หลวงตาขุ่ย กันตะวิโร อายุท่าน ๗๔ ปีแล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าเทพเจริญธรรม บ้านเป็ด หมู่ที่ ๑ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ท่านได้เล่าเรื่องของกฎแห่งกรรม หรือกรรมตามมาสนอง ลูกชายของท่าน ในสมัยที่ท่านยัง เป็นฆราวาส ครองเรือนอยู่นั้น ท่านได้เล่าให้กับผู้เขียนฟังว่า

เรื่องนี้มันได้เกิดขึ้นราว พ.ศ. ๒๕๐๗ ตอนนั้นอาตมายังไม่ได้ออกมาบวช ยังครองเรือนอยู่ มีเมีย มีลูกชายหญิง หลายคน อาชีพก็คือ ทำไร่ทำนา ตามพ่อแม่ปู่ย่าเคยทำมา ลูกชายของท่านคนหนึ่งชื่อ นายสุธน พิมสุนนท์ อายุเขาในตอนนั้น ๑๗ หรือ ๑๘ ปี เห็นจะได้ กำลังอยู่ในวัยคะนอง เขาเป็นคนขยัน มักจะช่วยพ่อแม่ ทำไร่ทำนาอยู่เป็นประจำ

ในปีนั้น พอถึงฤดูทำนา ฝนตกมา เดือน ๖ เดือน ๗ พอไถนาได้ ผู้เป็นพ่อก็บอกให้ลูก ออกไปไถนา ฉะนั้น ทุกๆเช้า เจ้าลูกชายคนนี้ ก็จะห่อเอาข้าวพร้อมกับข้าว แล้วไล่ต้อน เอาฝูงควาย ออกไปสู่ท้องนา เพื่อไถดะ (ภาษาอิสาน เว้าว่า ไถฮุดนา)

พอไล่ต้อนควายถึงนาแล้ว เขาก็จะนำเอาห่อข้าว ไปวางไว้ยังเถียงนาน้อย เป็นประจำเสมอมา แล้วก็จะลงไป ไถฮุดนา กว่าจะเสร็จแต่ละครั้ง ก็นานพอดู ก็ได้เวลากินข้าวพอดี

อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ปลดควายออกจากไถ เขาก็ขึ้นมายังเถียงนาน้อย ที่เอาห่อข้าววางไว้นั้น แต่พอมาถึง เถียงนา ปรากฏว่า เจ้าอีกา ได้มาขโมยจิกกิน ห่อข้าวของเขา จนกระจัดกระจายไปหมด

เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เพราะความเหนื่อย ปนความหิว พอจะมากินข้าว กะจะให้หายเหนื่อยซะหน่อย แหม ! เจ้าอีกาก็มากินข้าว ของเขาเสียนี่! เขาจึงคิดวางแผน จับเจ้าอีกามาลงโทษ ให้สาสมกับความแค้น ที่มันมาขโมยกินข้าว

เช้าวันต่อมา เขาได้ทำบ่วงดักอีกาเอาไว้ บริเวณใกล้ๆ กับเถียงนาของเขา พร้อมกับเอาข้าวเหนียว ที่นึ่งแล้ว มาโรยเป็นเหยื่อ ล่อเจ้าอีกา เสร็จแล้วเขาก็ลงไปไถนา

หลังจากไถนาจนเสร็จงานนาแล้ว เขาก็ขึ้นมาดูผลงานที่เขาทำดักไว้ ปรากฏว่า เป็นไปตามแผน คือเจ้าอีกา ได้หลงกล ลงมากินเหยื่อ แล้วก็ได้ติดบ่วง เขาเห็นเช่นนั้น รู้สึกดีใจมาก

แล้วเขาก็เดินตรงไป หยิบเอาไม้ที่ทำเตรียมไว้ เป็นเครื่องทรมานเจ้าอีกา มันเป็นไม้ชิ้นเล็กๆ เท่านิ้วก้อย ความยาวเท่าคอของอีกาพอดี แล้วเขาก็เหลาไม้นั้น ให้แหลมทั้งสองข้าง

