>สารอโศก

'คุยเรื่องสุขภาพ' (ตอนแรก)
บทความชิ้นนี้ เรียบเรียงมาจากการเสวนาเรื่อง "คุยเรื่องสุขภาพ" โดย น.พ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ณ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง เชียงใหม่ แบ่งเป็น ๒ ตอน เริ่มลงตอนแรกในสารอโศก ฉบับ ๒๔๕


ผู้ดำเนินรายการ:  หมอพินิจ  ลิ้มสุคนธ์ค่ะ อดีตท่านเคยเป็นอาจารย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ทาง NUERO MEDICINE ค่ะ ทางอายุรกรรม ของคณะแพทย์ศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ขณะนี้ท่านได้ลาออกจากราชการ ไปทำงานเอกชน ที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม  ขอเรียนเชิญ อาจารย์น.พ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ค่ะ

น.พ.พินิจ:    ผมได้รับเชิญให้มาพูดเกี่ยวกับ เรื่องการดูแลสุขภาพของพ่อ แม่ พี่ น้อง เรื่องนี้ ผมว่าเรื่องนี้เราจำเป็น ต้องมาคุยกัน ก่อนอื่น มีใครเคยได้ยิน คลินิกสามบาท หรือ มีใครเคยเห็น หนังสือหมอปากหมาไหมครับ

ที่มา ก่อนที่จะมาเป็น คลินิกหมอสามบาท และ ก็หมอปากหมานี่ ผมคิดว่า คนเราจะทำอะไร มันต้องมีไฟ  มีปณิธาน  มีเป้าหมาย ว่าเราจะทำอะไร ผมเองตั้งแต่มาเรียนแพทย์  แล้วจบเป็นหมอนี่ มันมีเรื่อง ตะขิดตะขวงใจอยู่ เรื่องหนี่ง ซึ่งตอบตัวเอง ไม่ได้ว่า เรามีแพทย์ แผนปัจจุบัน มาแทนแพทย์แผนโบราณนี้ มันได้หรือเสีย จุดนี้ที่ผม ตอบตัวเอง ไม่ได้ ว่ามันดีจริง หรือว่าไม่ดีจริง มันมีอะไร แฝงอยู่บ้าง  คำถามอย่างนี้ ถ้าดูเผินๆ มันไม่น่า จะเกิดขึ้นน่ะ ใครๆ ก็ว่า มันดีใช่ไหมครับ มีโรงพยาบาล มีหมอแผนปัจจุบัน มีหมอที่มีความรู้มากๆ มีเครื่องเอกซเรย์  มียาฉีด  มียากิน ดีกว่ายาหม้อ ยาเมือง ที่เรารักษากันตามหมู่บ้าน  มันดูน่าศรัทธากว่าเยอะ  แล้วทำไมหมอพินิจ จึงเกิดความคิดว่า มันดีจริงเหรอ ผมไม่แน่ใจ เพราะว่าแต่เดิม วิถีชีวิตที่เราอยู่ แบบพึ่งพาตนเองนี่  มันก็มี  ถูกไหมครับ

โรคบางอย่าง รักษาก็หาย  ไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างรักษาก็ตาย  ไม่รักษาก็ตาย ใช่ไหม มันมีสองสามอย่างที่ว่า  รักษาหาย ไม่รักษาไม่หาย กลับกันคือ ไม่รักษาแล้วมันหาย แต่รักษาไปแล้ว เลยไม่หาย คือทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้ ถูกไหม

ยกตัวอย่าง  โรคหวัดง่ายๆ นี่หายเองได้ไหม ไม่รักษาแล้วหายไหม ไปหาหมอ  หมอวินิจฉัยผิด  ฉีดยาช็อคตายได้ไหม อย่างนี้เข้าข่ายว่า ไม่รักษาหาย  รักษาตาย ผมสมมุติ เรื่องใกล้ตัวที่สุดเลย จะยกตัวอย่าง การเกิด การตาย เอาการเกิดก่อน มันเป็นธรรมชาติหรือเปล่า สิงห์สาราสัตว์นี่ มันเกิดกันเองถูกไหมครับ มันมีหมอตำแยหรือเปล่า    

มนุษย์นี่ดี อยู่เป็นสัตว์สังคม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สมัยก่อน คนที่ทำหน้าที่ ช่วยคนอื่นคลอด จนมีความชำนาญ มักจะเป็นผู้หญิง เขาเรียกว่า หมอตำแย ทางเหนือเรียกว่า แม่จ้าง พวกนี้ถือว่า เรียนรู้จากรุ่นก่อนๆ บรรพบุรุษ สั่งสอนกันมา แล้วก็ประสบการณ์ ของตัวเองว่า วิธีช่วยคลอด ต้องช่วยอย่างนี้ ดูแลแม่ตอนคลอด ตัดสายสะดือ เป็นอย่างนี้ ดูแลทารก ต้องูอย่างนี้

ผมเองนี่ก็เกิด โดยหมอตำแยเหมือนกัน ที่เขาเรียกว่า ผดุงครรภ์ ไม่ได้เกิดโดย สูติแพทย์ คือคนพวกนี้ ไม่ได้เป็น หมอตำแย แบบชาวบ้าน ธรรมดาแล้ว   เป็นคนที่ไปเรียน วิชาการพยาบาล มานิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่อง การช่วยคลอด เราเรียกว่า ผดุงครรภ์ ไม่เหมือนพยาบาลเดี๋ยวนี้น่ะ พยาบาลเดี๋ยวนี้ ต้องเรียนกัน จนได้ปริญญามา แล้วก็ไปช่วยหมอทำงาน ถ้าใครไปช่วยทำคลอด ก็อาจจะเรียกว่า ผดุงครรภ์ได้ จนแตกไปเป็น สาขาอีกสาขาหนึ่ง

