หน้าแรก >สารอโศก

จดหมายจากญาติธรรม


สวนครัวไร้สารพิษ
ข้อปฏิบัติจากการอ่าน ได้ทดลองทำสวนครัวไร้สารพิษกินเองในครอบครัว ได้ผลเกินคาด ส่วนที่ทำแบบ สมัยใหม่ติดกัน พริกของเขาใหม่ๆ สวย ดกมาก แต่ช่วงหลังผลร่วง เสียหายมากเลย มะเขือสวนเขา เจอแมงเต่าทอง เล่นงาน ไม่ได้กินเลย ตรงกันข้ามกับสวนไร้สารพิษ ของกระผม สวยงามดก พอได้กิน อยู่ตลอด รู้สึกภูมิใจมาก พยายามทำ ขยายออกไปเรื่อยๆ ขอขอบคุณ สำหรับหลายๆอย่าง ที่ทำให้รับรู้ ก่อนใครอีกด้วย
* สุพจน์ คำศรี จ.อุบลฯ
ชาวอโศกหากช่วยกันปลูก พืชผักไร้สารพิษทั่วถึง ก็จะเป็นหลักฐาน พิสูจน์ให้เห็นความจริงว่า การปลูกแบบ กสิกรรมธรรมชาติ ดีกว่าการปลูกแบบใช้สารเคมีต่างๆ - บ.ก.

น้ำหมักชีวภาพ
ดิฉันได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ ที่ได้จากการทำน้ำหมักเปลือกเสาวรส ที่สั่งมาจาก อ.ศรีสงคราม ได้ใช้บำบัดน้ำเสีย ถูพื้น และรดน้ำต้นไม้ซึ่งอยู่หน้าร้าน ทำให้ต้นโมโรเฮยะ ต้นมะละกอ และข้าว
งอกงามดี

ขณะนี้ต้นมะละกอกำลังติดลูก โมโรเฮยะก็ออกฝักและดอกเรื่อยๆ ดิฉันก็เก็บเอามาปรุงอาหารในร้านด้วย เวลาซื้อหาผักตำลึงไม่ได้ ต้นข้าวก็ใกล้ออกรวงแล้ว มีพอที่จะประดับให้ดูเขียว ทางด้านหน้า ร้านมังสวิรัติ

ดิฉันได้ใช้ น้ำหมักชีวภาพ จากดอกไม้หน้าร้าน คือ ดอกกุหลาบ สะเลเต ซึ่งหมักกับน้ำผึ้ง และเกสรผึ้ง เอามาทามือ ที่แพ้จาก ถูกน้ำกัด เวลาคันมากๆ ก็ใช้ทา ทำให้บรรเทา อาการแพ้ได้มากๆ ใช้รักษาผิว

อีกเรื่องคือ จากการที่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมมานี้ ทำให้ดิฉันเข้าใจคนมากขึ้น ให้อภัยคนได้มากขึ้นกว่าเดิม คือ แต่ก่อน ดิฉันไม่ค่อยให้อภัยคนง่ายเท่าไหร่ แต่พอดิฉันเข้าใจ จากการอ่าน และศึกษาธรรม ทำให้ดิฉัน ได้รู้ว่า ดิฉันอยู่ในข่าย "เหตุผล คือความบ้า อัตตาคือความจริง" คือ ดิฉัน ไม่อยากให้ใคร ทำอะไรผิดพลาด และ มักจะมองเห็น ความผิดของผู้อื่นเสมอ ไม่ค่อยได้คิดว่า เราก็เป็นสาเหตุ ให้ผู้อื่น ต้องอดทน ต่อตัวเราเช่นกัน
* งามดอกหญ้า จ.สกลนคร
น้ำหมักชีวภาพมีประโยชน์มากมาย แต่นโยบายของชาวอโศกเน้นที่ การนำมาใช้ กับการกสิกรรม ก่อนอย่างอื่นๆ - บ.ก.

