หน้าแรก >สารอโศก

ต้นเดือนตุลาคม อยู่ร่วมออกพรรษา (๒ ต.ค. ๔๔) ที่บ้านราชฯ แล้วกลับมาร่วมประชุมที่ สันติอโศก (๔ ต.ค. ๔๔) เกี่ยวกับโครงการ ศูนย์วิจัย สร้างเสริมสุขภาพวิถีไทย ซึ่งจะเป็น สถานดูแลให้ความรู้ และออกกำลังกาย โดยศาสตร์เกี่ยวกับ สุขภาพทางเลือกในหลายๆทาง บริการกับชาวบ้าน โดยทั่วๆไป ไม่เฉพาะแต่ชาวอโศก ขณะที่อาการทางตา-คอ ของพ่อท่าน ซึ่งรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน มาถึงทางตัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอก ทำได้เท่านี้ ไม่มีโอกาส ที่จะดีขึ้นกว่านี้ได้ แต่การแพทย์ทางเลือก บอกยังมีความหวัง ญาติธรรมที่ชิดใกล้ จึงนิมนต์ให้พ่อท่าน ทดลองดู

ช่วงกลางเดือน พระชื่อดัง ของสงฆ์กระแสหลัก มีข่าวความเสื่อมจากธรรมวินัย ทำให้รายการ "itv talk" สนใจ ขอมาสนทนา สัมภาษณ์พ่อท่าน

ปลายเดือน พ่อท่านเดินทางไปร่วมงานสัมมนาภราดร ที่ทักษิณอโศก จ.ตรัง ๒๙-๓๑ ต.ค. ๔๔ แล้วต่อเลยไปแวะเยี่ยม สมณะกระบี่บุญ มนาโป ที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี

หนังสือความรัก ๑๐ มิติ ฉบับเขียนใหม่ พ่อท่านได้เขียนขึ้นใหม่จนเสร็จ ในช่วงก่อนเดินทาง ไปทักษิณอโศกเล็กน้อย ทันพิมพ์ทันแจกงาน มหาปวารณาครั้งที่ ๒๐


ช่วงนี้แม้จะมีอาการไอ พ่อท่านก็ปฏิเสธ ที่จะฉันยาที่เคยฉันอยู่เสมอๆ ตามที่หมอพยาบาล เคยจัดหามาให้ เหมือนกับพ่อท่าน จะเห็นว่า การรักษาโดยวิธีของแผนปัจจุบัน มาถึงทางตัน ด้วยรักษาและฉันยา มานานก็ไม่มีท่าที ว่าจะหายได้ เช่นเดียวกับ อาการทางตา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางตา ซึ่งดูแลรักษาตา ของพ่อท่าน ยอมรับว่า ณ วันนี้ การแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถให้การรักษา ด้วยการแก้ปัญหา ที่เกิดกับตา ของพ่อท่านได้เท่านี้ ร่วมกับการ เฝ้าระวังป้องกัน มิให้เสื่อมมากกว่า ที่เป็นอยู่นี้ ที่ผ่านมา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ต้องใช้การผ่าตัด ต้องใช้แก๊ส ต้องใช้เลเซอร์ เพื่อหยุดยั้งอาการ มิให้ลุกลามมากขึ้น โดยเรียก โรคนี้ว่า จอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) ขณะที่ศาสตร์ เกี่ยวกับ สุขภาพทางเลือก เชื่อว่า การใช้เลเซอร์ จะทำให้เซลล์ตา บริเวณนั้นตาย และจะเกิดผลข้างเคียง ที่ดวงตา ทำให้เสื่อมมากขึ้น ดูเหมือน ว่าพ่อท่านก็มีท่าทีว่า แสงเลเซอร์ จะทำให้เกิด ผลข้างเคียงต่อดวงตา

