บทเรียนที่ต้องศึกษา
ป.ปรีดา

เป็นพ่อเป็นแม่สมัยนี้ ยากลำบากทีเดียว โดยเฉพาะสังคมเมือง คู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้ว มีบุตร ทราบดีว่า ขนาดพร้อมที่จะให้กำเนิด สมาชิกใหม่ในครอบครัว ก็ยังประสบปัญหา ไม่เหมือนสังคม ในครั้งอดีต ที่อยู่กัน เป็นครอบครัวใหญ่ เด็กเกิดมา อยู่ท่ามกลางปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา โดยเฉพาะ สังคมชนบท ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง เด็กที่เกิดมา จึงมีญาติๆ ช่วยกันเลี้ยงดู และสอดส่อง ดูแล อยู่กันอย่างอบอุ่น เรียกว่าหายห่วง แต่ยุคนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว สังคมเมืองส่วนใหญ่ คู่แต่งงาน มักแยกเรือน ไปอยู่ต่างหาก

เพื่อนของผู้เขียนก็เข้าทำนองนี้ เมื่อเธอแต่งงานไปแล้ว ก็ได้มาอยู่กับสามีเพียงลำพัง พอตั้งครรภ์ ให้กำเนิด ลูกแฝด ทำให้สามีต้องลาออก จากการรับราชการทหาร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด และจะ กลับบ้าน ตอนเย็นวันศุกร์ เมื่อได้ลูกแฝดแบบนี้ จะอาศัยคุณยาย คุณน้า ซึ่งต้องเดินทาง มาช่วยดูแลหลาน เป็นครั้งคราวคงไม่ได้ สามีจึงตัดสินใจ หันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นนายหน้า ขายประกัน โดยการติดต่อ ทางโทรศัพท์ และได้ช่วยเลี้ยงบุตร ขณะที่ภรรยา ต้องออกไป ทำงานนอกบ้าน

ผู้เขียนทราบมาว่า ภรรยาของท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คราวที่บุตรยังเล็กอยู่นั้น สามีได้ขอร้อง ให้ภรรยาลาออกจากงาน เพื่อดูแลบุตรได้อย่างใกล้ชิด ตอนแรกๆ ผู้เป็นภรรยา ก็หนักใจ เหมือนกัน ที่จะต้องลาออกจากงาน แต่เพื่อลูก เธอก็ได้ทำมาแล้ว ขณะนี้บุตรของเธอ ต่างเจริญ เติบโต กันแล้ว เหลือเพียงบุตรคนเล็ก ที่ยังอยู่ในวัยเรียนเท่านั้น

คู่แต่งงานสมัยใหม่ สามีและภรรยาช่วยกันดูแลลูกน้อย ไม่ให้หนักเฉพาะภรรยา ฝ่ายเดียว เรียกว่า Family man สามีแบบนี้ น่ายกน่อง ที่เข้าใจสภาพของสตรี และเห็นว่า เป็นเรื่องน่าช่วยกัน เพราะเป็นผลผลิต ของคนสองคน ที่ต้องรับผิดชอบ ทุกขั้นตอน ร่วมกัน ทำให้ลูกน้อย ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด จากทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ สร้างความอบอุ่นใจ ให้เด็กๆ อย่างไม่มีปัญหา

พ่อแม่บางรายต้องออกเดินทางไปทำมาหากินแต่เช้า ได้ "เพื่อนบ้านที่ดี" จึงนำบุตร ไปฝากเพื่อนบ้าน ช่วยดูแลให้ ซึ่งผู้ดูแล มีนิสัยรักเด็กอยู่แล้ว จึงเลี้ยงเด็กเสมือนญาติ

เด็กเกิดความผูกพันกับคนเลี้ยง เพื่อนบ้านผู้นี้ จึงไม่ใช่คนแปลกหน้า นับว่าครอบครัวนี้โชคดี ที่ได้เพื่อนบ้าน แบบนี้