เขาเดินตรงมายังเจ้าอีกา ที่ติดบ่วงดิ้นรนอยู่ แล้วเขาก็แก้บ่วงออก จับเอาอีกานั้นขึ้นมา เขาพูดว่า "เจ้าอีกาขี้ขโมย เมื่อวานนี้ เจ้าขโมยกินข้าวของข้า วันนี้ข้าจะทำโทษเจ้าละนะ"

พอพูดจบ ก็เอาปลายไม้แหลมข้างหนึ่ง เสียบตรงที่คางของเจ้าอีกา ส่วนอีกข้างหนึ่ง ก็มาปักมาค้ำเอาไว้ ตรงกระเพาะอาหารของมัน (คนอิสานเว้าว่า เหนียงมัน)

ตอนนี้มองดูจะเห็นว่า คอของเจ้าอีกา โดนเหยียดยาว แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ได้รับความเจ็บปวดมาก มันทั้งร้องและดิ้น เพื่อให้หลุดจากการกระทำทารุณนี้

หลังจากเขาทำเสร็จแล้ว ก็ปล่อยเจ้าอีกาที่เคราะห์ร้ายนั้น พออีกาโดนปล่อย มันก็โผบิน โดยมีไม้ค้ำคอของมัน ให้แหงนมองขึ้น มันบินหมุนเคว้งคว้าง ขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากก็ร้องอยู่ ตลอดเวลา กา.. กา.. กา.. มันต้องเจ็บปวด และทรมานมาก ในที่สุด ก็ได้ขาดใจตาย อยู่บนท้องฟ้า แล้วร่างก็ร่วงละลิ่ว ตกลงมาสู่พื้นดิน

พระท่านเคยเทศนาสั่งสอนอยู่เสมอว่า เจ้ากรรมนายเวรนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หรือ พระเจ้าองค์ใด ที่จะมา ดลบันดาล ให้เราเป็นนั้นเป็นนี้ได้หรอก นอกจากกรรม ๓ อย่าง ในอดีต หรือในปัจจุบัน ที่เรากระทำขึ้นมาเอง ได้มาส่งผล ให้เราได้ดีมีสุข หรือมี ทุกข์ในปัจจุบันนี้

กรรม ๓ อย่างที่ว่านี้ คือ กาย วาจา ใจ หากเราคิดแต่สิ่งดีๆ พูดแต่สิ่งดีๆ มีสาระ การกระทำ ก็กระทำแต่กรรมดี สั่งสมแต่กรรมดี ผู้ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ กรรมดี ของเรา ก็จะนำพาเราให้ไปพบแต่คนดีๆ พบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต ชีวิตของเรา จึงพบแต่ความสุข ความเย็นกายเย็นใจ ความเจริญในชีวิต และทรัพย์สิน

แต่ทว่า หากใครเกิดมา ไม่รู้จักรักษาศีล รักษาธรรม ได้แต่สั่งสมกรรมชั่ว กรรมเลว ไม่รู้จัก บาป บุญ คุณ โทษ เกิดมาได้แต่ ก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้พ่อแม่ หรือผู้อื่น สัตว์อื่น ได้รับความเดือดร้อน

เจ้ากรรมนายเวรของเขา คือ ผลแห่งการกระทำกรรมชั่ว ของเขานั้นแหละ จะนำพาเขา ไปสู่ทิศทางที่ต่ำ ที่เลว ชีวิตของเขา จึงได้พบแต่ความเดือดเนื้อร้อนใจ ได้รับความทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกาย และจิตใจ หรือบางที ทำเอาชีวิตของเขา ถึงตายก็มี

ดังเรื่องของนายสุธน พิมสุนนท์นี้ก็เหมือนกัน หลังจากที่เขาก่อกรรม ทำเข็ญกับเจ้าอีกา จนถึงตาย ในคราวนั้นแล้ว อีก ๒ ปีต่อมา คือปลายปี ๒๕๐๙ นั้นเอง เจ้ากรรมนายเวร ก็ได้มาทวงถาม เอาความเจ็บปวด และความตายจากเขา คืนมาบ้าง