"... วันนี้ก็อยู่ในสภาพ ตกกระไดพลอยกระโจน ไม่รู้จะทำอย่างไร หมอเขาก็ไม่ฉุกคิดอะไร เชื่อแน่เลยว่า เราจะให้ใช้ เลเซอร์ต่อ หมอบอกให้เจ้าหน้าที่ ไปเปิดเครื่องเลเซอร์เตรียมไว้ แหม! ตอนนั้น ถ้าบอกไม่ใช้เลเซอร์ ก็เหมือนไม่เชื่อมือหมอ มันยังไงอยู่ หมอเขาก็ทำ ทำให้ฟรีด้วย เลเซอร์ที่มีค่ารักษา แต่ละครั้งเป็นพัน ก็ไม่ได้คิด หมอเขาก็ปรารถนาดีนะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็เลยให้หมอ ใช้เลเซอร์อีก" พ่อท่านกล่าว หลังจากพบหมอ เพื่อตรวจสภาพตา หลังการผ่าตัด มาได้เดือนเศษ ตามที่หมอนัด (๗ ต.ค.๔๔) โดยที่คิดว่า คงจะเพียงแค่ ตรวจดูธรรมดา ไม่คิดว่า จะต้องถูกใช้เลเซอร์อีก

หลังการได้รับ การเลเซอร์ครั้งสุดท้าย ๑๒ ต.ค. ๔๔ พ่อท่านลุกตื่นบอกเล่าว่า เมื่อคืนมี แสงแวบ บริเวณ ตาขวาที่ดำมืด บอกไม่ถูก เหมือนกันว่า แสงจะแวบมาให้เห็นเมื่อไหร่ อย่าง ตอนนี้ ก็ไม่เห็น

ช่วงสายของวันนั้น คุณเพ็ญเพียรธรรมบอกเล่าว่า ได้โทรถามหมอสุขุมา ถึงอาการแสงแวบ ที่พ่อท่าน เป็นอยู่นั้น เป็นผลข้างเคียง จากเลเซอร์ ใช่หรือไม่ หมอสุขุมา ปฏิเสธว่าไม่ใช่ แล้วอธิบายว่า อาการแสงแวบนั้น เนื่องมาจาก ใต้ Macular (บริเวณกลางจอประสาทตา) มีกองเลือดแข็งตัวสะสมอยู่ ทำให้บริเวณนั้นนูนกว่าปกติ ภาวะนี้ทำให้เกิด การดึงรั้งจอประสาทตา ไม่ stable (คงตัว) เมื่อกรอกตา ลูกตาเคลื่อนไหว ทำให้เกิดอาการ ดังกล่าวได้ ซึ่งมักจะเป็น ตอนหลับตา อาการนี้เกิดขึ้น ในผู้มีภาวะอย่างนี้ แม้ไม่ใช้เลเซอร์ก็ตาม

๕ ต.ค. ๔๔ ญาติธรรมคนหนึ่งนิมนต์พ่อท่านไปตรวจรักษา กับศาสตร์ทางเลือกอีกศาสตร์หนึ่ง ที่ใช้เครื่องมือ จากเยอรมัน ในการตรวจร่างกาย ทั้งระบบจากเส้นประสาทด้วย "NEUROPOINT" เป็นตัวอักษรที่ตัวเครื่อง ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า เป็นชื่อเครื่อง หรือยี่ห้อเครื่อง มีจอคอมพิวเตอร์ แสดงกราฟเส้น บอกผลขณะตรวจ และมีสายไฟฟ้าเส้นเล็กๆ ต่อออกมาจากตัวเครื่อง มีแท่งที่ปลาย ใหญ่กว่าปากกาทั่วไป การตรวจ ใช้ปลายแท่ง กดไปตาม จุดต่างๆของร่างกาย เริ่มจากหัวส่วนบน ละเรื่อยลงมาที่ขมับ หน้า แก้ม คอ ซอกไหล่ หลัง เรื่อยมาด้านหน้า แขนซ้ายแขนขวา เรื่อยลงมาที่เอว สะโพก ก้นกบ ขา เข่า แข้ง ถือเป็นการตรวจ ร่างกายทั้งหมด จากเส้นประสาท ตามจุดต่างๆ ต่อมามีคุณหมอ มาอ่านผล จากกราฟที่เครื่องบันทึกไว้... จะมีอาการตะคริวที่ขาในบางครั้ง... กระดูกที่คอเสื่อมไปกดทับ ทำให้มีปัญหา เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ... มีอาการผิดปกติ ของกล้ามเนื้อคอ บริเวณไหล่ ซ้าย... กระดูกคอข้างขวามันตึง จึงทำให้มีปัญหา กับเส้นเลือด ด้านขวา... ริดสีดวงทวารมีอาการพองข้างใน ยังไม่ถึงกับปลิ้น... เครื่องตัวนี้ สามารถบอกได้ว่า กำลังจะเป็นอะไร