มีผดุงครรภ์ ก็ดีขึ้นมาหน่อยเนอะ มีหมออีกดีกว่า  มีหมอสูติแพทย์ มาทำคลอดให้ แต่เดี๋ยวนี้ในเมืองนี่ เกิดกับ สูติแพทย์ กันทั้งนั้น  มองลึกๆ ดีหรือไม่ดี ชักน่าคิดอีกแล้ว ว่าแต่ก่อนนี้ เคยเกิดโดยหมอตำแย การคลอดแล้ว ตายทั้งกลม แบบแม่นาคพระโขนงนี่ มีน้อยมากๆเลย ถ้ามีก็กลายเป็นแม่นาคคนที่สองแล้ว จริงไหมครับ อย่างแม่นาคนี่ ตายกันทีเดียว กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตกัน   กลายเป็นตำนานกัน ลือกันเป็นผีแม่นาคพระโขนง กรณีแบบนี้มันน้อย สมัยนี้เกิดโดย หมอแผนปัจจุบัน เขาว่าปลอดภัยกว่าหมอตำแย อันนี้ก็ไม่มีใครเถียง พูดถึงว่าเขาเรียนมาสูงๆ มันต้องน้อยกว่าแน่ แต่หมอสูติฯ สมัยนี้แน่ใจนักเหรอ  โดยเฉพาะ เมื่อมีเทคนิค การคลอดใหม่ๆ เช่น คลอดด้วยคีม คลอดด้วยเครื่องดูด และคลอดด้วย การผ่าตัดหน้าท้อง

เอ๊ะ สิ่งเหล่านี้ชักไม่ค่อยสวยแล้วน่ะ สิ่งเหล่านี้มนุษย์คิดค้นขึ้นมา เพื่อจะช่วย ให้เอาเด็กที่มันออกไม่ได้ เอาออกมาให้ได้ หรือออกมาช้า ก็ช่วยเร่ง ให้มันออกมาเร็วๆหน่อย เช่นว่า เด็กที่แม่ไม่มีแรงเบ่งแล้วน่ะ หรือ ว่าเด็กที่ขาดออกซิเจน ท่าทางจะบ่ค่อยดีแล้ว อันนี้ต้องเร่ง ออกมาให้เร็วหน่อย อาจเป็นอันตราย  เขาถึงกำหนดว่า ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้นี่ มันจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ มีสภาวะอย่างนี้ๆแล้ว ต้องใช้วิธีนี้

แต่สมัยนี้คิดกลับกันน่ะ ค่าดูดที ค่าผ่าตัด หมอได้เท่าใด  โรงพยาบาลคิด เท่าใด  สิ่งเหล่านี้ ชักจะเพี้ยนเข้าไปแล้ว อย่างนี้ไม่รู้ว่าที่ทำน่ะ เพื่อใครกันแน่  เพื่อผู้ป่วย เพื่อหมอ หรือเพื่อโรงพยาบาล มันทำให้ผม ชักจะคิดไม่ดี กับหมู่ๆ ตัวเองแล้ว เพราะผมก็หมอแผนปัจจุบัน ชักจะคิดไม่ค่อยดีว่า เฮ้ย ! มันถูกหรือเปล่า ตัวเลขอันหนึ่ง บอกว่า ปกติแล้ว การคลอดโดยการผ่าตัด ออกทางหน้าท้องนี่ ทั่วโลก ร้อยหนี่งมีไม่เกิน ๑๗ ราย  ที่จำเป็นต้องผ่า  แต่โรงพยาบาลบาง แห่งร้อยละ ๗๐ ผ่าออกทางหน้าท้อง แล้วข้ออ้าง ส่วนมากที่บอก ก็คือว่า คนไข้ต้องการ ฤกษ์เกิดของเด็ก เวลาตกฟาก ต้องเอาหกโมงเช้าเป๊ะ วันพุธ วันจันทร์ เลือกวันกันมา หมอก็อ้างว่า คนไข้ ต้องการอย่างนี้

บางท่านก็ไปโฆษณาว่า คนไข้กลัวคลอดทางธรรมชาติ เดี๋ยวช่องคลอดมันจะพิการ  สู้ผ่าตัดทางหน้าท้องดีกว่า สามีถึงรัก สามีถึงหลง นี่ไป โฆษณาผิด  อันที่จริง ผ่าตัดทางหน้าท้องนี่ มีแผลทางหน้าท้อง เจ็บผนังหน้าท้อง มีแผลที่มดลูก มดลูกเข้าอู่เร็วหรือช้า? ก็ช้า  จะเข้าเร็วได้อย่างไร ในเมื่อมันมีแผล มดลูกจะเข้าอู่ เมื่อมันคลอดเด็ก คลอดรกออกมาแล้ว มันจะต้องหดตัวลงมาค่อยๆ หดตัวลงมา ทีละน้อยๆ ไม่เกินหกอาทิตย์ จะเข้าอู่เรียบร้อย กลับมาก็เหลือเท่าเก่า เท่ากำปั้น จากขนาดใหญ่เท่าแตงโม มันก็หดของมันตามธรรมชาติ  แต่อยู่ๆ เอามีดไปกรีด มันนี้  มันหดได้หรือเปล่า มันไม่มีแรงหด  เพราะฉะนั้น มดลูกเข้าอู่ช้า ผนังหน้าท้องนี่ มีเส้นประสาท มีกล้ามเนื้อ เอามีดไปกรีดมัน  มันก็หย่อนใช่ไหม  ซ้ำหย่อนกว่าคนที่ปล่อยให้คลอดเองทางธรรมชาติอีก เข้าใจไหมครับ เพราะฉะนั้น ที่ไปโฆษณา  ผมว่าหลอกลวงมากกว่า การผ่าตัดนั้น ทำให้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ผิดธรรมชาติ รูปร่าง สังขารสวยงาม สู้คลอดเองแบบธรรมชาติไม่ได้แน่ อันนี้ไม่มีการพูดกัน เพราะฉะนั้น ผมว่าถ้าเราเข้าใจ เอ๊ะ ที่มาที่ไป มันชักจะไม่ชอบกล ก็เรียกว่า เราก็เริ่มเห็นข้อเสียแล้ว ของการใช้การแพทย์ แบบพร่ำเพรื่อ ใช้แบบสุดลิ่ม ทิ่มประตู เชื่อเขาว่า เขาเอาของดีมา ของวิเศษมา แต่ลืมมองข้อเสีย เอาเทคโนโลยีเข้ามา เอาความรู้เข้ามา แต่ขาด จิตวิญญาณ ที่จะไปรับผิดชอบ หรือไปใช้ให้มันเกิด ประโยชน์เต็มที่ เอามาใช้ทิ้งๆขว้างๆ

เครื่องคอมพิวเตอร์นี่น่ะครับ ผมเคยไปดูงานที่อังกฤษ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เมืองที่ผมไปดู มีสองที่คือ  ที่ลอนดอน กับ นิวคาสเซิล นิวคาสเซิลอยู่ทางเหนือ เหมือนเชียงใหม่ ส่วนลอนดอน เหมือนกรุงเทพฯ ที่ทางเหนือ มีสองเครื่องเลย  นี่พอเมืองไทย มาเจอเชียงใหม่ หกเครื่อง นู่นมันผลิตเอาไว้ใช้เอง สองเครื่องในนิวคาสเซิล นี่เชียงใหม่ไปซื้อเขามา หกเครื่อง เสร็จแล้วทำยังไง