คือในปีนั้น หลังจากที่เขาตรากตรำ ทำไร่ ทำนา ช่วยพ่อแม่ จนเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว เขาก็ได้ไปช่วย ทำการนวดข้าว ตีข้าว ช่วยเพื่อนบ้าน ตามประสาหนุ่มๆทั่วไป แต่แล้วเขาก็ เกิดล้มป่วยลง

เขาบอกอาการป่วย กับผู้เป็นพ่อและแม่ว่า "พ่อครับ วันนี้ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร รู้สึกเจ็บขัดที่ หน้าอก และผมก็เจ็บ ที่ลำคอด้วย มันเหมือนมีใคร เอาเหล็กแหลมๆ มาทิ่มแทง ผมรู้สึกเจ็บเหลือเกินครับพ่อ"

พ่อและแม่จึงได้พาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลขอนแก่น แต่พอให้หมอตรวจ ดูอาการเจ็บปวดนั้นแล้ว กลับไม่พบสาเหตุใดๆเลย คุณหมอ จึงให้ยาแก้ไข้ แก้ปวดมาทาน แล้วก็ให้กลับ มารักษาตัวอยู่ที่บ้าน

หลังจากได้ยามาทานแล้ว อาการเจ็บที่ลำคอ และเจ็บขัดที่หน้าอก ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย พ่อจึงไปหาหมอพระ ให้ตรวจดวงชะตาให้ พระท่านเลยทักว่า "อาการเจ็บป่วยคราวนี้ เกิดจาก แรงกรรมของเขา ที่เคยทำกรรม เอาไว้กับอีกา ที่โยมเล่าให้อาตมาฟังนั้นล่ะ ทำพิธีตัดกรรม ตัดเวรแล้วก็จะหายหรอก"

ให้พระตัดกรรมตัดเวรแล้ว อาการของเขา ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย มีแต่ทรงกับทรุด หมอยาสมุนไพร ก็หามารักษา ทั้งฝน ทา และฝนให้กิน อาการก็ไม่ดีขึ้นมาเลย

เวลาเจ็บปวดมากๆ เขาจะดิ้นทุรนทุราย แล้วเอามือมาจับที่ลำคอ และหน้าอก พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "พ่อครับ แม่ครับ ช่วยดึงไม้ ที่ปักอยู่ที่อก และลำคอของผมออกด้วยครับ ผมเจ็บครับ" ทั้งๆที่ผู้เป็นพ่อดูแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย

บางครั้งในเวลาเขาเจ็บปวดมากๆ เขาก็จะกางขากางแขนออก แล้วแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากก็จะร้อง อย่างเจ็บปวดว่า ""อา! อา! อา!" ฟังดูคล้ายๆ เสียงของอีการ้อง

เขานอนป่วย ด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ที่บ้าน เป็นเวลาเดือนกว่าๆ สุดที่ผู้เป็นพ่อและแม่ จะหาหมอ มาเยียวยารักษา เขาเจ็บคอ และเจ็บขัดที่หน้าอก จนกินข้าวปลาอาหารไม่ได้ สุดท้าย ก็ตายลงอย่างทรมาน เป็นที่สุด

เมื่อเขาตายไปแล้ว อาตมาก็คิดว่า เขาตายเพราะกรรมของเขาเอง ที่เขาฆ่าอีกาแบบ พิสดาร จนกามันตาย แบบทรมานที่สุด ผลแห่งกรรมของเขา ที่กระทำในครั้งนั้น จึงส่งผลมา ให้เขาต้องมาตายแบบทรมาน เหมือนกับเจ้าอีกา ในครั้งนั้นเอง นี้แหละพระท่านว่า "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นย่อมมาถึงตัวล่ะ" หลวงตาขุ่ย กล่าวกับผู้เขียน ในที่สุด

-ก่อแก่น-