หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >สารอโศก

ไร้บุญนิยม สังคมอันตราย ...ป.ปรีดา [email protected]
ขโมยขึ้นบ้าน


อ่านคอลัมน์ไร้บุญนิยม สังคมอันตรายของ ป.ปรีดา ซึ่งเป็นประสบการณ์จริงของชีวิต ที่ลงเป็นประจำ ในหนังสือ สารอโศก แล้วรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ จำเป็นที่เราจะต้องรับรู้ไว้บ้าง ตราบใดที่เรา ยังต้อง อาศัยอยู่ ในสิ่งแวดล้อม อยู่กับสังคม ที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ดิฉันจึงขอตอบแทน ด้วยการเล่า ประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นจริง กับดิฉันบ้าง เพื่อจะได้ระมัดระวังตัว

ณ บ้านพักที่หมู่บ้านริมทะเล ๓ อ.เมือง ชลบุรี เป็นบ้านเดียวที่ติดกับที่ดินเปล่า หญ้ารกด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง ติดกับบ้าน ที่กำลังปลูก หน้าบ้านเป็นบ้านหลังใหญ่ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ครอบครัวของดิฉัน ซึ่งประกอบด้วย ดิฉัน, สามี, ลูกสาว, และสาวใช้ รวม ๔ ชีวิต ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ อย่างปกติสุข มาเป็นเวลากว่า ๕ ปี โดยที่ประตู หน้าต่างทุกบาน ไม่ได้ติดเหล็กดัด เพราะมีความรู้สึกว่า การติดเหล็กดัด ทำให้บ้าน ไม่น่าอยู่ เหมือนอยู่ใน คุกตะราง และทำให้ ทัศนียภาพเสียไป และที่ผ่านมา ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำให้เกิดความชะล่าใจ เปิดประตู หน้าต่างทิ้งไว้ เป็นประจำ

จนอยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔ เป็นวันที่เงินสะพัด พี่สาวและพี่เขย ซึ่งเป็น เจ้าของบ้าน มาตั้งแต่ ๕ โมงเย็น (พี่สาวและพี่เขย จะมาพักที่บ้านหลังนี้ สัปดาห์ละ ๑-๒ คืน เพื่อมาดูแล สวนยาง ที่ชลบุรี) แล้วทั้งสอง ก็ขึ้นห้องนอนชั้นบน ซึ่งอยู่ฝั่งที่ดินเปล่า เปิดหน้าต่าง นั่งทำบัญชี เพื่อเตรียมจ่ายเงินเดือน ให้แก่ลูกจ้าง ในสวนยาง

ส่วนดิฉันกลับจากทำงานก็เข้าครัว ช่วยสาวใช้ ทำกับข้าวมื้อเย็น จนเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม จึงตั้งโต๊ะอาหาร เชิญพี่ทั้งสอง ลงมากินข้าวด้วยกัน พี่ก็ปิดไฟปิด ประตูห้องนอนลงมา สักพัก สามี, ลูกสาว และหลานสาว กลับเข้ามา จากหน้าหมู่บ้าน เข้าร่วมรับประทาน อาหารเย็น พร้อมหน้าพร้อมตากัน ๖ คน พวกเรากินกันไป คุยกันไป อย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางเสียงทีวี ที่ค่อนข้างดัง จนเวลาประมาณ ๑๙.๔๐ น. พี่เขยเดินขึ้น ชั้นบน จะเข้าห้องนอน เพื่อไปอาบน้ำ พักผ่อนตามปกติ ปรากฏว่า เข้าห้องนอนไม่ได้ รู้สึกว่า ลูกบิด ประตูล็อค จึงลงมา นำพวงกุญแจขึ้นไป พร้อมกับความสงสัยในใจว่า ประตูทำไมถูกล็อค เขาเผลอ ล็อคไป หรือว่าลูกบิดเสีย ล็อคไปเอง ตอนปิดประตู แต่พอไข กุญแจลูกบิดได้ ก็ยังไม่สามารถ เปิดประตู เข้าไปได้ รู้สึกแปลกใจ พวกเราอยู่ข้างล่าง ได้ยินดังนั้น สาวใช้ในบ้าน ก็พูดขึ้นว่า "ขโมยขึ้นบ้านแน่ๆเลย" เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่า ประตูบานนี้ มีกลอนประตูด้วย

ลูกสาวไม่เชื่อพูดว่า "พี่เอ๋ พูดอะไรบ้าๆ เป็นไปไม่ได้ คนอยู่กันตั้งเยอะตั้งแยะ"