ของเขาเวลาจะส่งตรวจนี่ หมอทั่วไปส่งไม่ได้ ถ้าจะตรวจสมอง ต้องให้หมอสมองเป็นคนส่ง พอหมอสมองส่งแล้ว หมอเอกซ์เรย์ ต้องดูอีกที แล้วเซ็นต์กำกับสองชื่อ หมอสมองกับหมอเอกซ์เรย์ เซ็นต์ร่วมกัน ถึงทำได้ ของเราเหรอ เร่เข้าเช็คร่างกาย คอมพิวเตอร์ ขอเชิญคุณหมอ ส่งคนไข้ เข้ามาตรวจร่างกายคอมพิวเตอร์ ค่าเปอร์เซ็นต์ ไปสิบเปอร์เซ็นต์แล้วค่าส่ง เขามีค่าน้ำ เขาเรียกค่าน้ำชา อะไรก็ไม่ทราบ ตอบแทนส่งไปตรวจสี่พัน ๑๐% ก็สี่ร้อย ส่งสัญญาณมาให้หมอ  เอ๊ะ อย่างนี้ถึงหาลูกค้ามาป้อนเครื่อง  ของอังกฤษเขาเป็นคนคิดเครื่อง แต่เขากลับใช้เครื่อง ให้คุ้มที่สุด ถูกไหม แต่ของเรา ซื้อเครื่องเขามา แล้วมาทำธุรกิจ แข็งขันกัน เมื่อแข็งขันกัน ตลาดมีอยู่แค่นี้ เครื่องมัน มากเกิน ตั้งหกเครื่อง ถ้าขืนรอ ผู้ป่วยที่มาเซ็นตั้งสองชื่อสามชื่อล่ะก็ อยู่ไม่ได้  วิธีเดียวก็คือ ต้อนเอา พวกนี้ไปตรวจ  ต้อนเลย เสร็จแล้วก็มาโฆษณา ประชาสัมพันธ์  หรือให้โบนัสของกำนัลหมอ เพราะเขาส่งเรามาตรวจ

นี่เราใช้เทคโนโลยีผิดๆ ผลที่ตามมาคืออะไร ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ เพื่อดูแลสุขภาพคน ประชาชนคนไทย สมัยผมจบ มันหลักพันล้าน ผมจบเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ไม่กี่พันล้าน แล้วก็เริ่มไต่ขึ้นๆเป็นหลักหมื่นล้าน ผมจำได้ พอหลักหมื่นกว่าล้าน ก็ตาโตแล้ว เดี๋ยวก็กลายเป็น สองหมื่นล้าน สามหมื่นล้าน เดี๋ยวนี้ไม่พูดกันเป็นหมื่นแล้ว ตัวแลขเมื่อพ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว สามแสนล้านบาทครับ ใช้จ่ายเรื่อง สุขภาพ มันบ้าหรือดี จากพันล้าน กลายเป็น สามแสนล้าน

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ที่เขาประมวลทั้งหมด นี่คือค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ที่เขาสั่งมาจากเมืองนอก ค่าใช้จ่ายทั้งหมด สามแสนล้าน ก็จากภาษีราษฎรที่ ต้องควักไปเองซื้อไปเองนี่แหละ  สรุปแล้ว เป็นค่าใช้จ่าย ที่เขาประเมินแล้ว สามแสนล้านต่อปี มากทีเดียวๆ  แทนที่จะเอาไปซื้อข้าว ซื้อปลากิน กลายเป็นว่า ต้องมาจ่าย เป็นค่าเอกซ์เรย์  ค่ายา  ค่าเข็ม  ค่ามีด  ค่าหมออื่นๆมาก และที่สำคัญ คืออะไร สมัยก่อนนี้ สักห้าสิบหกสิบปีก่อน อย่างคุณตานี่เป็นไข้ ไปหาหมอ เป็นไข้เจ็บคอ  อ้าปาก  ฝนๆ อ้าปาก  เอานิ้วป้าย รับรอง รวดเดียว เท่านั้นแหละ กลับบ้านแล้ว อยู่กันได้อย่างไร อยู่มาได้ด้วยหัวนิ้วโป้งแท้ๆ สมัยนี้ไปถึงน่ะ ฉีดยากินยา ฉีดนู่น ฉีดนี่ เอกซ์เรย์นู่น เอกซ์เรย์นี่

เมื่อก่อนมีเด็กคนหนึ่ง ผมเขียนในหนังสือหมอปากหมา เขาเป็นไข้หวัดเข้าโรงพยาบาล ใช้กระบอกฉีดยาพาสติก ร้อยกว่าอัน ไปอยู่ห้าหกวัน หมดหลอดยาไปร้อยกว่าอัน เชื่อไหมครับ ผมเคยอยู่ โรงพยาบาลเอกชน แห่งหนึ่ง กระบอกฉีดยาตอนนั้น เป็นกระบอกแก้ว แต่เข็มเหล็ก  ผมเห็นเจ้าของโรงพยาบาล สั่งให้พนักงาน เอาเข็มมา นั่งฝนเลย เวลามันทื่อ  กระบอกแก้วนี่ ถ้ามันไม่ร้าวไม่แตก ก็ไม่ทิ้งเลย   ใช้แล้วใช้อีก   เข็มอันหนึ่ง สงสัยใช้เป็น เดือน

สมัยนี้ไปดูเถอะ เดี๋ยวแกะแผล็บๆ และกระบอกฉีดยาที่เป็นพลาสติกนี่น่ะ อันหนึ่งประมาณ สามบาท ห้าบาท เด็กคนนี้ เข้าโรงพยาบาล ครั้งเดียว ใช้ไปร้อยกว่าอัน ไปดูว่ามันเรื่องอะไร  อ๋อ  หมอสั่งยาลดน้ำมูก ยาแก้ไข้ ยาปฏิชีวนะ(หรือรู้จักกันง่ายว่า ยาแก้อักเสบ) ยาแก้เจ็บคอ แล้วก็ยาแก้ไอ สี่ขนาน สี่ขนาด มื้อหนี่งป้อนเด็กสี่ขนาน  ครบทุกหกชั่วโมง พยาบาลก็หยิบถ้วยยา มาสี่ถ้วย หยิบยาน้ำมาใส่ถ้วยยา ยาแก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัดมา ใส่มาสี่ถ้วย เสร็จแล้วก็แกะ syringe มา ๔ อัน เพราะฉะนั้น แต่ล่ะถ้วยต้องมี syringe อันหนึ่ง  