แต่จะมีสักกี่ครอบครัวที่ทำได้เช่นตัวอย่างข้างต้น หลายครอบครัว นำลูกเล็กไปให้ สถานเลี้ยงเด็ก (nursery) ดูแล ซึ่งไม่แน่ใจว่า สถานเลี้ยงเด็กเหล่านั้น ได้มาตรฐาน และดูแลบุตรหลานของท่าน ได้ทั่วถึงหรือไม่ บางคนลูกแค่ ๓-๔ ขวบ ก็ปล่อยไว้ในบ้าน อาจมีพี่เลี้ยง ช่วยดูแล แต่พี่เลี้ยงคงไม่สามารถ ดูแลทุกฝีก้าว โอกาสที่เด็ก จะพลาดมีสูง หากได้พี่เลี้ยง ที่นิสัยไม่ดี สิ่งที่เด็กรับซับซาบ ตั้งแต่เล็ก ก็จะก่อผลเสีย ตอนโตได้

คุณหมอท่านหนึ่ง เปิดคลินิกอยู่ริมถนน คุณหมอเล่าให้ฟังว่า เธอได้ลูกแฝด ตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ ประมาณ ๓-๔ ขวบ ลูกคนหนึ่ง วิ่งลงจากฟุตปาธ ไปที่ท้องถนน ถูกรถยนต์ชนตายคาที่ ภาพนั้น ยังติดตาตรึงใจ อยู่จนทุกวันนี้ นี่ขนาดดูแลเอง แต่พลาดไปเพียงนิดเดียว ถึงขั้นลูกเสียชีวิต เป็นเรื่องน่าเศร้า สำหรับ ครอบครัวคุณหมอ ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจด้วย ส่วนลูกคนที่เหลือ ขณะนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยม ๑ แล้ว

บางครอบครัวสร้างบ้านเรือนเผื่อลูกด้วยความรัก แม่บ้านไม่อยากให้สร้างสระน้ำ แต่พ่อบ้านบอกว่า ลูกโตขึ้น จะได้ว่ายน้ำในสระ ที่เราเตรียมไว้ ไม่ต้องไปว่ายที่ไหน แต่ท่านทราบไหม สระน้ำนี่แหละ คร่าชีวิตบุตร สุดที่รัก ของครอบครัวนี้ เพราะเด็กไม่ได้อยู่ในสายตา ของผู้ใหญ่ ตลอดเวลา พ่อแม่อยู่ ก็พาเด็กเดินเล่น รอบๆสระ ผู้ใหญ่บางคน ก็ลงไปว่ายน้ำในสระ ส่วนเด็กก็แค่เดินเล่น วันอื่นๆ เมื่อไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เด็กคนนี้ ก็ออกไปวิ่งเล่น คงเคยเห็นผู้ใหญ่เล่นน้ำ เด็กจึงกระโจน ลงไปในสระน้ำ จนเสียชีวิต ผู้เป็นพ่อเสียใจอย่างที่สุด ว่าตนเองสร้างสระ เพื่อฆ่าลูกหรือนี่ บางครอบครัว รอบคอบ หากต้องการขุด สระน้ำในบริเวณบ้าน และมีเด็กๆอยู่ด้วย ทุกครั้งที่เลิกใช้สระ จะต้องหา ที่คลุมสระไว้ เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม ดังตัวอย่างข้างต้น

อย่าว่าแต่เด็กๆเลย แม้แต่เด็กที่โตแล้ว เรียนอยู่ในระดับมัธยมแล้วด้วยซ้ำ เป็นญาติของผู้เขียนเอง เล่าว่า บุตรชายของเธอ เมื่อเลิกเรียน ก็ตามเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่ท่าน้ำเจ้าพระยา เห็นเพื่อนหลายคน กระโดดลงไป เล่นน้ำ บุตรของเธอ ซึ่งว่ายน้ำไม่เป็น ก็กระโดดลงไปบ้าง เพื่อนๆเห็น ก็รีบช่วยกัน แต่สายไปเสียแล้ว บุตรของเธอ เสียชีวิต เพราะเพื่อนๆ ช่วยไม่ทัน เรื่องน่าเศร้าแบบนี้ มักเกิดขึ้นเสมอ บางครั้ง ผู้ว่ายน้ำไม่เป็น แต่มองผู้ที่ว่ายน้ำเป็น เล่นน้ำกันอย่างสนุก ก็ลืมตัว กระโดดลงไปบ้าง ไม่ใช่เด็กมัธยมคนนี้ ที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่ ก็เคยประสบกันมาแล้ว แต่โชคดี ที่ผู้ใหญ่ด้วยกันทราบวิธี เมื่อช่วยขึ้นมาแล้ว ก็รีบผายปอด และ เอาน้ำออก จึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ประมาทกันไม่ได้เลย สำหรับเรื่องทำนองนี้