วิบากกรรม
ได้อ่านสารอโศก ฉบับที่ ๗ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ หลายคอลัมน์ชอบอ่านทุกเรื่อง ได้ประโยชน์กับ ดิฉันมาก ไม่ว่าจะเรื่อง "หมอคุยเรื่องสุขภาพ" ซึ่งได้อะไรๆมาก เพราะยุคสมัยนี้ เป็นอะไรนิด อะไรหน่อย ก็หาหมอ คิดว่าอยู่ใกล้หมอไว้ก่อนถึงจะดี ซึ่งความจริง อาจจะไม่ดีอย่างที่ทุกคนคิด

เพราะดิฉัน มีเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งมีลูกชายวัยไล่เลี่ย กับลูกชายดิฉัน ประมาณ ๖ ขวบ น่าเสียดาย เด็กวัยนี้ น่าจะได้วิ่ง เล่นซน ตามประสาเด็กทั่วไป แต่กลับต้องนอนอยู่กับที่ เดินไปไหนมาไหน ไม่ได้ เหมือนเด็กทั่วไป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขนขาลีบ ไม่สามารถพูด หรือสื่อสารกับผู้อื่นได้ ที่ สามารถทำได้ เห็นจะเป็น การพลิกตัว ซึ่งสามารถพลิกได้บ้าง ยิ้มหรือแสดงความดีใจ-เสียใจได้

ดิฉันได้เคยสอบถามประวัติ ความเป็นมาของเด็กคนนี้ ตั้งแต่ยังแบเบาะ ก็พอจะทราบว่า ตอน เด็กอายุไม่กี่เดือน ได้เป็นไข้ไม่สบาย ตัวร้อน(อุ่น) พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตอนไปใหม่ๆ เด็ก
ก็ไม่ได้เป็น อะไรมาก คงจะเป็นไข้ธรรมดา และมีเสลด เพราะมีเสียงครืดคราด เวลาหายใจ ทางโรงพยาบาล ก็แจ้งกับผู้เป็นแม่ ของเด็กว่า เด็กเป็นปอดบวม มีเสลดเต็มปอด ต้องนอนรักษา ที่โรงพยาบาล

รักษาไปหลายวัน เด็กก็ไม่ดีขึ้น ยิ่งแย่กว่าเดิม เห็นแม่เด็กบอกว่า หมอบอกว่าเด็กดื้อยา ต้องเปลี่ยนยา ที่แรงกว่าเดิม ซึ่งเป็นยาฉีด วันหนึ่งๆ ฉีดไปหลายเข็ม ๒-๓ ชั่วโมงต่อเข็ม ซึ่งดิฉันฟัง แม่เด็กเล่าแล้ว รู้สึกสงสารเด็กมาก เพราะเด็กเพียงไม่กี่เดือน ต้องมาถูกจับฉีดยา วันละหลายๆเข็ม ทำให้ดิฉันคิดเอาเองว่า ที่เด็กเป็นเช่นนี้ เพราะถูกฉีดยามากก็เป็นได้ ทุกวันนี้ เด็กก็นอนอยู่แต่ในบ้าน ทำอะไรไม่ได้ ก็มีพาไป กายภาพบำบัด บ้างเท่านั้น

ส่วนเรื่องอื่นคือ ท่านสมณะมนาโป ก็ เคยรู้จักท่านตอนเป็นนักศึกษารามฯ ไม่นึกว่า ท่านจะจากพวกเรา ไปเร็วเช่นนี้ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมคนดีๆมีคุณธรรม มีศีล ฉันมังสวิรัติ มีชีวิตที่สั้นนัก ท่านน่าจะอยู่ กับชาวอโศก และเป็นกำลังสร้างคนดีๆ ให้แก่สังคมไปนานๆ
* จริยา จตุรงค์มนตรี จ.ปัตตานี
เรื่องของเด็กที่น่าสงสารนั้น เขาก็ต้องมีวิบากกรรม (ผลของการกระทำ) อย่างของเขา เกิดมา ก็ต้องชดใช้ กรรมเก่า แต่เด็กเลย ส่วนสมณะมนาโปนั้น ท่านก็ต้องมีวิบากกรรม อย่างของท่าน เช่นกัน แต่ท่าน โชคดีกว่ามาก ตรงท่านได้มีโอกาสเติบโต ได้บวชเป็นสมณะ ได้ถือศีลบำเพ็ญธรรม แม้ท่านจะมีอายุสั้น แต่ท่านได้สะสมบุญไว้ มากมายแล้ว ในชาตินี้ - บ.ก.