ไอโซ่ (ISO) บอกว่าเพื่อความสะอาด ISO หรือว่า I โง่ ก็ไม่รู้น่ะ แปลไปแปลมา แล้วแต่จะแปล คือว่า  กูโง่นั้นแหล่ะ โง่กว่าฝรั่ง โดนมันหลอก ฉีก syringe ใส่ไป มื้อหนึ่งก็ใช้ กระบอกฉีดยา ดูดยาขึ้นมา ป้อนใส่ปากเด็ก  เอ้านี้ยาแก้ไข้ กระบอกนี้ นี่ยาแก้ไอกระบอกนี้  ยาแก้อักเสบ กระบอกนี้ ยาลดน้ำมูกกระบอกนี้ มื้อหนึ่งสี่กระบอก วันหนึ่ง ใช้กี่กระบอก ยังไม่รวมกระบอกฉีดยาอีกน่ะ อย่างนี้อาทิตย์หนึ่ง ถึงได้ใช้ เป็นร้อยอัน  บ้านผมเลี้ยงลูกสามคน ใช้กระบอกฉีดยาอันเดียว ใช้ได้ปีหนึ่งมั้ง ใช้เสร็จล้างน้ำ ก็เอามาใช้ต่อได้

มันไม่ใช่แผนการ ของหมอสมัยใหญ่หรอก มันเป็นค่านิยมสมัยใหม่ แล้วก็ความที่ ขาดสามัญสำนึก ของคน แต่ละคน แล้วเวลากิน ช้อนก๋วยเตี๋ยว ตามร้านก๋วยเตี๋ยวช้อนเดียว มันใช้กี่ปาก อย่างนี้ไม่ต้อง มานั่งเปลี่ยนช้อนกัน ตลอดหรือ ไม่ต้องพกช้อน ไปคนละอันเลยหรือ มื้อหนึ่งใช้กระบอกฉีดยาสี่อัน มันพร่ำเพรือเกินไป ก็ต้องเขียนด่า ในหนังสือหมอปากหมา

สามแสนล้านมันเกิดขึ้นเพราะอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ผมก็ทำโครงการ คลีนิกหมอสามบาท  โครงการนี้ก็คือ ตอบปัญหาสุขภาพ และการตอบ ปัญหาสุขภาพ ทางวิทยุนี่ มันเป็นสีสัน ล่อให้มาฟังเหมือนกับล่อพ่อแม่ พี่น้อง มาฟังกันในวันนี้ ฟังผมพูดนี่ฟังเอาสนุก แต่จะมีสาระ ที่ส่อเจตนาดีแทรก ถ้ามองออก วันนี้ก็คือว่า ล้างสมอง ผมจะให้วัคซีนปัญญาวันนี้ ผมจะเปลี่ยนความเชื่อ ของพ่อ แม่ พี่ น้อง ที่มานั่งกันวันนี้ แต่ถ้าบอกว่า วันนี้หมอพินิจ จะมาเปลี่ยนความเชื่อประชาชน วันนี้เห็นจะหา คนฟังไม่ได้  ยกเว้น ท่านสมณะ

พ่อ  แม่ พี่ น้องต้องการอะไรที่มันสัมผัสง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ถ้าบอกวันนี้มา ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ มาตรวจรักษา สุขภาพฟรี มาบรรยาย เรื่องสุขภาพให้พ่อ แม่ พี่ น้องมีสุขภาพแข็งแรง  อย่างนี้จะมากันเยอะ แต่ถ้าบอกว่า วันนี้จะมาเปลี่ยนทัศนะ ทางด้าน สุขภาพ รับรอง แค่ชื่อเริ่อง มันก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องกันอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น การออกรายการวิทยุตอบปัญหาสุขภาพ ก็เป็นเพียงสีสันที่จะเรียกให้คนเข้ามาฟัง แต่เวลา ตอบปัญหานั้น ต้องชี้แจง อธิบาย ให้ละเอียด ปวดหัวอย่างนี้ หมอคิด ถึงอะไรบ้าง คิดถึงไมเกรนเหรอ ไมเกรน เป็นอย่างไร คิดถึงไซนัสอักเสบ เป็นอย่างไร  คิดถึงอย่างนี้ๆ อีกหน่อย พอฟังบ่อยๆ เข้านานๆชำนาญไปเอง  จะเรียนรู้ไป โดยชำนาญ

แต่สิ่งที่เน้นเป็นปัจจุบัน แล้วก็ทำมา ก็คือ จะเน้นเรื่อง ๓ อย่าง
๑. อย่าใช้ยามาก
๒. อย่าฉีดยามาก หรือ ไม่ฉีดยาได้ยิ่งดี
๓. ไปหาหมอเท่าที่จำเป็น

พวกที่ไปหหมอโดยไม่จำเป็น เราเรียกพวกบ้าหาหมอ ก็เลยตั้งเป็นสามอย่าง เป็นสโลแกนว่า  "อย่าใช้ยามาก อย่าอยากฉีดยา อย่าบ้าหาหมอ" เป็นไรนิด เป็นไรหน่อย ไปหาหมอ เดินโหม่งเสาโป้งเดียว หัวโนนิดหน่อย แตกก็ไม่แตก สลบก็ไม่สลบ หาหมอแล้ว สมัยก่อนเดินโหม่งเสาบ้าน หัวโน ก็เอามือคลึง เอาดินสอพอง ฝนกับน้ำมะกรูดมาคลึง ใช่ไหมครับ  เราประเมินตัวเองถูกใช่ไหม ว่าอย่างนี้มันไม่ร้ายแรง แล้วแมวข่วน แค่ถลอกน้อยเดียว เลือดก็ไม่ซึม จะไปหาหมอหรือ มันไม่น่าจะมีอะไรใช่ไหม แมวข่วนไม่ใช่แมวกัด ถูกไหมครับ แล้วไม่ใช่หมากัด มันไม่ใช่หมาข้างถนน นี่แค่แมวข่วน ก็วิ่งหาหมอ ฉีดวัคซีนเสียแล้ว นี่แหละคือความกลัว และความไม่รู้ ทำให้คนเรา วิ่งหาหมอมาก โดยไม่จำเป็น ถูกสอนให้เอะอะ ก็หาหมอ ไม่รู้จักพึ่งตนเองเลย วันก่อนมีคนไข้เด็กมา หมอถามว่า เป็นอะไรมา เด็กบอกเจ็บข้อเท้า เท้าพลิกเมื่อสามวันก่อน แต่ยังเดินได้เป็นปกติ พอถามว่า มีอาการอย่างอื่นอีกหรือเปล่า ปรากฏว่า ไม่ปวด ไม่บวม ไม่มีแผล ไม่เขียว เลยถามว่า แล้วมาทำไม เด็กบอก ยังเจ็บอยู่กลัวเอ็นฉีก

