หน้าแรก>สารอโศก

กรรมตามสนอง
อุบัติเหตุแห่งกรรม

อุบัติเหตุแห่งกรรมนี้ ได้เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้เขียน คือ สำอาง ป้องนาม (ก่อแก่น) ซึ่งอยู่บ้านเลขที่ ๓๐๔ หมู่ที่ ๔ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น

เรื่องมีอยู่ว่า ทุกๆเช้าผมจะต้องขับรถคู่ชีพ ออกไปพร้อมทั้ง กล้องถ่ายรูป คือผมมีอาชีพ รับจ้างถ่ายรูป แล้วนำมาขยาย เอามาใส่กรอบ วิทยาศาสตร์ ให้กับผู้คนที่อยู่ตาม หมู่บ้านต่างๆ เป็นประจำเสมอมา

เช้าของวันที่ ๗ ก.ย.๔๓ ผมก็ทำเหมือนที่เคยทำมา ได้ตระเวนออกไป รับจ้าง ถ่ายรูปตั้งแต่เช้า จนสาย พอสมควรแล้ว ผมก็ขับรถคู่ชีพ กลับเข้าบ้าน เพื่อรับประทานอาหารเช้า แล้วก็ลงมือทำกรอบรูป อยู่ที่บ้าน

แต่ทว่าในเช้าวันนี้ ผมคิดว่า หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว จะย้อนออกไป ถ่ายรูปอีก จึงคิดว่า ควรขับรถ ไปจอดเอาไว้ บริเวณวัดดีกว่า เพราะวัดกับบ้าน ของผมก็อยู่ใกล้ๆกัน

พอขับรถมาถึงหน้าวัด ก็ได้ขับรถเลี้ยวเข้าไปในบริเวณวัดทันที พอรถเลี้ยว เข้าไปในวัด ผมก็มองเห็น พระหลวงตา กำลังโปรยอาหาร ให้แก่ฝูงนกพิราบ ซึ่งอยู่บนถนนที่ผมจะขับรถผ่านไปพอดี

ในขณะที่ฝูงนกพิราบเหล่านั้น (ประมาณ ๑๐ ตัว) กำลังก้มหน้าก้มตาจิกกินอาหาร อยู่บนถนนเพลินอยู่นั้น ผมก็พูดกับ หลวงตาว่า "ขอผ่านหน่อยครับ"

ท่านก็บอกกับผมว่า "ไปเลย"

แล้วผมก็บีบแตร เป็น การไล่นกเหล่านั้น ให้ออกจากเส้นทางที่ผมจะขับรถผ่านไป ผมขับรถฝ่าฝูงนกไปนั้น สายตาของผม ก็จ้องดูนก แทบไม่กะพริบตาเลย บ้างก็บินหลีกหนี บ้างก็พากันเดินหนีไปคนละทิศละทาง

แต่ทว่ามีนกพิราบหนุ่มสาวหรือผัวเมียคู่หนึ่ง กำลังพากันเดินไปข้างหน้าของรถผม สังเกตดูมันกำลังเย้าแหย่ กันเพลินอยู่ เพราะผมมองเห็นมันยกคอขึ้นลง อันเป็นสัญลักษณ์ของนกกำลังพูดคุยกัน โดยไม่คิดว่า ภัยจะมา ถึงตัวเลย ผมก็ขับรถไปช้าๆ คิดว่ามันจะเดินหลีกหนีไปเอง เหมือนนกตัวอื่นๆ ที่เขาทำกัน

แต่ทว่าผมคาดการณ์ผิดถนัด คือพอผมขับรถพ้นไปจากนกฝูงนั้นแล้ว พลันได้ยิน เสียงของพระหลวงตา ตะโกนขึ้นว่า "นี่โยมสำอาง โยมขับรถทับนกตายแล้ว" พอผมได้ยินแค่นั้น ผมรู้สึกตกใจมาก แทบไม่เชื่อ หูตนเองเลย จึงรีบหยุดรถทันที ผมรีบลงมาจากรถ แล้วมองไปยังด้านหลังของรถ เห็นนกพิราบตัวหนึ่ง นอนตายแน่นิ่งอยู่ โดนรถของผม ทับเข้าเต็มๆ มันจึงตายทันที