ธรรมะดับทุกข์
เกินกว่าจะหาคำใดเอ่ยถึงคุณค่าของหนังสือดอกหญ้าและสารอโศก ๒๐ กว่าปี ที่ดิฉันได้รับหนังสือ ชีวิตดิฉันเปลี่ยน จิตใจดิฉันเปลี่ยน มองเห็นหนทาง และแสงสว่างอยู่ข้างหน้า

เมื่อก่อน ดิฉันฟันธง ลงไปเลยว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้อีกแล้ว ที่จะสามารถช่วยให้ชีวิต ของดิฉัน หลุดพ้น ากความทุกข์ ทรมานได้ แต่แล้ว หนังสือธรรมะ และคำว่าธรรมะ ก็เข้ามาสู่ชีวิตฉัน ยามใดที่ฉันทุกข์ ที่ฉันท้อ ดิฉันจะมี หนังสือธรรมะ และ เท็ปธรรมะ เป็นเพื่อนโดยตลอด สิ่งนี้ทำให้สติปัญญาฉันเกิด ดิฉันรู้สึก ทุกข์น้อยลง ทรมานน้อยลง

ยามใดที่รู้สึกทุกข์ ก็จะมองเห็นเหตุแห่งทุกข์ และพยายามหาทางแก้ไข ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ซึ่งจะกลัว ปัญหามาก ชีวิตอยู่แต่กับความวิตกกังวล ทุกข์ร้อนใจ สุขภาพร่างกาย และจิตใจ ทรุดโทรมลงทุกวัน

จนกระทั่งทุกวันนี้ ได้ยอมรับทุกข์ ยอมรับถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ใจที่เคยหนักก็รู้สึกเบาอย่าง ไม่เคยเป็นมาก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ค่อยคลี่คลาย ลงไปเรื่อยๆ เพราะปัญญาเราเกิด จึงทำให้คิดหา หนทางแก้ไขได้ ซึ่งไม่เหมือน เมื่อก่อน ใจจะหมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหา ทำให้หาทางแก้ ไม่ได้ซักที

ดิฉันอยากบอกคน ที่กำลัง มีความทุกข์ เหลือเกินว่า อย่าเพิ่งท้อแท้ กับปัญหาและชีวิต หนทางข้างหน้ายังอีก ยาวไกล ยังมีบุญ มีกุศลให้เรา ต้องปฏิบัติ ต้องทำอีกมาก อย่าให้ความทุกข์ ครอบงำจิตใจเรา จนมองไม่ เห็นแสงสว่าง ที่รออยู่ข้างหน้า ตื่นเถิด การศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรม จะทำให้จิตใจเรา สว่างกระจ่างใจ เกิดสติ เกิดปัญญา นำพาชีวิ ตเรา ให้หลุดพ้น จากโลกมืดได้ "ปัญหามีไว้ให้แก้ มิใช่มีไว้ให้แบก" เพราะฉะนั้น วางลงเถอะ ท่านทั้งหลาย วางลงเถอะ ท่านจะได้รู้สึกว่า มันเบาซักที
* สมาชิก ๒๐๔๙๒๕ จ.อุบลฯ
รสแห่งธรรม ชนะรสใดๆทั้งปวง หากใครเข้าถึง ได้สัมผัสรสธรรมะแท้จริงด้วยใจแล้ว จะไม่สงสัย ในคำกล่าวนี้เลย - บ.ก.