เมื่อออกจากห้องตรวจร่างกายด้วยเครื่องนี้ หมอชี้ให้ดูภาพ โครงสร้างร่างกายแล้ว อธิบายว่า การรักษา จะมีทั้งการกด... การรักษาปลายประสาท... แล้วใช้ยา... ใช้ไฟฟ้า ครู่ต่อมา คุณหมอจึงฉีดยา ที่สะโพก พ่อท่าน ทราบภายหลังว่า เป็นยาช่วย การปรับโมเลกุล ในร่างกาย เจ้าหน้าที่หญิง จัดยามาให้ มีทั้งยาหยอดตา วิตามินต่างๆ ยาเกี่ยวกับปอด และภูมิต้านทาน ที่เป็นยาเม็ด ใช้อมข้างกระพุ้งแก้ม แทนการกลืนอย่างยากิน ปกติทั่วไป

ญาติธรรมที่นิมนต์มา บอกเล่าที่มาของการรักษา เมื่อได้มาทดลองดู ผลจากกราฟบอกว่า มีปัญหา เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีอาการ เจ็บปวดใดๆ ญาติธรรมที่พามา พยายามอธิบายว่า การรักษาอย่างนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ มีที่มาที่ไป และได้ผล เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งโรงพยาบาลรักษาไม่หาย โดยยกตัวอย่าง ผู้ป่วยที่กำลังเห็นอยู่คนหนึ่ง เป็นเศรษฐี ของเมืองไทย นอนอยู่ที่เตียง มีญาติๆแวดล้อม วันนี้ผู้ป่วยมีท่าที ดีขึ้นกว่าวันก่อน นอกจากนี้ ยังมีหญิงสูงอายุ อีกคนหนึ่ง รถเข็นอยู่ส่งเสียงร้องได้แล้ว

หากพ่อท่าน จะรักษาช่วงต้นนี้ จะต้องมาทำ ๑๐ ครั้ง ทำวันเว้นวัน พอดีพ่อท่าน ติดงานหนังสือ และจะต้อง เดินทาง ไปภาคใต้ พ่อท่านจึงขอเลื่อนการเข้าคอร์ส ตรวจรักษาออกไปก่อน

๖ ต.ค. ๔๔ ที่สันติอโศก ญาติธรรมกลุ่มหนึ่ง นำผู้ที่ขนานนาม ศาสตร์ทางเลือก การรักษาของตนว่า "ปัญจศาสตร์" ให้มาตรวจรักษา อวัยวะที่บกพร่อง ของพ่อท่าน ซึ่งมีอยู่ ๔ อย่าง คือ

๑. ตาขวาที่จอประสาทตาเสื่อม
๒. อาการไอแห้งๆไม่มีเสมหะ
๓. เข่าซ้ายที่ร้อน เมื่อนั่งทำงานนานๆ
๔. ริดสีดวงทวาร ที่นานๆจะมีเลือดออก เวลาถ่าย

อาการผิดปกติทั้ง ๔ อย่างนี้ เจ้าของวิชา "ปัญจศาสตร์" รับปากยืนยันว่า จะหายได้

หลังการแมะตรวจชีพจร เจ้าของวิชา "ปัญจศาสตร์" บอกว่า สุขภาพร่างกายทั่วไป ของพ่อท่าน แข็งแรงมาก จะมีที่ผิดปกติ ก็คือที่ปอด เหมือนมีน้ำอยู่ และภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทาน เหมือนมีภูมิแพ้ ซึ่งพ่อท่านจะไว ต่อการเปลี่ยนแปลง ของสภาวะอากาศมาก

