หน้าแรก >สารอโศก

ธรรมะประทับใจ (๗๔)


สมัยเป็นเด็ก แม่ชอบให้ฉันเอากับข้าวไปให้เจโกวที่โรงเจ ฉันเห็นคนอยู่ประจำโรงเจก็นึกในใจเลยว่า เขาเก่ง ฉันเคยบวชชีพราหมณ์ เพื่อถวายในหลวง ๓ วัน มีคนชวนบวชต่อ แต่ฉันไม่เอาแล้ว บอกตามตรงเลยนะ ฉันไม่เคย สนใจศาสนาเลย เพราะมีความรู้สึกว่า ฉันดีแล้ว พอพี่ชายฉัน เอาธรรมะเข้าบ้าน เขาบอกว่า ได้เจอพระแท้ๆแล้ว ที่สันติอโศก ฉันก็ยังเฉยๆ เขาเอาหนังสือกับเท็ปธรรมะให้ฉันฟัง ฉันได้อ่านหนังสือสัจจะชีวิต ของพระโพธิรักษ์ ฉันศรัทธามาก

แล้วพี่ชายฉันก็แนะนำว่า คนเราควรปฏิบัติธรรมตั้งแต่สาวๆ ดีกว่านี้ยังมีอีก ฉันเชื่อเรื่องกรรม จึงเริ่มลงมือ รับประทาน อาหารมังสวิรัติ ปี ๒๕๓๒ เริ่มปฏิบัตธรรม ลดละกิเลสตัวเอง ตอนนั้นไฟแรง ฉันไม่รู้จักตัวเอง รู้แต่ว่าฉันพบแล้ว ที่อยู่สงบร่มเย็น อาชีพนักบวช เป็นอาชีพที่สงบ ตัดสินใจทิ้งธุรกิจตัวเอง มาอยู่แวดวงธรรมะ คิดจะมาบวช แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ฉันยอมให้ญาติๆ ตำหนิว่า แต่ใครพูดอย่างไรฉันก็ไม่ฟัง แต่ตอนนี้ ฉันได้รู้จักตัวเองแล้ว

ฉันมีเพื่อนดีๆหลายคน คนแรกที่ฉันจะเอ่ยคือ คุณพิกุล(อ้อย) บัวช่วย รู้จักกันตอนไปปลุกเสกฯ ปี ๒๕๓๓ หลังจากนั้น ก็เจอกันอีก ฉันดีใจมากที่เจอเขา ตอนที่เขาซื้อตะวันงาย ๒ แล้ว ตอนนั้น พอดีบ้านฉันมีปัญหา แล้วฉันก็อยู่วัดไม่ได้ ต้องออกจากวัดไปหาเงิน เพราะฉันต้องช่วยเหลือน้อง โชคดีหน่อย ที่อ้อยชวนฉันไปอยู่ด้วย ฉันซาบซึ้งน้ำใจเขามาก ฉันอยู่กับเขา เขาให้เกียรติฉันมาก ไม่เคยทำให้ฉันเสียใจ มีแต่ให้อย่างเดียว เวลาฉันป่วย ก็ได้เขาดูแล เขาเป็นคนมีจิตใจดีมาก กับคนอื่นเขาก็ช่วยเหลือเสียสละ เราอยู่ด้วยกัน เปรียบเสมือนพี่น้อง คลานตามกันมา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันประทับใจเขามาก น้องชายฉันไปเที่ยวบ้านเขา เขาต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี ฉันเป็นหนี้ บุญคุณเขา แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว เพราะเขาย้ายไปรับราชการ ที่ขอนแก่น เราอยู่ด้วยกันมา ๔ ปี ไม่เคย ทะเลาะกันเลย ฉันยังจำสุภาษิตได้ที่บอกว่า ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา สัมพันธ์กันได้แต่อย่าผูกพัน การพลัดพราก เป็นเรื่องธรรมดา พ่อท่านสอนเสมอ ทำให้ฉันทำใจได้