พอเห็นแค่นั้นผมยิ่งตกใจมากเลย เพราะคิดไม่ถึงว่า จะทำบาปกรรมลงไปโดยความประมาท โดยความ ไม่ตั้งใจ ผมไม่รู้ จะแก้ไขอย่างไร จึงรีบเดินตรงไปยังศพ ของนกพิราบตัวนั้น พอถึงศพ ผมก็รีบนั่งลงคุกเข่า แล้วพนมมือไหว้ พร้อมกับก้มลง กราบศพ ของนกพิราบตัวนั้น เพื่อขอขมาโทษต่อดวงวิญญาณ ของเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า "เจ้านกพิราบเอ๋ย ข้าพเจ้ามิได้ มีเจตนา จะฆ่าเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอโทษ ขอให้เจ้าโปรด ได้อโหสิกรรมด้วยเถิด อย่าให้เป็นบาป เป็นกรรม เป็นเวร และเป็นภัย ต่อกันเลยนะ

   

หลังจากที่ผมแสดงความเสียใจและแสดงความเคารพศพของนกพิราบตัวนั้นแล้ว ผมก็ได้หยิบเอานก ตัวนั้นขึ้นมา ในใจก็คิดว่า ตลอดเวลาผมได้มาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติธรรมะร่วมกับชาวอโศก ตั้งแต่ กระผมรู้ว่า การฆ่าสัตว์ และการกินเนื้อสัตว์ นั้นเป็นบาป ผิดศีลข้อที่หนึ่ง ผมก็ไม่เคยฆ่าสัตว์ และ กินเนื้อสัตว์ อีกเลย ตลอดเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมา

แต่คราวนี้ผมขับรถโดยประมาท พลาดไปทับนก ทำให้ชีวิตเขาต้องตายตกร่วงไป ผมคิดว่า วิบากกรรม ย่อมมีมา แน่นอน จะส่งผลให้กับชีวิตของผมช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

หลังจากที่ผมหยิบเอาศพนกที่เคราะห์ร้ายตัวนั้นขึ้นมาแล้ว ก็ถือไปหาหลวงตาพร้อมกับพูดว่า "ท่านครับ ผม ขอโทษ อภัยให้แก่ผมด้วยครับ แล้วศพของนกตัวนี้จะให้ผมเอาไปทิ้งหรือเอาไปฝังไหมครับ"

"ไม่เป็นไรหรอก มันก็เห็นรถโยมสำอาง พวกนกตัวอื่นๆ ก็ยังเดินหนีกัน มันคงถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ถึงได้ตาย ศพของมัน เอาไว้นี่ล่ะ โยมไปเถอะ" ผมจึงได้วางศพของนกพิราบตัวนั้น เอาไว้หน้ากุฏิ ของหลวงตา แล้วผมก็ก้มลง กราบหลวงตา ปากก็พร่ำขอโทษ ขออภัยจากหลวงตาต่างๆนานา

จากวันนั้นมา ผมก็ไม่สบายใจเลย ในใจคิดว่าตนเองได้ทำบาปกรรมลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ศีลข้อหนึ่ง ของผมขาดไป ผมเสียใจจริงๆ ทุกๆเช้าที่ผมตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้า เหมือนดั่งชาวอโศกที่เคยพาทำมา ผมสวดมนต์ ไหว้พระเสร็จ ก็จะตั้งจิตอธิษฐานขอขมาโทษต่อดวงวิญญาณของเจ้านกพิราบตัวนั้น ที่เป็นเจ้ากรรม นายเวรของผมอยู่เสมอ

ผมได้ศึกษาธรรมะกับพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์และสมณะชาวอโศก ท่านก็พร่ำสอนอยู่เสมอๆว่า กรรม คือ การกระทำ ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ไม่ว่าจะกระทำกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม ไม่ว่าเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม ไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน

๒๘ ต.ค.๔๓ นับเวลาได้เดือนกว่าๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว ผมมีธุระจะต้องไปเขียนเรื่อง "กรรมตามสนอง" จากพระ วัดทรายมูล บ้านแดงใหญ่ เพื่อเอามาถ่ายทอดลงในสารอโศกให้ท่านผู้อ่าน

เช้าวันนี้ หลังจากที่ผมรับประทานอาหารเสร็จ ผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน็อค ขับมุ่งตรงสู่วัด ทรายมูล ซึ่งอยู่ห่างออกไป จากบ้านของผมประมาณ ๗ กม. ไม่นานผมก็ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ มาถึงหมู่บ้าน แดงใหญ่ อันเป็นหมู่บ้าน ที่ผมจะมาทำธุระในครั้งนี้

ในขณะที่ผมขับรถไปตามถนนสายกลางหมู่บ้าน เพื่อมุ่งตรงไปสู่วัดนั้นเอง ผมได้ขับรถมาช้าๆ แล้วก็จะ เข้าถึง ประตูวัดอยู่แล้ว พอดีตรงประตูวัดจะเป็นถนนสี่แยกอยู่ตรงหน้าวัดพอดี