หลายบ้านไม่ทันได้คิดว่า ปลั๊กไฟภายในบ้านที่ท่านติดตั้งไว้ต่ำๆ เป็นอันตราย สำหรับเด็กเล็กๆ การติดปลั๊กไฟ จึงควรติดในระดับสูง ให้พ้นมือเด็ก มิเช่นนั้นเด็กๆ อาจเอามือไปแหย่ และถูกดูดตายก็เป็นได้ หรือแม้แต่เครื่องซักผ้า ที่ผู้เขียนดูจากการเสนอข่าวทางโทรทัศน์ เด็กคนนั้นเข้าไป ในเครื่องซักผ้า และออก มาไม่ได้ ผู้ใช้เครื่องซักผ้า จึงควรปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าเปิดช่องโหว่ ให้เด็กเผลอเข้าไปได้ อย่างในข่าว กว่าจะช่วยกันให้ออกมาได้ เด็กคนนี้ ก็เสียขวัญไปแล้ว ทางที่ดี ควรใช้เครื่องซักผ้า แบบเปิดด้านบน จะปลอดภัยกว่า

ครอบครัวใดที่มีเด็กเล็กๆ จึงควรระมัดระวังของใช้ภายในบ้าน ตู้ยาก็ควรติดตั้ง ให้พ้นมือเด็ก เหรียญสตางค์ ก็ไม่ควรไว้ให้เด็กหยิบเล่น เพราะเราไม่อาจทราบได้เลยว่า เด็กจะนำเหรียญ เข้าปากไปเมื่อไร ที่สุด ก็เดือดร้อน เห็นเด็กเล่นเหรียญ ก็ไม่แน่ใจว่า เด็กกลืนเหรียญไปบ้างหรือยัง ซึ่งขณะที่มอง เด็กก็ยัง ไม่เกิดอาการ ผู้เขียนจึงแนะ ให้รีบพาเด็กไปหาหมอ หมอคงมีวิธีตรวจ ด้วยอัลตราซาวนด์ เพื่อให้คุณพ่อ คุณแม่เด็กสบายใจ

อาหารขบเคี้ยวแบบทันสมัยทุกวันนี้ ไม่ปลอดภัยเหมือนเมื่อครั้งที่ใช้ของขบเคี้ยว อย่างไทยๆ ข่าวล่าสุด.... ลูกอม ที่เด็กบริโภคเข้าไป แล้วติดคอ ถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งๆที่หน้าซอง ก็บอกว่า อันตราย สำหรับเด็ก ที่อายุต่ำกว่า ๙ ขวบรับประทาน แต่ลูกอมท็อปฮิต ใครเล่าจะสังเกตคำเตือนนั้น นอกจากเกิดเรื่อง โศกสลดเช่นนี้

แม้แต่ต่างจังหวัด แม่พาลูกไปสวน ลูกวัยซน ก็ปีนขึ้นต้นไม้ ขณะที่แม่เดินไปอีกที่หนึ่ง แต่ย้อนกลับ มาเอาของ จึงเห็นลูกห้อยหัวลง ที่ต้นไม้นั้น เหตุเพราะเด็ก ปีนขึ้นไปแล้ว เสื้อถูกกิ่งไม้เกี่ยวไว้ ลงมาไม่ได้ ต้องอยู่ใน ลักษณะห้อยหัว หากแม่ไม่ย้อนกลับมาเอาของ อะไรจะเกิดขึ้น เด็กคนนี้ คงต้องอยู่ในลักษณะนี้ จนสลบไป อย่างไม่มีวันฟื้นกระมัง