โอ้โห ! เดินเท้าพลิกหน่อยเดียว ถ้าเราเล่น ฟุตบอลตกหลุม  เท้าพลิกแรงๆ แล้วบวมเขียวขึ้นมา ค่อยคิดว่าเอ็นฉีก กระดูกหัก  กระดูกเคลื่อน สมควรจะไปเอกซ์เรย์ ไปหาหมอ ไอ้นี่เท้าพลิกหน่อยเดียว เจ็บมาหน่อยก็หาหมอแล้ว หาหมอแล้วมันเสียตรงไหน ? ใช่ ! เสียเงิน เสียเงินนี่ ชัดเจนอยู่แล้ว อันดับแรกเสียเงิน ไปหาหมอโอกาสได้ฟรีมันน้อย เพราะหมอไม่มีอาชีพอื่น  ใช่ไหม หมอมีอาชีพ ยัดโรคให้คน แล้วจ่ายยาไป แล้วคิดเงิน จบ อาชีพหมอ ตรงไปตรงมามาก คุณเดินมา เอาโรคไป เอายาไป  เอาเงินมา จบ นี่คืออาชีพใช่ไหม ไม่ใช่เดินเข้ามา แล้วก็กลับไป แล้วไม่ได้ยา แล้วอย่างนี้ จะเป็นอาชีพได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น หมอต้องทำให้มันป่วย นี่คือข้อเสียแล้ว นอกจากเสียเงินแล้ว พอเจ็บแล้ว  อ้อมีกระดูกเคล็ดนิดหน่อย ก็ท่าจะฉีกซะมั้ง ต้องเอาไปเอกซ์เรย์ซะ เสียค่าเอกซ์เรย์ด้วยใช่ไหม  อ้าวฉีดยาหน่อยนะ เอ้าๆฉีด  ยาแก้อักเสบ เอายาไปกินสองสามซอง คนเรานี่จ่ายสตางค์ คิดตามซองยานะ ค่านิยมเก่าๆนี้ เอ้าสามซอง หนึ่งร้อยยี่สิบบาท บอกว่าแพงนะ พอห้าซอง หนึ่งร้อยยี่สิบบาท กลับว่าถูกว่ะ

  คิดกันอย่างนี้มันผิด  ยาก็คือสารเคมี ผมจะบอกให้ ยาไม่ว่าจะแผนปัจจุบัน หรือว่าแผนโบราณ ก็ขึ้นชื่อว่า เป็นสารเคมี ยาใกล้ตัว ที่ถูกที่สุด ก็คือสมุนไพรในบ้าน มะนาวนี่เป็นยาไหม  มะกรูดนี่เป็นยาไหม ตะไคร้เป็นไหม ข่าเป็นไหม  น้ำตาล  บรเพ็ด  กระเทียมเป็นไหม แต่ละอย่างนี้ มีรสชาดของมันไหม เอามะนาวบีบลงน้ำเปล่า เปรี้ยวนะ เปลี่ยนจากมะนาวเป็นน้ำตาล หวานไหม? หวาน เอาทุกอย่างรวมกัน เป็นต้มยำ จริงไหม มีรสแท้ๆ ของมันไหม มันตีกัน เคมีมันตีกัน มันเปลี่ยนสรรพคุณ ถูกไหม เอาน้ำตาล น้ำมะนาว ขิงข่า ตะไคร้รวมกัน เข้าไป เลยหารสมันไม่เจอ  มันตีกัน แล้วยาที่เรากินไป หกเม็ดเจ็ดเม็ดในหนึ่งมื้อนี่ เรากินตอนที่มันแยกเม็ด กระเพาะ มันแยกไหม ว่าข้างหนึ่งสีเหลือง อีกข้างเม็ดสีแดง สีเหลืองไปก่อน สีแดงตามไป สีชมพูตามไปทีหลัง

มันก็จะถูกน้ำย่อยสลายละลายยาออกมา ผสมเป็นเนื้อเดียว คราวนี้มันตีกันอุดลุตเลย  แล้วคราวนี้ สรรพคุณ มันไม่เหมือนเดิม ยาบางตัวผสมกัน บางอย่างเกิดพิษนะ  เข้าใจไหมครับ  ของบางอย่างเกินมาหน่อยหนึ่งก็ไม่ได้ ขาดไปตัวหนึ่ง ก็ไม่ได้ เอาเคมีขึ้นมาว่ากัน สักหน่อยหนึ่ง ไม่หนักหนาสาหัสหรอกครับ แก๊สที่เราหายใจ ออกมานี่  แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มันมีตัว C กับตัว O อีกสองตัว คาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) ตัดออกซิเจน ไปตัวหนึ่ง  ให้เหลือตัวเดียว เป็น C กับ O จาก C ตัวหนึ่งกับ O สองตัว ถูกแยกไปตัวหนึ่งเหลือ  C กับ O เขาเปลี่ยนใหม่ เขาเรียกว่า แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (carbon monoxide) สูดเข้าไปแล้ว ตายทันที ใช่ไหมครับ