ทันใดนั้น ได้มีคนขี่รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง วิ่งมาด้วยความเร็วสูง มาจากเส้นทางด้านทิศเหนือ ลงมาทาง ทิศใต้ ส่วนผมวิ่งรถ จากทิศตะวันตก มาทิศตะวันออก พอดีตรงมุมสี่แยกนั้น จะมีต้นไม้บังตาของผมอยู่ หูผมก็ไม่ได้ยินเสียง ของรถเขาด้วย

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าให้ผมฟัง หลังจากที่ผมหายป่วยแล้วว่า วันนั้นในหมู่บ้านนั้นมีงานศพคนตาย เจ้าคนขับรถ คันที่มาชนผม เขากินเหล้ามา เขาเมาเหล้าจึงขับรถประมาท ขาดสติ พอผมขับรถโผล่ออกไป สี่แยกหน้าวัดนั้น รถมอเตอร์ไซค์คันนั้น (ผมเรียกมันว่า รถเจ้ากรรมนายเวร) เขาได้ขับมาพุ่งชน เข้าล้อหน้า รถของผมพอดี

ด้วยความเร็วของรถ ด้วยความแรงของการปะทะ จึงทำให้ทั้งสองคนที่ขับขี่มานั้น ต้องกระเด็นกระดอน กันไปคนละทิศ ละทาง เขาก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน พวกญาติๆของเขาพอรู้ว่าเขาได้รับอุบัติเหตุ ก็พากัน นำร่าง ของเขาส่ง สถานีอนามัย แถวใกล้ๆนั้น

ส่วนตัวผมเองหลังจากกระเด็นตกจากรถลงไปแล้ว หมวกกันน็อคที่สวมใส่อยู่ ได้หลุด ออกจากหัวของผมไป หัวและร่าง ของผม ฟาดกับพื้นถนนคอนกรีตเต็มแรง ถึงกับทำให้ผมสลบไปเลย ผู้คนต่างก็พากันมามุงดูผม พวกเขาก็พากันคิดว่า ผมได้ตายไปแล้ว ปล่อยให้ผมนอนสลบตากแดดอยู่อย่างนั้นนานพอสมควรทีเดียว

กระทั่งมีเพื่อนผมคนหนึ่งได้มาพบเข้า เขารีบปฐมพยาบาลผม สักครู่ผมจึงรู้สึกตัวได้สติขึ้นมา ผมเห็นผู้คน มุงดูผมมากมาย จึงแปลกใจถามเขาไปว่า "มาดูผมทำไม"

เพื่อนผมตอบผมว่า "มึงน่ะโดนรถชน ไม่ตายก็บุญโขแล้ว" หากกูไม่มาเห็น มึงอาจตายแล้วก็ได้ จากนั้น เขาก็ได้ โทรศัพท์ เข้าบ้านของผม เพื่อให้ลูกเมียได้รู้ข่าว การประสบอุบัติเหตุของผม ไม่นานนัก น้องสาว น้องเขย และ ลูกเมียของผม ก็มารับผมไปส่งโรงพยาบาลขอนแก่น ผมต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถึง ๓ คืน กับ ๔ วัน คุณหมอเห็นว่า ผมปลอดภัยดีแล้ว จึงให้กลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ต้องมาพักฟื้น อยู่ที่บ้านอีก เป็นเวลาถึง ๒ เดือนกว่าๆ ร่างกายจึงแข็งแรง เข้าสู่ภาวะปกติดี

ผมมาคิดได้ในภายหลังว่า ที่ผมเจออุบัติเหตุในคราวนี้นั้น มันคงเกี่ยวเนื่องมาจากวิบากกรรม ที่ผมเคยขับรถ ทับนกพิราบตาย ในวัดคราวนั้น แน่นอน ต้องมาถูกรถชนอยู่ใกล้ๆวัดเหมือนกัน อุบัติเหตุที่เกิดกับ ชีวิตของผม ในคราวนี้ ผม ตั้งชื่อว่า "อุบัติเหตุ แห่งกรรม" นั้นเอง

ผมรู้สึกดีใจมาก ที่ได้ชดใช้กรรมเขาเร็ว ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นหนี้กรรมหนี้เวรเขาอีกนานทีเดียว และดีใจมาก ที่เขาไม่เอา ผมถึงตาย

สำหรับคนที่ขับรถมาชนรถผมนั้น ผมคิดว่า มันเกิดจากแรงกรรมของผมเอง จึงไม่เอาเรื่องกับเขา เมื่อเจ้าทุกข์ ไม่เอาเรื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงให้ทั้งสองฝ่าย ลงบันทึกเอาไว้ แล้ว ก็ปล่อยให้เขาเป็นอิสระไป

พระท่านว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

- ก่อแก่น -
๑๕ ก.พ.๔๕

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)