 

 

ตอบแทนอย่างไร
ดิฉันได้รับหนังสือทุกเล่ม รู้สึกเกรงใจมาก ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ตัวดิฉันรู้สึก เป็นหนี้บุญคุณ ไม่รู้ว่า ทางสมาคม ผู้ปฏิบัติธรรม จะให้ดิฉันตอบแทน ทางสมาคมฯ ได้ทางไหนได้ ยินดีทำตาม ด้วยความเต็มใจ จริงๆ

การปฏิบัติธรรมของดิฉันตอนนี้ ก็คือรักษาศีล ๕ แน่นอน ๑๐๐% ดิฉันตั้งใจกินอาหารมังสวิรัติมาได้ ๓ เดือนแล้วค่ะ ทำอาหารกินเอง เริ่มมาตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๔ ดีมากค่ะ ตอนแรก ก็ได้แต่คิด แต่ไม่ลงมือปฏิบัติจริง กลัวหลายอย่าง กลัวพ่อแม่ พี่น้องว่าให้ หรือกลัวพวกเขารังเกียจ ก็เลยทำให้ ดิฉันได้คิด เป็นเวลาเกือบ ๒ ปี

พอตั้งใจกินจริง ดีเหลือเกิน รู้สึกเบาสบาย ทั้งกายและใจ พ่อแม่ พี่น้อง ก็ไม่มีใครว่าให้ ปัญหาอะไรก็ไม่มี

หนังสือดอกหญ้า และสารอโศก ดิฉันได้รับทุกเล่ม อ่านแล้วดีมาก ให้สติ ให้ปัญญา ดีมาก ดิฉันจะพยายาม เผยแพร่ และแนะนำผู้อื่น แต่ยากมาก หาคนที่สนใจธรรมะจริงๆยาก (แถวบ้านดิฉัน น่ะค่ะ) ถ้าดิฉัน อยู่ใกล้ ทางสมาคมฯ ดิฉันจะมาเป็นประจำจริงๆ หวังว่าทางสมาคมฯ คงส่งหนังสือให้ ดิฉันอ่านต่อไปนะคะ
ดิฉันได้ส่งแสตมป์ มาให้ ๕๐ ดวง
* นิตย์ เทพสุทะ จ.ลำปาง
ทางสมาคมฯมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย แต่หากคุณคิดว่าจะช่วยเหลือกัน ก็ช่วยเป็นคนดี ของสังคม โดยตั้งใจ ถือศีล ๕ ละอบายมุข กินอาหารมังสวิรัติ อย่างเต็มใจเถิด - บ.ก.

เดินตามรอยพ่อท่าน
เรื่องฆ่าสัตว์ตัดได้เยอะเลยครับ และอบายมุขก็เลิกได้หมดทุกอย่างแล้วครับ ตอนนี้ผมทานมังสวิรัติ มื้อเดียว มาตลอด สิบกว่าปีแล้วครับ ถือศีลกินเจมานาน และขอกินเจ ตลอดชีวิตครับผม ตั้งแต่ ทานมังสวิรัติมา โรคในตัวผม ที่เคยปวดเมื่อยก็หาย และโรคความดัน ก็หายหมดนะครับ ไม่ทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ผมกลัวบาปครับ ผมเชื่อในหนังสือ ที่ท่านส่งมา ผมอ่านดูแล้ว ผมก็ปฏิบัติตาม

เมื่อก่อน ผมเป็นคน ดุมากเลยครับ ถ้าใครมาลักของผม คิดจะเอาให้ตายเลยครับ แต่เดี๋ยวนี้ ผมใจเย็นมาก ผิดกับเมื่อก่อน เยอะครับ ผมรู้ตัวของตัวเองว่า ผมเป็นคนใจเย็น และใจดีขึ้น มีใจเมตตา และสงสารคนยาก คนจนมากครับ บางครั้ง กล้วยที่สวนแก่ ผมก็ตัดเครือที่แก่ มาบ่มให้สุกๆ แล้วก็เอาไปแจก คนจนทุกคน ที่ข้างบ้านผม แล้วยังเมตตา เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่เกิดมาร่วมโลกเดียวกัน ครับ เมื่อก่อนพวกเขาว่าผม เป็นคนไม่ดีบ้าง หาว่าผม เป็นคนบ้าบ้าง เป็นคนสติเสียบ้าง เป็นคนอะไร กินข้าวมื้อเดียว แต่ผมอดทน ทำได้สำเร็จ เดี๋ยวนี้พวกเขา เป็นหนี้เป็นสิน กันเยอะเลยครับ ผมมีแต่ ความสุขความเจริญ และครอบครัวผม ก็อบอุ่น ดีครับ ฐานะผมก็ดีขึ้นกว่า เก่าเยอะนะครับ สุขภาพก็แข็งแรง จิตก็ดีขึ้น เพราะเดินตามรอยพ่อท่าน ลูกจึงพบแสงสว่าง และหมดทุกข์
* ม.ล.วิเชียร เพลิงสงเคราะห์ จ.สิงห์บุรี
พ่อผู้ผ่านพ้นโลกีย์
สอนดีวิธีดับทุกข์
ลูกทำตามไม่ยั้งหยุด
พบสุขแสงธรรมส่องใจ
- บ.ก.

