หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >สารอโศก

เดินตามรอยพ่อ
วิกฤตคือโอกาส


ชีวิตช่างไม่มีอะไร ที่แน่นอนเลย มองหาวัตถุเพื่อเป็นที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทางกาย หรือทาง ใจก็หาได้จีรัง ยั่งยืนไม่... ชีวิตของ ข้าพเจ้า ก็เช่นเดียวกัน จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้พบกับ ชาวอโศก แม้กระนั้น ชีวิตของ ข้าพเจ้า ก็มีการ เปลี่ยนแปลง อยู่เสมอ

เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษา (ม.รามคำแหง) ได้มีโอกาสพบเห็นชาวอโศก จำได้ว่า ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เพื่อนข้าพเจ้า ได้พาไปพบ กับสิกขมาตุ ได้พูดคุยสนทนา เรื่องของชีวิต ทำให้ข้าพเจ้าสนใจ จึงได้เดินทาง มาฟังเทศน์ ฟังธรรมที่ สันติอโศก โดยไม่ต้องชวนเพื่อน ซึ่งสมัยนั้น ที่สันติอโศก มีเรือนที่เรียกว่า "เรือนขวัญ"

ได้ฟังเทศน์พ่อท่าน ตอนหลังฉัน ในใจนึก...แปลกดีแฮะ พระรูปนี้(ปกติข้าพเจ้าไม่ชอบเข้าวัด) ฟังไปฟังมา ก็เริ่มเข้าใจ แต่ตอนนั้น ก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น กินมังสวิรัติบ้าง ไม่กินบ้าง เน้นการศึกษาต้องมาก่อน เป็นสำคัญ

ข้าพเจ้าหลงระเริงอยู่กับวัยหนุ่ม จึงไม่ใส่ใจในเรื่องของธรรมะ เรื่องศาสนา เมื่อเรียนขึ้นปี ๓ ด้วยความ ประมาท ในชีวิตวัยหนุ่ม จึงไปหลง ติดการพนัน คบเพื่อนมิตรชั่ว การเรียนก็ย่ำแย่ตกต่ำ เมื่อหมดหนทาง ก็คิดได้ จึงหาที่พึ่ง ให้กับจิตใจตัวเอง

และได้ไปพบปะพูดคุยกับสมณะ ท่านแนะนำให้นำเท็ปไปฟังที่บ้านด้วย ชีวิตเมื่อต้องการหา ทางออกที่ดี หรือ ทางรอด ที่จะทำให้ ชีวิตดีขึ้น เมื่อมีโอกาส แม้จะไม่มีความศรัทธา ก็ต้องจำยอม ข้าพเจ้าก็ขยัน ฟังเท็ปธรรมะ ของชาวอโศก ซึ่งส่วนใหญ่ เท็ปธรรมะ สมัยนั้น พ่อท่านเป็นคนเทศน์

เมื่อฟังบ่อยๆ ก็เริ่มปฏิบัติตาม ตั้งแต่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ลดละเลิกอบายมุข ที่เคยติดมา เริ่มถือศีล ๕ แล้วถือศีล ๘ จนกระทั่ง ชีวิตดีขึ้น สามารถเรียนจบ จากมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่ก็จบ จากมหาวิทยาลัยได้ ด้วยแรง บันดาลใจ จากการฟังเทศน์ และการปฏิบัติ

ข้าพเจ้าจึงสนใจเรื่องจิต เพราะจิตลึกลับน่าสนใจ คิดอยากจะบวช แต่ก็คิดอยากจะเรียนต่อ จึงตัดสินใจ ไปลองสอบ ที่นิด้า ผลสอบออกมา ข้าพเจ้าสอบไม่ผ่าน ขณะนั้นมีงานวัน วิสาขะ ที่สวนลุมพินี ปี ๒๕๒๔ เมื่อผิดหวัง ย่อมหาที่พึ่ง ทางใจอีก จึงตัดสินใจ ไม่เรียนต่อ ไม่เข้าวัด นอนอยู่บ้านเฉยๆ เป็นเวลา ๒ ปี

จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง เมื่อเพื่อนๆ ดูหมิ่นว่า "เรียนจบแล้วยังไม่มีงานทำ" จึงทำให้เกิด ความมุมานะ สมัครงาน ธนาคาร และ ได้เข้าทำงาน จากจุดนี้ ทำให้ข้าพเจ้า ทำตัวเหลวไหลอีก เพราะอยู่แผนกตรวจสอบ ต้องเดินทาง ไปต่างจังหวัด ทำให้การกิน อาหารมังสวิรัติ เริ่มไม่วิรัติแล้ว เหล้า บุหรี่ เรียงแถวมา เป็นขบวน

ทำงานไปก็ทุกข์ใจไป ได้เห็นความทุกข์ของคนยากคนจน เกษตรกร และทุกข์ของตัวเองด้วย ทนทุกข์ ในการทำงาน ปีกว่า ได้เห็นการเอาเปรียบ ของระบบธนาคาร ประจวบเหมาะกับน้องเรียนจบ จึงทำให้ ตัดสินใจเด็ดขาด แต่ยังลังเลว่า จะเข้าวัด ดีหรือไม่หนอ? เรียนก็ไม่เรียนแล้ว งานก็ไม่ทำแล้ว แล้วจะไป อยู่ไหน? ทำอะไรดี?