ออกซิเจนที่เราสูดดม มีออกซิเจนสองตัว เติมเข้าไปอีกตัวหนึ่ง  เขาเรียกว่าโอโซน (ozone) สูดเข้าไปตายทันที  ที่เราพูดว่าไปสูด โอโซน ๆ นั้นสูดจริงไม่ได้หรอก ขืนไปดมโอโซนแท้ๆ ดิ้นกระแด่วๆ ตรงนั้นล่ะ เรื่องเคมีนี้ สำคัญนะครับ  ขาดมาหรือเกินไป ทำให้สรรพคุณ ไม่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น บางคนนี่ชอบกินยา ชอบได้ยา หลายๆซอง ถ้าได้ซองเดียว ต้องถามแล้ว  "หมอทำไม่จ่ายซองเดียว สามซองไม่ได้หรือ" หมอก็ต้องคิดผสมสูตร ส่งมาให้เรา  ที่นี้หมอแน่ใจหรือว่า รู้เคมีรอบคอบ รู้ไม่รอบ ใครมียาอยู่ หยิบซองยาขึ้นมา แต่ล่ะคนเลย แล้วผมจะชี้ ให้ดูว่า ยาของแต่ละคน เป็นอย่างไร สรรพคุณมันเป็นอย่างไร ถ้าพกยามาคนละซองสองซอง ผมจะชี้ให้ดู ตีกันอุตลุต ถ้ามีเวลามาก ผมจะชี้ให้ดู เป็นรายการเลยว่า ถ้าคนไข้ไอมา หมอเขาจัดยาอะไรให้บ้าง แล้วยามัน ตีกันตัวไหน ปวดหลังมา หมอเขาจัด ยาอย่างไหน แล้วตีกันตัวไหน เวียนหัวมา หมอเขาชอบจัดยาอะไร พ่อ แม่ พี่  น้อง ก็รู้จัก ปวดท้องเขาจัดยายังไง แล้วมันตีกันอย่างไร ผมจะบอกเหตุผลก็ได้ แต่ถ้าใครไม่มีเวลา ไปอ่านหนังสือ หมอปากหมา มีบอกไว้หลายขนาน ที่จะบอกว่า ตีกันอย่างไร

ยาแก้ปวดโรคกระเพาะ กระเพาะมันปวดเพราะอะไร มันถามไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ปวดกระเพาะ ปวดกระเพาะ ก็เอายาแก้ปวด ยาแก้ปวดออกฤทธิ์อย่างไร ยาแก้ปวดที่ใช้แก้ปวดท้องกันส่วนมาก เขาเรียกว่ากลุ่ม antispasmodic (ระงับการหดเกร็ง)  คือลดการบีบตัว ของลำไส้ ถ้าลำไส้มันบีบ ตัวอื๊ดๆ พอกินปั๊บ จะหยุดหายปวดท้องเลย เขาเรียก ลดการบีบตัวของสำไสั แต่ปัญหาคือว่า ถ้าเกิดการปวดท้อง ที่ไม่ได้เกิดจากการบีบตัวของลำไส้ มันจะได้ผลหหรือ?   ก็ไม่ได้ ถ้าปวดท้องจากท้องอืดนี่ ลำไส้มันไม่ทำงาน กระเพาะคราก ลำไส้คราก กินกาแฟมากไป   กินชามากไป ลำไส้ไม่บีบตัว อืดขึ้น  ปวดท้องมาก็ไปหาหมอ   หมอให้ยาฉีดเข้าไปอีก มันจะหายไม่ปวดท้อง ถ้าท้องเสียปู๊ดๆ ลำไส้มันบีบตัว ฉีดปั๊บมันช่วยบรรเทาปวด มันหายปวด เห็นไหมครับ นี่ยังไม่พอนะ

๑.ปวดท้องจากอะไรต้องคิดก่อน ถ้าหมอไม่คิดนี้ เอะอะอะไรก็ฉีดยาแก้ปวดท้อง กินยาแก้ปวดท้อง ให้ผิดประเภท

๒.คราวนี้ลำไส้บีบตัวแท้ๆเลย แรงๆเลย ทำไมมันต้องทำอย่างนั้น ถามตัวเองบ้างหรือเปล่า อยู่ดีๆ มันจะไป บีบตัวแรงๆ จนเราปวดท้องหรือ  ยกตัวอย่าง เกิดมีพยาธิไปอุดลำไส้ หรือ อุจจาระไปอุดลำไส้อยู่ แล้วไม่ให้มัน บีบแรงๆ แล้วมันจะออกได้อย่างไร ถูกไหม หรือว่ามีพังผืด ไปรัดลำไส้ อุจจาระไปไม่ได้ ร่างกายก็พยายาม จะดันออกไปให้ได้ อุจจาระนี้อยาก เก็บไว้นานๆหรือเปล่า? ธรรมชาติก็ไม่อยากเก็บมันไว้ มันก็พยายามบีบสู้กัน มันจะออกแต่ไปรัดมันอยู่ นักวิทยาศาสตร์แก้กันที่ไหน ถ้าจะแก้ภาวะนี้ ไม่ให้ปวดท้อง แก้กันที่ไหน ไม่ใช่สวนทวาร แก้ตรงที่ อะไรไปอุดมัน ไปขวางมันสิ ไปแก้ที่ต้นเหตุ ว่าอะไรไปขวางมันสิ อุจจาระไปขวางมัน มีพังผืดไปหนีบมัน แก้ตรงต้นเหตุ ถ้าให้ยาแก้ปวดท้อง ให้ยาลดการบีบตัวมัน นอกจากไม่ได้แก้ต้นเหตุแล้ว ยังไปขัดขวาง การทำงาน ตามธรรมชาติของลำไส้ ถูกไหม ธรรมชาติเขาจะบีบเอาออก แล้วไปบอกไม่ต้อง แล้วทีนี้ขี้ไม่ถูกขับออก ก็เกิดพิษ เกิดอะไรก็ต่างๆ

คนไข้ปวดท้อง เป็นไส้ติ่งอักเสบ หมอไม่รู้ ให้ยาแก้ปวด หายปวดสบาย กลับไปบ้านซัดก๋วยเตี๋ยว ไส้ติ่งแตกตายได้ ต้องหาสาเหตุ

ในชีวิตผม แต่ละปีๆใช้ยาแก้ปวดท้องไม่กี่อย่าง ไม่กี่ครั้ง ในร้านไม่มียาแก้ปวดท้อง  เพราะไม่รู้จะใช้อย่างไร พอจะใช้ ต้องคิดแล้วว่า มันให้อะไร ยาอย่างนี้ให้อะไร ปวดท้องเพราะลำไส้บีบ เอ๊ะ เกิดจากอะไร บีบจากอะไร อันนั้นต่างหาก ที่ต้องไปแก้ เห็นไหมครับ เพราะฉะนั้น การใช้ยามาก ใช้ยาไม่ถูกต้องนี่ เกิดเรื่อง