สามีเกิดเฉลียวใจขึ้นมา รีบไปยกบันไดมาวางข้างบ้าน ด้านห้องนอนพี่สาว แล้วปีนขึ้นระเบียง หน้าห้องนอน ของพี่สาว พบว่าประตูระเบียงข้างหน้า เปิดแง้มอยู่ จึงได้เข้าไป ในห้องนอนของพี่สาว แล้วเปิดไฟห้องนอน พบว่ากลอนประตูห้องนอน ถูกปิดไว้ บานมุ้งลวด หน้าต่างถูกเปิดออก ๑ บาน กระเป๋าเงิน ของพี่สาว และพี่เขย ถูกรื้อค้น กระจุยกระจาย อยู่เต็มห้อง บนพื้นห้องนอน ซึ่งเป็นพื้นไม้ปาเก้ เต็มไปด้วยรอยเท้าคน ตรวจดูแล้ว เงินของพี่ทั้งสอง หายไปประมาณ ๑๔,๐๐๐ บาท

พอถึงตอนนี้ ทุกคนหน้าซีด ตกใจกันหมดทั้งบ้าน (ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า จะมีขโมย กล้าขึ้นบ้าน ในเวลาที่ ทุกคนตื่นอยู่ กันมากมาย (ทั้งบ้านรวมแล้ว คืนนั้นอยู่กันถึง ๗ คน)

คืนนั้น ตำรวจมาตรวจสอบปากคำและตรวจหาลายนิ้วมือ แล้วสันนิษฐานว่า ขโมยน่าจะฉวยโอกาส ตอนที่ทุกคนในบ้าน กำลังกินข้าว ดูทีวีกันอยู่ข้างล่าง ขโมยคงปีนขึ้น ทางเสาทีวี ที่ปักจากพื้น ขึ้นไปบน ชายคาบ้าน ข้างห้องนอน แล้วผลักบานมุ้งลวด เข้าห้องทางหน้าต่าง ที่เปิดไว้ จากนั้นกดล็อค ลงกลอน ประตูเรียบร้อย จึงค้นกระเป๋า ลิ้นชัก ได้เงินแล้ว รีบเปิดประตูระเบียงหน้า หนีออกไปอย่างรวดเร็ว (ไม่เคยมีใครเห็นขโมย แม้แต่เงา) เพราะขโมย ทำการเร็วมาก ไม่เอาของใหญ่ เอาแต่เงินสด และ ของมีค่าชิ้นเล็ก ต่อมาทราบว่า โจรแก๊งนี้ ทำการโจรกรรม ลักษณะนี้ มาหลายบ้านแล้ว ขณะนี้ยังจับตัว ไม่ได้ ให้ทุกบ้านระวังให้ดี

เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ทุกคนในบ้านตกใจ เสียขวัญ และเกิดความกลัว ไม่กล้าเปิดหน้าต่างนอน ต้องปิด หน้าต่าง และเปิดเครื่องปรับอากาศ นอนหลายคืน นับเป็นบทเรียน สอนให้ต้องรอบคอบ มีความระมัดระวัง มากกว่าเดิม จะประมาท ต่อไปไม่ได้แล้ว เงินทองของมีค่า ไม่ควรเก็บไว้ ภายในบ้าน กลางคืนควรปิดประตู หน้าต่างให้ดี และ ควรจะเปิดไฟนอกบ้าน ทิ้งไว้บ้าง

ดิฉันรู้สึกอิจฉาพระท่านที่ไม่มีเงินทอง ท่านคงจะหลับสนิท อย่างเป็นสุข และไม่ต้องกลัว ใครมาขโมย เพราะไม่มีอะไร ให้ขโมย ส่วนฆราวาสอย่างดิฉัน ยังมีเงินทอง จึงยังต้องทุกข์ เพราะเงินทอง สมดังคำพระ ท่านว่า ผู้มีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค ผู้มีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร ผู้มีอุปธิย่อมเศร้าโศกเพราะอุปธิ ผู้ไม่มีสมบัติอะไรเลย ย่อมไม่เศร้าโศก

หวังว่าสักวันหนึ่ง ดิฉันคงได้พัฒนาตัวเอง ไปถึงจุดนั้น

หากท่านผู้ใดมีประสบการณ์จริงจากชีวิต สามารถส่งมายังคอลัมน์นี้หรือส่งมาทาง email ข้างต้น

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๖ มีนาคม ๒๕๔๕)