ตอนแรกที่แยกออกจากอ้อย คิดว่าฉันจะกลับไปอยู่บ้านสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยมาอยู่วัด หรืออาจไปๆมาๆ วัดก็ได้ พอดีบุ๋มกับอนันต์ เขาเช่าห้องไว้ที่ตะวันงาย ๑ เผื่อให้แม่เขามาพัก ทั้งสองสามีภรรยา ก็มาชวนฉันไปอยู่ด้วย เขาบอกว่า "พี่ไม่ต้องกลับบ้านหรอก พี่มาพักกับบุ๋มได้เลย พี่จะได้ช่วยงานที่วัดด้วย" ฉันซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก

อยู่กับบุ๋มได้ไม่นาน ฉันก็ต้องอยู่คนเดียว เพราะบุ๋มเขาไม่ว่างมาอยู่ ต้องไปดูแลพ่อแม่ของเขา ใครมาพักค้าง กับฉันที่ห้อง ฉันก็บอกเขาให้รับรู้ทุกครั้ง เขาบอกว่า "ไม่เป็นไร คนเราเกิดมาเพื่อช่วยเหลือกัน"

ฉันบอกกับบุ๋มว่า ฉันเกรงใจ ขอให้ฉันมีส่วนช่วยบ้างนะ จะช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง บุ๋มน่ารักมาก ยังถามฉันอีกว่า "รบกวนพี่หรือเปล่า พี่พอมั้ย พี่ขายของได้กำไรแค่นิดหน่อย" ดูซิยังมีน้ำใจมาห่วงฉันอีก น้ำใจเธอช่างประเสริฐโดยแท้

ฉันบอกกับบุ๋มว่า "ไม่เป็นไรหรอก แค่บุ๋มให้พี่อยู่ พี่ก็ขอบคุณมากแล้ว"

มีอยู่ครั้งหนึ่ง บุ๋มเอาเงินค่าเช่าห้องให้ฉันช้าไป ๒ วัน บุ๋มมาขอโทษฉัน ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ฉันประทับใจเขามาก ฉันรักเขาเหมือนน้องสาวตั้งแต่แรกที่รู้จักกัน หรือว่าชาติก่อน เราคงทำบุญร่วมกันมา เขาไม่เคยคิด เรื่องเงินสำคัญ เขาทั้งสองคนบอกฉันเสมอว่า "พี่หมวยอยู่ให้สบายใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนเราเกิดมาก็เหมือนพี่น้องกัน"

ฉันเป็นหนี้บุญคุณเขาทั้งสองมาก ที่ให้ที่พักอาศัยฉัน ทุกวันนี้ฉันพร่ำสอนตัวเองเสมอว่า อย่าหลงระเริงเมื่อได้ของฟรี ในโลกนี้ไม่มีของฟรีหรอก ถ้าคุณไม่ทำความดี ฉะนั้นรีบเร่ง กระทำความดีให้ดียิ่งๆขึ้นไปเถิด

ฉันโชคดีแม่สอนเสมอว่า ให้นึกถึงบุญคุณของคนอื่นที่ทำดีกับเรา แต่เราทำดีกับใครอย่าไปจำ พอฉันมาเจอธรรมะ พ่อท่านสอนเสมอว่า คนเราเกิดมาเพื่อช่วยเหลือกัน สังคมถึงจะร่มเย็น และน่าอยู่ มีน้ำใจให้แก่กัน มีสาราณียธรรม ถ้าคนเราไม่ช่วยเหลือกัน จะเกิดมาทำไม

ฉันสอนตัวเองเสมอๆให้มีน้ำใจ เป็นคนดี จิตใจดี สมกับที่พ่อท่านสอนให้ลูกๆทุกคน เจริญทางจิตวิญญาณ

เหมือนฟ้า ฐิติศรภาคย์

(สารอโศก อันดับ ๒๔๓ ธันวาคม ๒๕๔๔)