อันที่สอง ชอบฉีดยากัน ฉีดกันไปทำไมมากมาย ยาฉีดมันแพงดี ยาฉีดดี  ดีๆแพงๆ เคยคิดกันหรือเปล่า เคยคิด กันบ้างไหมว่า คำพูดอย่างนี้ มันพูดกัน เมื่อห้าสิบปีกันที่แล้ว ก็อาจจะจริง สมัยนี้เทคโนโลยีวิทยาการ มันเจริญ ก้าวหน้า ขนาดเอาเหล็กลอยเทงเต้ง อยู่เป็นปีๆ ยังทำได้ เอาจรวดวิ่งไปดวงจันทร์ ดาวอังคารได้หมด เครื่องบินโบอิ้ง ใหญ่กว่าตึกอีก  แล้วทำยาอันตราย ยาฉีด ให้เป็นยากินที่ปลอดภัยไม่ได้เหรอ

ฝรั่งเขากลัวที่สุดคือ ความไม่ปลอดภัย การฉีดยานี่มันเจ็บ ฝรั่งไม่ชอบ มีใครชอบฉีดยา  ถามเด็กดูเห็นไหม  กินยาสบายกว่าเยอะ เขาเลี่ยงยาฉีดที่สุด หนึ่งเจ็บ สองอันตราย อาจจะฉีดพลาด ไปโดนเส้นประสาท เส้นเลือด แต่ที่อันตรายกว่านั้น ถ้าเกิดแพ้แล้ว เอาออกไม่ได้ คุณใส่เข้าไปแล้ว คุณชักออกได้ไหม  เฮ้ย เปลี่ยนใจว่ะ แพ้แล้ว เอาออก แต่ถ้ากินนี่รู้ว่าแพ้ ล้างท้องให้อ้วก เอาออกมาได้ เพราะฉะนั้น ฝรั่งเขาถึงเปลี่ยน เขาเปลี่ยนไป หลายวิธี ประเทศด้อยพัฒนา ทั้งหลายยังหลงเชื่อ ในสรรพคุณของยาฉีด เพราะฉะนั้น ยาฉีดพื้นๆ เช่น ยาแก้ไข้ แก้หวัด ท้องเสียทั้งหลาย  ฝรั่งจึงไม่ทำออกมา ในรูปของยาฉีด ทำเป็นแบบกินหมด  แต่ยาฉีด ยังมีหลงเหลืออยู่ ผลิตโดย บังคลาเทศ โน่น การแพทย์เขาด้อยกว่าเราอีก ปากีสถานเขารู้ว่าเราต้องการ เข็มละสองบาท สามบาท เข็มหนึ่ง ไม่เกินสิบบาท พอเอามาฉีด เข็มละเจ็ดร้อยนู่น นี่คือเหตุผล ที่ยังมียาฉีด คือต้นทุนต่ำ แต่ชาวบ้านเขานิยมคิดว่าดี   หมอเลยคิดเงินแพงๆ หมอก็ชอบ ชาวบ้านก็ถูกใจ อยู่กันได้ อีกหน่อย ว้าแดงคงผลิต ถ้าเขาเลิกผลิตยาบ้าแล้ว เขาคงมาผลิตยาลดไข้ ลดน้ำมูกกัน ไม่ผิดกฏหมายด้วย  พอว้าแดงผลิตมาขาย คนในเมืองนี้ระวัง !

เพราะฉะนั้น เลิกเถอะ ค่านิยมชอบฉีดยากันนี่นะ มันไม่ดีหรอก อันตราย หมอที่ไหนเขาจะมาฉีดยา เอาต้นทุน ยาฉีดเข็มหนึ่ง เขาต้องฉีด ในโรงพยาบาล เข็มละสามพัน รับรองเอามาฉีดที่คลินิกไม่ไหว ไปดูตามคลินิกเถอะ รอบไหนเกินสิบบาท ให้มาด่าผม ต้นทุนถูกๆทั้งนั้น เข้าใจไหมครับ  เขาถึงฉีดให้เราได้ ลูกหมอเมียหมอเวลาป่วย จ้างให้ก็ไม่ฉีดยา ฉีดให้แต่ลูกชาวบ้าน ทั้งนั้นแหละ เพราะเขารู้ว่าไม่จำเป็น

ตรงนี้ชี้ประเด็นให้เห็นว่า การทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ดี "อย่าใช้ยามาก อย่าอยากฉีดยา อย่าบ้าหาหมอ"  พึ่งตัวเองเยอะๆ คนเรานี่ เวลาเจ็บไข้ ได้ป่วย ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆ เขาบอกว่าปี ๒๕๔๒ เมื่อสามปีที่แล้ว มีคนป่วยไปหาหมอ หนึ่งร้อยล้านครั้ง เฉลี่ยก็คือว่า ตัวเลขที่เท็จจริง นี่น่ะ คนเราธรรมดา เขาให้ไปหาหมอได้ปีละสองครั้ง คือป่วย ต้องไปหาหมอ หนึ่งร้อยล้านครั้ง คนไทยมีหกสิบล้านคน เพราะฉะนั้น ไปหาหมอ ก็ต้องหนึ่งร้อยยี่สิบล้านครั้ง ตัวเลขนี้จริง หนึ่งร้อยล้านครั้งนี้จริง หนึ่งร้อยล้านครั้งนี้น่ะ ถ้าเอามากระจาย เป็นรูปปกติแล้วน่ะ จะแบ่งออก เป็นสี่พวก ๑.ไม่ต้องหาหมอ ๒.ไม่ควรหาหมอ ๓.ควรหาหมอ ๔.ต้องหาหมอ จะเห็นหรือยังว่า หนึ่งในสี่เล็กๆ เองเท่านั้น ที่ต้องหาหมอ อีกสามในสี่ ไม่ต้อง

เมื่อไม่ต้องหาหมอ แล้วไปหาหมอนี่ มันเสียมากกว่าได้ หรือได้มากกว่าเสีย ? เสียมากกว่าได้ เสียเวลา เสียทรัพย์ แล้วถ้าเกิดว่า ถูกหมอทำนี่ จะเสียสุขภาพ เสียชีวิต เข้าใจไหมครับ ถ้ามีเวลาเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่า เสียๆๆๆนี้ เป็นอะไรบ้าง