สื่อมีส่วนสำคัญมากๆ ที่เป็นต้นแบบให้เด็กเกิดการเลียนแบบง่ายที่สุด หากผู้จัดรายการ และผู้อุปถัมภ์ รายการ คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ ก็น่าจะผลิตสื่อ ที่เป็นแนวทางสร้างสรร ให้ปรากฏ ในสังคม ละครที่เด็ก ได้ชมนั้น วันหนึ่งท่านอาจคิดไม่ถึงว่า เด็กได้เลียนแบบ และจบชีวิต เพราะเหตุนั้นไปแล้ว ซึ่งหากท่านผู้อ่าน ได้ติดตามข่าวสาร คงทราบแล้วว่า เด็กวัยไม่กี่ขวบ ใช้เชือกคล้องกับขื่อที่บ้าน แล้วก็แขวนคอ พ่อแม่ มาพบอีกที เด็กก็หมดลมไปแล้ว แม่เล่าว่า วันนี้ลูกบอกแม่ว่า ให้แม่อยู่บ้าน แต่แม่ไม่ได้เอะใจว่า จะเกิดอะไร ขึ้นกับลูก จึงไปทำงานตามปกติ พี่เลี้ยงมาเห็น เด็กก็สิ้นลมไปแล้ว หากให้ไขความ ก็ต้องบอกว่า เด็กคงอยากรู้ว่า ที่เห็นในจอโทรทัศน์นั้น เขาทำแบบนี้ทำไม เป็นอย่างไร ความอยากรู้ อยากเห็นในวัยเด็ก ที่ยังไม่ประสีประสาว่า นี่คือการผูกคอตาย และที่บอกคุณแม่ ก็คงจะให้คุณแม่ ช่วยทำแบบนั้นกระมัง

วิดีโอเกมส์ก็เช่นกัน ได้แย่งเวลาเด็กในเรื่องสันทนาการกับครอบครัว หากขลุกอยู่กับจอ หลงกับเกมส์ที่เล่น จนเห็นเป็นเรื่องจริงจัง ข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เด็กคนหนึ่ง เล่นเกมส์กับเพื่อน ในสถานที่ที่ชื่อว่า Games center เล่นเกมส์อยู่ ถูกเพื่อนยิงตัวละคร ในเกมส์ตาย เด็กคนนั้น โมโหมาก ถึงกับใช้มีด เสียบเพื่อน ที่เล่นเกมส์อยู่นั้น นี่คือเรื่องจริงนอกจอ ที่ทำให้เด็กประสบ อันตรายกันมาแล้ว จากการวิจัย พบว่า เกมส์ที่เด็กเล่นนั้น ที่จริงเป็นการกระตุ้นสมอง และสายตาของเด็กเท่านั้น ไม่มีการพัฒนา สมอง ส่วนอื่นเลย

หรืออย่างข่าวที่สิงคโปร์ เด็กอายุ ๑๐ ขวบ กระโดดตึกตาย ด้วยเหตุผล ที่เธอมีการเรียน อ่อนลงจากเดิม (ปกติเป็นเด็ก มีผลการเรียนที่ดี) และเธอรู้สึกรับภาระหนัก ในการเรียนมาก พี่เลี้ยงเล่าว่า เธอไม่อยาก กลับมาเกิด และ เรียนอีกต่อไปแล้ว เรื่องแบบนี้ ฝ่ายการศึกษา คงต้องคิดกันหนักว่า เหตุใด จึงทำให้เด็ก เกิดความรู้สึก ถึงขั้นอยากตาย

ที่เล่ามานี้ คงเป็นอุทาหรณ์ สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ พ่อแม่จึงควรรอบคอบ เมื่อริสร้าง ครอบครัวแล้ว ควรคำนึง ถึงเหตุปัจจัย ที่อาจทำให้สูญเสีย บุตรสุดที่รักได้

หากท่านผู้ใดมีประสบการณ์จริงจากชีวิต สามารถส่งมายังคอลัมน์นี้ หรือส่งมาทาง e-mail ข้างต้น

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๔ มกราคม ๒๕๔๕)