เจ้าของวิชา "ปัญจศาสตร์" บอกวิชานี้ มิใช่การกดนวด เช่นทั่วๆไป แต่เป็นการให้พลังจาก การกดของผู้กด ไปยังผู้ป่วย ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แล้วอธิบายเป็นรูปธรรม เปรียบเทียบว่า การกดโดยทั่วๆไป เหมือนการสะบัดผ้า ส่งแรงออกไปธรรมดา แต่การกด ให้พลังของวิชา "ปัญจศาสตร์" จะเหมือนการสะบัดผ้า ส่งแรงออกไป แล้วตวัด หรือ กระตุกปลายผ้ากลับ นอกจากนี้ ยังได้แสดงตัวอย่าง ของพลังปัญจศาสตร์ ด้วยการถือเทียน ลำขนาด อ้วนกว่าแท่งปากกา เล็กน้อย แล้วใช้นิ้วโป้งขวาบิด หรือหักปลายลำเทียน ที่โผล่พ้นนิ้วชี้ขวา ของตนเล็กน้อย ให้ขาดออกจากกัน ผลปรากฏว่า ลำเทียนก็หักขาด แม้เชือกที่เป็นไส้เทียน ก็ขาดติดลำเทียน ด้วยการบิดหัก อย่างรวดเร็ว จากนิ้วโป้งขวานั้น เมื่อให้ข้าพเจ้า ทดลอง บิดหักลำเทียนบ้าง เทียนก็หักตามแรงบิดนิ้ว แต่ไม่ขาดหลุดจากแท่ง

การรักษาเริ่มต้นจากเจ้าของวิชา "ปัญจศาสตร์" ใช้มือกดตามจุดต่างๆ ของมือ แขน ขา ละ เรื่อยไป เป็นการกด เพื่อให ้กระดูกต้นคอ และก้นกบ เกิดการคลาย เลือดจะได้หมุนเวียน ไปที่ขาได้ โดยเรียกการกด ตามจุดต่างๆ นี้ว่า "การไล่ระบบ" ต่อมา ให้พ่อท่านนอนคว่ำ แล้วกดลงไป ที่กระดูกสันหลัง ต่อมาให้ตะแคงซ้าย กด แล้วเปลี่ยนมาตะแคงขวา แล้วกด เพื่อให้กล้ามเนื้อ เกิดการบิดตัว

ช่วงระหว่าง การกดในแต่ละท่า จะทิ้งเวลา ให้พ่อท่านนอนนิ่งๆ ขยับได้เพียงแค่คอ และการหันหน้า แล้วเจ้าของวิชา "ปัญจศาสตร์" จะหาเรื่องต่างๆ มาคุยเล่าให้ฟัง ดูเป็นคนมี อัธยาศัยดี พูดคุยเก่ง และมีมุขตลก อารมณ์ขันๆเสมอ ดูเป็นกันเอง เข้ากับคนอื่นง่าย

ขณะพ่อท่าน นอนคว่ำนั้น ให้พ่อท่าน หายใจเข้าออก แล้วเจ้าของวิชา "ปัญจศาสตร์" ใช้มือกด บริเวณหลัง ตำแหน่งปอด ว่าเป็นการกด เพื่อไล่ความชื้นในปอด

"โรคภูมิแพ้ ผมใช้เวลา ๖ ครั้ง ในการกดก็หายได้ ขณะที่คนที่มาเรียนกับผม ใช้ถึง ๔๐ ครั้งจึงหาย แต่ ๔๐ ครั้งก็ยังดี เพราะโดยทั่วไป เขาไม่หายกัน..." เจ้าของวิชาปัญจศาสตร์คุย เล่าให้พวกเราฟัง นอกจากนี้ ยังพูดถึงผลการรักษาพ่อท่าน ให้ฟังว่า "อาการที่หัวเข่า หลังจากนี้ จะหายร้อน แต่จะร้อนไปทั้งตัว"