ยกตัวอย่างให้ฟัง ผมชอบเรื่องคลอด การเกิดโดยธรรมชาตินั้น เด็กจะอยู่ ในท้องแม่ เขาว่ายน้ำอยู่ ไม่ได้หายใจ ทางปากทางจมูก กลั้นหายใจอยู่นะครับ ว่ายอยู่ในน้ำคร่ำ อาหารและอากาศ ผ่านสายสะดือและสายรก เพราะฉะนั้น หัวใจสี่ห้อง ใช้แค่สองห้องเท่านั้น ห้องอื่นยังไม่ได้ใช้ เพระว่ามันจะต้องไม่ผ่านปอด เลือดผ่านปอดไม่ได้ เพราะปอดยังไม่ขยาย ปอดเก็บเอาไว้ก่อน เฮือกแรกที่ผ่านปอด เมื่อไรที่สูดหายใจธรรมชาติ นั้นแหละปอดขยายปั้บ เลือดผ่านปอดครบ หัวใจใช้ครบทั้งสี่ห้อง เพราะฉะนั้น หัวใจมีทางด่วน เตรียมไว้สี่ห้อง แต่ใช้น้อยๆ เพียงแค่ สองห้องก่อน ยังไม่ใช้หมด ที่เหลือสำรองไว้ พอหายใจได้ด้วยตัวเองเมื่อไหร่ จึงใช้ครบ

เพราะฉะนั้น ระบบไหลเวียน ระบบหายใจ  ไม่เหมือนตอนที่เราโตๆกัน  แต่ทันทีที่เราออกสู่โลกภายนอก จะต้องเหมือนอย่างนี้เลย จะต้องสับรางกัน  ปิดทางด่วนนี้ เปิดทางด่วนนั้น ถ้าเป็นก๊อกน้ำ จะต้องโยกกันเลยนะ ปิดก๊อกเล็ก เปิดก๊อกนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาคลอด ธรรมชาตินี้ เขาจะมีเวลาเตรียมตัว มีใครบ้างปวดปุ๊บ หลุดปั๊บ ออกมาเลย มีไหม มันต้องปวดท้องตั้งนาน บิดแล้วบิดอีก ตอนที่เจ็บท้องนี้น่ะ มดลูกมันบีบตัว บีบๆๆคลึงเด็ก จัดท่าเด็ก ปากมดลูกก็ค่อยๆขยายออก ทีละน้อยๆ จนได้สิบเซ็น สิบเซ็นแล้ว เด็กถึงจะค่อยโผล่ออกมา แล้วก็ค่อยๆ โผล่ มุดออกมาทีละน้อยๆ แล้วก็บิดคลึงๆทีละน้อย เข้าๆ ออกๆ ออกๆเข้าๆ  อยู่ในท้องแม่ สามสิบเจ็ดองศาเซลเซียส อุณหภูมิคงที่ อุ่นสบายสม่ำเสมอ ไม่รู้ว่า แม่จะร้อนจะหนาว เด็กมันสามสิบเจ็ด ร่างกายเป็นธรรมชาติอย่างนี้ ทันทีที่ออกสู่โลกภายนอก อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงทันที  ยิ่งห้องคลอดสมัยนี้ติดแอร์ เด็กมันตกใจเลยน่ะ มันอยู่ สามสิบเจ็ด แล้วมาเจอ แปดองศา สิบองศา แล้วมันสะดุ้งเลย

แต่ถ้าเกิดโดยธรรมชาติมันผลุบโผล่ๆ มันมีเวลาตั้งหลัก โผล่หัวออกมาหน่อย "มันเย็นโว้ย" เขาก็เข้าไปใหม่น่ะ ชักเข้าชักออกได้ เฮ้ยเย็นโว้ย เฮ้ย ตั้งหลักก่อน ประเดี๋ยวกูเย็น หนาวแน่ ร่างกายมันเตรียมไว้แล้ว เตรียมสั่น เตรียมเกร็ง เตรียมสู้ไว้แล้ว ขณะที่ออกมา ช่องคลอดจะบีบทรวงอก ให้คลายเอาขยะ น้ำคร่ำ เศษขี้ เศษเยี่ยวออกมา ในปากนี้น่ะ ออกมาให้หมด ออกมาก่อนที่มันจะหายใจ ธรรมชาติสอนอย่างนี้ รีดมันออกมาก่อน แหวะออกมาก่อน แล้วถึงเฮือกแว้ออกมา

แต่ถ้าผ่าท้องเขาออกสิ แม่ดมยาสลบเรียบร้อย พยาบาลพร้อม  กรีดท้องแคว้กๆ คว้านๆ  ขาเด็กชูออกมาเลย ช้าไม่ได้ เลือดแม่มันออกอยู่ เอามีดกรีดควักๆ เอามือล้วง คว้าเด็กขึ้นมา ชักขาออกมาเลย  สดุ้งไหม มีเวลา ปรับตัวไหม อยู่ๆลากมัน ตั้งขึ้นมาอย่างนี้ หัวใจมัน สับรางทันหรือเปล่า เฮ้ย กูต้องหยุดหายใจสับรางก่อนแล้ว ยุ่งน่าเวลาปรับตัวก็ไม่ค่อยมี สั่นผับๆ ปัญหาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้คิดกัน จะเอาแต่ ฤกษ์เกิด กลัวฤกษ์เกิดไม่ดี ไม่คิด อันตรายต่อแม่  มดลูกเอย รกเอย รกเขาก็ค่อยๆ ลอกตามหลังเด็กออกมา  ไอ้นี่อะไร พอผ่าเด็ก ออกมาแล้ว  ควัก! อ่ะเย็บติดฉึบๆ  แล้วแผลเป็นล่ะ แผลเป็นเกิดพังผืดข้างใน อีกหน่อยก็รัดลำไส้ เพราะฉะนั้น จะทำอะไรต้องคิด ต้องใช้สติเยอะๆ

ถ้าไม่แน่ใจ จำไม่ได้ ก็ท่องไว้อย่างนี้ว่า  "อย่าใช้ยามาก  อย่าอยากฉีดยา อย่าบ้าหาหมอ" ไปหาหมอ ถามหมอ ให้รู้เรื่องก่อนว่า จะทำอะไรกับเราบ้าง  ว่าเป็นอะไร เป็นโรคอะไร บางคนไปหาหมอ เดินกลับมา ได้ยามา ก็เดินยิ้ม พอใครถามว่า ไปหาหมอน่ะเป็นอะไร ก็ตอบไม่ได้ ไม่รู้ ยาที่หมอให้มา มีอะไรบ้างก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า จ่ายเงินไป หนึ่งร้อยยี่สิบบาท รู้แค่นั้น (โปรดติดตามตอนจบในฉบับหน้า)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๖ มีนาคม ๒๕๔๕)