ครุ่นคิด ! คิด ! คิด ! เป็นเวลา ๓ วัน ยื่นใบลาออก แล้วก็เข้าวัด โดยยังไม่ได้แจ้ง ให้ทางบ้านทราบ แต่มาอยู่วัด ได้สักพัก จึงโทรฯ บอกทางบ้าน คุณแม่ก็มาตามให้กลับ แต่เนื่องจากว่า เราต่อสู้กับตัวเอง ในการตัดสินใจ มาแล้ว ทำให้มั่นคง "หยุดก่อนโยม ถ้าสู้ไม่ไหว ทนไม่ไหว จะกลับไปเอง" ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีปัญหา

การที่จะพรากตัวเองทั้งทางกาย และ ใจจากแม่ เป็นเรื่องยากยิ่งนัก ต้องอาศัยเวลา ต้องมีความแน่วแน่ มั่นคง ในทิศทาง ที่จะตอบแทน บุญคุณของแม่ ต้องปฏิบัติตัวเอง ให้ได้มรรคได้ผล แล้วค่อยกลับ ไปสอนท่าน เพราะตัวแม่ ก็ต้องตัดสินใจ เสียสละตัวเรา ให้กับศาสนา

ไม่ง่ายนักสำหรับเส้นทางสายนี้ เพราะการขัดเกลา การขัดใจ (กิเลส) ขัดความเคยชิน แทบทุกอย่าง ทำให้ฟุ้งซ่าน ทำให้ต้องหาทาง ระบายออก ด้วยการทำงาน ด้วยการพูดคุย ข้าพเจ้ามีคุณหมอวิวัฒน์ เป็นเพื่อน พาไปที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ทำให้รู้สึก สบายใจขึ้น

อยู่วัด ๑ เดือน ได้ออกไปช่วย ชมร. สมัยนั้นตั้งอยู่ อตก. (บนเกาะกลางถนน) หมอวิวัฒน์พาไป รุ่นนั้น เป็นรุ่นเดียว กันกับ พรพิชัย ข้าพเจ้าไปช่วย ล้างถ้วย ล้างชาม ปัดกวาด เช็ดถู ช่วงนั้น เป็นช่วงหาเสียง เลือกผู้ว่า ราชการกรุงเทพฯ ซึ่ง พลตรี จำลอง ศรีเมือง ลงหาเสียง และ ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนชมร. (อตก) ก็เปลี่ยนผู้รับใช้พอดี

การเลือก ผรช. (ผู้รับใช้) ใช้วิธีการโหวต เหมือนการหาเสียงผู้ว่าฯ ส่วนใหญ่ ก็โหวตให้ ข้าพเจ้าเป็นผรช. (ข้าพเจ้า ไปช่วย ได้เพียง ๖ เดือนเอง) เอาก็เอา อยากเรียนรู้ผัสสะว่า เราแน่สักแค่ไหน และเขาก็ไว้วางใจ เราด้วย เมื่อเป็น ผรช. ก็คือผู้รับใช้ ตั้งแต่ผู้จัดการ ยันภารโรง ได้เรียนรู้การขัดแย้ง จากคนรอบข้าง จากลูกค้า ซึ่งงานขายอาหาร เป็นบทบาท ของการกระทบอารมณ์ เป็นการเดินมรรค ซึ่งก็คือ มรรคองค์ ๘ นั่นเอง

จากยอดขายไม่กี่พันบาท กลายเป็นหลักหมื่น เมื่อพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการ กทม. สมัยแรก (๒๕๒๘) งานจึงเพิ่ม เป็นเท่าตัว ปัญหาก็เพิ่มขึ้น เป็นเท่าทวี ข้าพเจ้าก็ต้องรับ ทุกปัญหา แก้ทุกปัญหา คนบ้าบ้าง คนกิน ฟรีบ้าง คนมาร้องทุกข์ คนมาบริจาค สารพัดที่ได้พบ ได้เจอ แต่โชคดีที่พ่อท่าน เอาภาระ ประชุม แทบทุกอาทิตย์

หกเดือนในการเป็น ผรช. เพียงพอสำหรับข้าพเจ้า ที่ได้เรียนรู้ผัสสะ ทุกผัสสะ ไม่ว่า จะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นได้กับ ทุกๆชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ ขอสมัคร เป็นปะ เพื่อจะเตรียมตัวบวช ตามขั้นตอน

ข้าพเจ้าได้บวชเป็นสมณะชาวอโศก เมื่อปี ๒๕๓๑ ทำงานในส่วนธรรมปฏิกรรม ก่อนที่จะเกิดคดีถูกจับ งานหนังสือ เร่งมาก เพราะต้องต่อสู้ เรื่องสื่อ เพื่อให้ทุกคนที่ได้รับ จะได้รู้ ความจริง งานเร่งทั้งวันทั้งคืน เร่งส่ง แต่สิ่งเหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้า ได้อดทน เพราะ เป็นงานศาสนา