สุดท้ายแนะนำท่าบริหาร ให้พ่อท่านไปทำ ๓ ท่า จะก่อนนอน หรือตื่นนอน หรือเวลาไหนก็ได้

ท่าที่หนึ่ง ให้พ่อท่านนั่งเหยียดเท้า ปลายเท้าแยกห่างจากกัน ประมาณหนึ่งฟุต ยกมือขึ้น เหยียดตรง ไปข้างหน้า ให้ขนาน กับพื้น โน้มก้มตัว ลงต่ำมาหาเข่า หายใจเข้าออก ช้าๆ ดึงตัวขึ้น มานั่งหลังตรง แล้วก้มลงไปใหม่ ทำสลับอยู่อย่างนั้น ท่านี้ช่วยไล่ความชื้นในปอด

ท่าที่สอง ให้นั่งขัดสมาธิ ยกมือให้ขนานกับพื้น เหยียดไปข้างหน้า โน้มตัวก้มลงต่ำ แล้วดึงตัวขึ้นมา นั่งเหยียดแขน ไปข้างหน้า ทำสลับไปมา เช่นเดียวกับท่าที่หนึ่ง ทำท่านี้เพื่อปรับ เรื่องอาการไอ หอบหืด

ท่าที่สาม ยืนแยกเท้าออก ระยะห่างขนาดช่วงไหล่ เหยียดแขนไปข้างหน้า ระดับเสมอไหล่ ค่อยๆย่อตัวลงช้าๆ แล้วยกตัวขึ้นช้าๆ เช่นกัน โดยทั้ง ๓ ท่านี้ ให้ทำขึ้นลง ท่าละ ๕ ครั้ง

สองวันที่ผ่านมานั้น คล้ายกับพ่อท่านเอาตัวเอง ไปเรียนรู้ศาสตร์ทางเลือก ในการรักษาทดลอง ด้วยตนเอง ยังไม่ได้สรุปว่า วิธีไหนได้ผล หรือไม่ได้ผลอย่างไร

ขณะที่โครงการ ศูนย์วิจัยสร้างเสริมสุขภาพวิถีไทย (Reserch Centre for the Creation and Promotion of Thai Natural Health Care) ซึ่งเป็นเหมือนดั่งโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล ของชาวอโศก ได้มีการประชุมกัน ๒ ครั้งในเดือน นี้ (๔ ต.ค. และ ๑๔ ต.ค. ๔๔) เพื่อประเมินคร่าวๆ ถึงความเป็นไปได้ หรือไม่ได้ ของโครงการนี้ ทั้งในส่วนราชการ และชาวอโศก

"...เราจะเน้น ภูมิปัญญา ชาวบ้านแต่โบราณ ทั้งของไทย-จีน จะพยายามให้มาเป็นธรรมชาติ จะไม่เหมือน แผนปัจจุบัน ทีเดียว แต่เราก็จะมี แผนปัจจุบันด้วย และมีแผนก ออกกำลังกาย เผยแพร่แนะนำ เรื่องอาหารด้วย เราถือว่าการป้องกัน ดีกว่าการมารักษา

เราพยายามจะไม่ทำ ให้เป็นอย่างทุนนิยม จะพยายามทำ ให้เกิดเป็นบุญนิยม แต่เรายังไม่รู้ ว่ารายได้ จะจัดสรร ให้เป็นอย่างไร อาจจะเป็นกึ่งราชการ กึ่งเอกชน เรื่องการคิดค่า บริการกับผู้มาใช้บริการ เราจะคิดในราคาบุญนิยม แต่จะคิดอย่างไรแค่ไหน อันนี้เป็นรายละเอียด ค่อยมาพิจารณากันภายหลัง..."

