิ่ง

ประเสริฐ สมบูรณ์ จ.เชียงราย

ยิ่งจะต้องอยู่กับสังคมเส็งเคร็ง ที่ยังขาดการถือศีล เราก็ต้องยิ่งขวนขวายปฏิบัติธรรมให้ เจริญยิ่งขึ้น เพื่อถ่วงดุล สังคมเอาไว้บ้าง ฝึกฝนตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ ช่วยเผยแพร่ศีลธรรมให้รับรู้รอบกว้างมากขึ้นด้วย บ.ก.


"คนอะไรซ้ำได้ซ้ำดี"
กระผม เอนก รอดน้อย เป็นชาวคุก ได้ติดต่อกับชาวอโศกมา ๑ ปีแล้ว ตลอดระยะ ๑ ปี ที่ผ่านมา กระผมได้รับความเมตตาจากชาวอโศกมากมาย โดยเฉพาะ ท่าน พ.ต.ท. รุ่งโรจน์ เรืองฤทธิ์ ที่ได้กรุณาส่งหนังสือ "เราคิดอะไร" ไปให้ตลอด และให้ได้เป็น สมาชิกพิเศษ จนกว่ากระผมจะพ้นโทษออกมา นอกจากนี้ ยังได้รับ หนังสือสารอโศก ดอกบัวน้อย ดอกหญ้า เป็นประจำอีกเช่นกัน แต่สำหรับดอกบัวน้อย และดอกหญ้า เมื่อกระผม อ่านจบแล้ว จะส่งต่อไปให้บุตรชาย ๒ คน อายุ ๑๒ และ อายุ ๑๓ อ่านต่อ ซึ่งอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี ส่วนสารอโศก และเราคิดอะไร กระผมจะเก็บไว้อ่าน และให้เพื่อนๆ หยิบยืมอ่าน

นอกจากนี้ กระผมยังได้รับหนังสือธรรมะต่างๆ อีกมากมาย หลายๆเล่ม ที่เป็นหัวใจรักสุด ยอดก็คือ "คนคืออะไร" เป็นงานเขียนของพ่อท่าน ที่กระผมได้อ่านแล้ว เกิดความรัก หนังสือเล่มนี้ อย่างสุดใจ อ่านครั้งแรก รู้สึกมึน แต่ก็เพียรอ่าน วันละเล็กละน้อย จนจบ เริ่มอ่านรอบ ๒ เริ่มสว่างขึ้น เริ่มรู้เริ่มเข้าใจ ก็ยิ่งอยากจะอ่าน อ่านจนจบรอบ ๒ และ กำลังจะอ่านรอบที่ ๓ และคงจะอ่านต่อๆไป ซึ่งตอบไม่ได้ว่า จะอีกกี่รอบ กี่จบ

ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ "ถอดรหัสนิพพาน อัตตา อนันตา นิรัตตา" อ่านแล้วทำให้ยิ่งสว่างขึ้น กระผมจะอ่าน ๒ เล่มนี้คู่กัน สลับกันครับ อ่านทุกวันทุกคืน อ่านไปพิจารณาไป บางอย่างตรงกับชีวิตจริง ก็ทำให้เข้าใจง่าย แต่น่าเสียดาย อีคิวโลกุตระ เพื่อนยืมอ่าน แล้วย้ายเรือนจำ เลยไม่ได้อ่าน น่าเสียดายเหลือเกินครับ

อโศกได้ให้อะไรๆกับกระผมเยอะ โดยเฉพาะ หนังสือของพ่อท่านโพธิรักษ์ เหมือนทำให้ กระผมได้เกิดใหม่ เป็นโอปปาติกะ เกิดในร่างเดิม แต่เป็นจิตวิญญาณใหม่ ที่มิใช่คนเดิม ให้เกิดเป็นธรรมกาย กายที่มีแต่ธรรมะ ทำให้กระผมมีความสุข จนลืมโลก สุขจนไม่คิดว่า ตนเองติดคุก ทุกวันนี้ ยังคงทำงานหนักเหมือนเดิม ทำอย่างมีความสุข ทั้งงานธรรมทาน และวิทยาทาน และคงจะทำต่อไปยิ่งๆขึ้น จนกว่าจะได้พ้นโทษออกมา อยากมาอยู่ ร่วมชายคาอโศกอีกคน หากไม่ตาย คงได้มาอย่างแน่นอน

กระผมเขียนจดหมายมา ก็เพื่อเป็นการกราบพ่อท่าน และท่าน พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ ตลอด จนชาวอโศกทุกท่านทุกคน ที่มีพระคุณต่อกระผมมาก สุดจะประมาณ กระผมระลึกนึกถึงพ่อท่าน และชาวอโศกตลอดเวลา ไม่เคยลืม