เมื่อถูกจับกุมไปที่บางเขน ทำให้ได้พักงาน ได้ลดอัตตามานะ จากที่เราเคยขัดเคืองกับใคร ก็ได้ปรับเข้าหากัน ความเป็นพี่ เป็นน้อง แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะช่วงที่ถูกจับ เขาให้อยู่ ในห้องเดียวกัน อยู่รวมกันเป็นสิบๆ นอนแบบ แออัด ยัดเยียดกัน ทำให้มีเวลา ได้พูดคุยกัน เป็นการส่วนตัว โดยปราศจากบุคคลภายนอก

จากการถูกจับในครั้งนั้น ได้เห็นความศรัทธาของญาติโยม นำอาหารมาถวายมากเป็น พิเศษ ความมั่นคง ในความศรัทธา ธรรมะของพระพุทธองค์ เพราะญาติโยม เขาปฏิบัติ เขาก็ได้เห็นผล ในตัวเขาเอง เขาจึงศรัทธา และเชื่อมั่นว่า สมณะชาวอโศก ปฏิบัติไม่ผิดทาง

เมื่อออกจากห้องขัง เพื่อดำเนินคดี จนรอลงอาญา เนื่องจากเร่งงาน ธรรมะปฏิกรรมมาก จึงทำให้ข้าพเจ้า ป่วย และไปพัก รักษาตัว ที่ปฐมอโศก และอยู่ต่อมา จนปัจจุบัน สิ่งที่ข้าพเจ้า ได้ปฏิบัติ ตามแนวทาง ตามรอยพ่อท่าน ที่พ่อท่าน ตามรอย พระพุทธองค์ สิ่งที่ได้แล้วนั้น ได้เลย

การเริ่มต้นที่ดี คือความอดทน หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วสติปัญญา ก็จะเกิดขึ้น จิตวิญญาณ พัฒนาขึ้น ลดกิเลส ให้มาก จะเห็นอานิสงส์ ซึ่งนั่นก็ต้องอาศัย การทำงาน คือ มรรคองค์ ๘ เราต้องเอาจริงกับกิเลส ล้างให้สิ้น ทำงาน ให้มาก ฝึกอดทนให้ยิ่ง แล้วจะสบายขึ้น

กิจการงานพ่อท่านเปิดกว้างมากขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวอโศก พัฒนาตนเอง เพื่อเลื่อนฐาน โดยเฉพาะ คนภายใน เรานิ่งนอนเนื่อง มานานแล้ว ต้องพัฒนาตนเอง เพื่อพ้น ฐานขี้เกียจ ต้องเห็นแก่ผู้อื่นก่อน เป็นอันดับแรก งานส่วนตัว ต้องเป็นรอง สำหรับข้าพเจ้านะ

จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง หากิเลสในตัวเอง ทำลายล้างกิเลสในตัวเอง ขอบคุณ การเปลี่ยนแปลง ขอบคุณผัสสะ ที่ทำให้ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ อารมณ์ของจิต ข้าพเจ้า ได้เดินทางสายนี้ ด้วยการลงทุนตัวเอง ทำให้ชัดเจนว่า ศาสนาพุทธ มีมรรค มีผลจริง กิเลสตายแล้ว ไม่เกิดได้จริง โดยการ พิสูจน์ ของตนเอง สิ่งที่เรา ปฏิบัติแล้ว สามารถไม่เวียนกลับได้ ก็ไม่เวียนกลับ ได้จริง

ศาสนาพุทธไม่ใช่กดข่ม ฆ่ากิเลสตายได้จริง เป็นขั้นเป็นตอน ยิ่งทำได้มาก ส่วนที่หยาบ ก็ถูกทำลายได้มาก ส่วนละเอียด ที่เหลืออยู่ ก็พากเพียรใหัยิ่งขึ้น และ ยากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าเดินทาง ตามทิศทาง ตามรอยเท้าพ่อ ยิ่งเห็นชัด ในสิ่งที่ พ่อท่านพูด พ่อท่านชี้แนะ

ชีวิตนี้ของข้าพเจ้า ที่เดินตามรอยเท้าพ่อ ไม่เสียใจเลย ข้าพเจ้ามั่นใจ มั่นใจในพ่อท่าน มั่นใจในหมู่กลุ่ม มั่นใจว่า ช่วยมวลชนได้ มั่นใจว่า ช่วยกอบกู้ ทั้งชาติ ศาสนาได้จริงๆ

มาเถิด ถ้าตัวท่านแต่ละคนคิดว่า อยากสบาย อยากพ้นโลกียะ เส้นทางสายนี้ รอท่านอยู่ รถด่วนขบวนนี้ เป็นขบวน สุดท้ายจริงๆ

กราบเท้าบูชาคารวะพ่อ
สมณะมองตน เมตตจิตโต

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๖ มีนาคม ๒๕๔๕)