จากบางส่วน ที่พ่อท่านกล่าว ในการประชุมคณะทำงาน สาธารณสุขอโศก และผู้ที่สนใจ โครงการศูนย์วิจัย สร้างเสริม สุขภาพวิถีไทย ๑๔ ต.ค. ๔๔ ที่สันติอโศก เป็นการบอกให้ ทราบถึงโครงสร้าง รูปแบบและทิศทาง ของศูนย์วิจัย สร้างเสริม สุขภาพวิถีไทยว่า ควรจะเป็น อย่างไร อย่างคร่าวๆ

การประชุมในวันนั้น (๑๔ ต.ค.) นท.น.พ.อุดม เกียรติวิชญ์ ได้มาร่วมประชุมด้วย หมออุดม ฝากปัญหาสำคัญ ให้พวกเราคิดว่า ใครจะเป็นผู้วินิจฉัยว่า ผู้ป่วยคนนี้ เหมาะที่จะไปหา แพทย์ทางเลือกส่วนไหน จะกดจุด ฝังเข็ม นวด หรือแพทย์แผนไทย ด้วยไม่เชื่อว่า ใครจะมีความรู้ ทุกศาสตร์อย่างดี จนสามารถ ใช้ความรู้ ทุกศาสตร์ มองผู้ป่วยที่มา แล้ววินิจฉัยได้ว่า ควรจะใช้ศาสตร์ไหน จึงเหมาะที่สุด กับตัวเขา

มีแพทย์หญิงคนหนึ่ง สนใจศาสตร์การแพทย์ทางเลือกหลายๆทาง ได้กล่าวถึงเครื่องมือ ของเยอรมัน ในการตรวจ วินิจฉัยโรค อย่างได้ผล เป็นที่น่าพอใจ

หมออุดมได้แสดงความเห็นต่อมาว่า เราน่าจะมีเกณฑ์หลักของเรา โดยเอาแผนไทย เป็นเกณฑ์ ไม่ว่าจะศาสตร์ไหนๆ ก็แล้วแต่ เราจะอธิบายมาสู่แผนไทย เช่นคราวที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขสัมมนา ทางเยอรมัน นำเครื่องมือทันสมัย มาใช้ในการรักษา เช่น ใช้แม่เหล็ก ใช้ระบบสั่นสะเทือน ใช้ความร้อน เราอาจอธิบาย มาทางแผนไทยได้ การใช้แม่เหล็ก ก็เกี่ยวกับการฝึกสมาธิ การสั่นสะเทือน ก็คือ การออกกำลังกาย การใช้ความร้อน ก็อยู่ที่การอบสมุนไพร เราควรที่จะใช้ เครื่องมือ ให้น้อยที่สุด เพื่อให้ชาวบ้าน สามารถดูแลตนเอง ที่บ้านได้ ไม่ต้องมาพึ่งหมอ พึ่งยา พึ่งเครื่องมือ หรือ พึ่งโรงพยาบาล ความเห็นของหมออุดมส่วนนี้ อาจเป็นแนวทางที่ดี ในการกำหนดทิศทาง ของศูนย์วิจัย สร้างเสริมสุขภาพ วิถีไทย ก็อาจเป็นได้

"... เราจะต้องดูแลสุขภาพร่างกาย ให้ดีให้ได้ และชาวอโศก จะต้องเป็นคน อายุยืนที่สุดในโลก ๑๕๐ ปีดีไหม?" จากบางส่วน ที่พ่อท่านให้โอวาท ปิดประชุม ชุมชนปฐมอโศก ๘ ต.ค. ๔๔ ที่ปฐมอโศก


ขณะที่ข่าวพระชื่อดัง มีเรื่องเกี่ยวข้องกับสีกา เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ ๑๙ ต.ค. ๔๔ ที่ สันติอโศก พ่อท่าน ได้รับการติดต่อ ขอสัมภาษณ์ ทำรายการ itv talk พ่อท่านบอกเล่า ให้ฟังภายหลังว่า ได้บอกกับผู้ติดต่อ ขอถ่ายทำรายการไปว่า

อ่านต่อหน้า 2/3

(สารอโศก อันดับ ๒๔๓ ธันวาคม ๒๕๔๔)