พร้อมกันนี้ กระผมขอกราบอวยพรปีใหม่ ซึ่งเหลืออีกไม่กี่วัน ก็จะหมดปีเก่าแล้ว จึงถือโอกาสนี้ อวยพรมา กับจดหมายฉบับนี้ ขอให้พ่อท่าน และชาวอโศก ทุกท่านทุกคน มีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรง เป็นกำลังสำคัญ ที่จะสร้างสรรสังคม และประเทศชาติ ไปสู่โลกุตตระ ตามแนวทางของพ่อท่าน และของชาวอโศก ที่ได้ดำเนินมา จงสำเร็จ สมหวังด้วยเทอญ

เอนก รอดน้อย จ.เชียงราย

ชาวอโศกหลายคน อ่านหนังสือที่พ่อท่านเขียน แล้วก่งก๊ง งุนงง ไม่เข้าใจ ก็เลยพาล (เขลา) ไม่อ่านเสียเลย ฉวยโอกาสสบายๆ สไตล์ขี้เกียจ วางหนังสือไว้บนหิ้งบูชา เฉยๆ อย่างนี้จะพัฒนาปัญญา เห็นธรรมได้อย่างไร นี่ก็เริ่มปีใหม่อีกแล้ว เรามาเริ่มอ่าน ใหม่อีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะได้ดีเถิด บ.ก.


"ออกจากคุก"
นี่ก็ใกล้สิ้นปีแล้ว ขอเรียนผลการปฏิบัติธรรมมาเพื่อทราบ ขณะนี้ก็ถือศีล ๕ เป็นนิจศีล มังสวิรัติ ลดละอบายมุข ทุกอย่าง เคยติดมวยโลก เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว คิดว่าจะพยายามเพิ่มเป็นศีล ๘ แต่ติดด้วยศีลข้อ ๖ ทาน ๒ มื้อ ไม่จุบจิบ เนื่องจาก สุขภาพไม่ค่อยดี อายุก็มากแล้ว ครบ ๗๖ ปี วันที่ ๑๖ ธ.ค. นี้ จึงมีอาหารเสริมเช้า เย็นบ้าง (นมกล่อง โอวัลติน)

การปฏิบัติธรรม โลภ โกรธ หลง ก็ลดลงได้มาก เมื่อเจอผัสสะก็ดับได้เร็ว วันหนึ่ง มอเตอร์ไซด์รับจ้าง มันไม่พอใจ ที่เราไม่ขึ้นรถมัน มันตามไปว่าที่รถโดยสาร ที่เรากำลังนั่งอยู่ "พ่อใหญ่ๆ แต่งตัวชุดนี้ พ่อใหญ่ออกมาจากคุกใช่ไหม?"

ไม่ทันรู้ตัว ใจก็กระเพื่อมเหมือนกัน แต่พอรู้ตัว เออ! มันว่าก็ถูกของมันแล้ว เพราะคนทุกคนนี่ กำลังติดคุก คือคุกของกิเลส เกิดในคุก และก็ตายในคุกกันทั้งนั้น เราก็กำลังติดคุก และบัดนี้ ก็ออกจากคุกได้แล้ว เปลาะหนึ่ง คือไม่หลงสวย หลงงาม ใจก็สงบเย็นลง ก็เลยตอบมันไปว่า "เออ! ใช่แล้ว พ่อใหญ่ออกมาจากคุก" ก็คิดว่า จะลงไปขอบใจมัน ที่มันมาเป็นครู ออกโจทย์ให้เรา ได้ทำ แบบฝึกหัด แต่มันก็คงไม่เข้าใจหรอก

ตั้งแต่วันนั้นมา พอตื่นขึ้นมา ก็ถามตัวเองอยู่เสมอว่า วันนี้เรายังติดคุกอะไรบ้างหนอ หากรู้ตัว ก็จะพยายาม หาทางออกจากคุกให้ได้ โดยเฉพาะ การทานอาหาร เวลาร่วมวงกับครอบครัว ก็มีทั้งเจ และไม่เจ น้ำพริกก็สองถ้วย เขาถ้วย เราถ้วย เราทานน้ำพริกตาแดง เต้าเจี้ยวก็เหมือนกัน โดยพิจารณาว่าความสุข (ความอร่อย) ที่เกิดจากกิเลส ปรุงแต่งจิตให้พอใจ นี่มันไม่เที่ยง ดับกิเลสปรุงแต่งจิตเสียได้ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก จึงจะเป็นสุขจริง

ผัน ขำโพธิ์

คราใดที่ "ใจมีกิเลส" ครานั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ตกเป็นทาสกิเลสของใจ ติดอยู่ใน คุกใจ คราใดที่ "ใจลดละกิเลส"ได้ ครานั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นอิสรภาพจาก กิเลสของใจ หลุดพ้นออกมาจากคุกใจ ฉะนั้นมาช่วยกันเลิกทำตัวเป็นคนขี้คุกกันเถอะ บ.ก.

(สารอโศก อันดับ ๒๔๓ ธันวาคม ๒๕๔๔)