 

 

ภูมิใจมากกว่า
สิ่งที่กระผมได้จากการอ่านหนังสือของสมาคมฯ และจากการฟังรายการของท่านจันทร์ ท่าน เสียงศีล และ ฟังเท็ปของพ่อท่าน สิ่งที่ผมได้รับคือ ภูมิคุ้มกัน ที่จะอยู่กับโลกปัจจุบัน อย่างไม่เป็นทุกข์นัก ยังทานอาหาร มังสวิรัติ อยู่เป็นประจำ ไม่ดื่ม-สูบ-เสพย์ ในสิ่งที่เป็นอบายมุข เลิกดื่มน้ำอัดลมมา จนบัดนี้ การพนัน เที่ยวกลางคืน เลิกอย่างเด็ดขาด

แต่สิ่งที่ผมได้กับตัวเอง กระผมก็ยังภูมิใจน้อยกว่า สิ่งที่ได้กับครอบครัว คือ คุณพ่อ คุณแม่ เคยชอบซื้อหวย แต่ตอนนี้ ท่านเลิกแล้ว คุณแม่วันนี้ ขยันขึ้น และ เลิกทานน้ำแข็ง น้ำอัดลม โดยเฉพาะ น้องสาวคนเล็ก เธอได้รับสิ่งที่ดีๆมากมาย เช่น ทานอาหารวันละ ๑ มื้อ ทานมังสวิรัติ ขยันขันแข็ง ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน ไม่ทานลูกอมทอฟฟี่ ในขณะนี้ เธอกำลังจบม. ๖ ไปสอบเอ็นทรานซ์ เข้าที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แม้บางข้อ เธอจะปฏิบัติได้ขาดๆ เกินๆอยู่บ้าง แต่กระผมก็หวังว่า เธอจะปฏิบัติ ดีขึ้นๆ เป็นความภูมิใจ ของกระผม มากครับ
* อนันต์ พรมมูล จ.เชียงราย
เราได้ดิบได้ดีแล้ว น่าภูมิใจนัก แต่ถ้าคนรอบข้างเราได้ดีด้วย นั่นยิ่งน่าภูมิใจมากกว่า เพราะดีอยู่คนเดียวนั้น สุขน้อย - บ.ก.

โง่ ! แล้วอย่าขี้เกียจ
ดีใจค่ะที่ได้เขียนมาอีก ฉบับนี้ก็อยากจะเขียนมาเล่าความรู้สึก ตอนที่ไปฝึกงาน ที่โรงพยาบาล ให้ฟังสักนิดค่ะ หนูได้มีโอกาสไปฝึกงาน ในโรงพยาบาล ในช่วงปิดเทอม เป็นเวลา ๕ วัน ที่ โรงพยาบาล เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

ปกติตอนที่อยู่ที่บ้าน ค่อนข้างจะอยู่กับ ธรรมชาติ อยู่กับสิ่งดีๆ ทั้งทางกายและใจ สมาชิก ในครอบครัว ของหนู จึงไม่ค่อยมีใคร เป็นอะไรเท่าใดนัก หมายถึงทุกคนมีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่ค่อยป่วยน่ะค่ะ พอไปฝึกงาน ที่โรงพยาบาล ได้พบพานคนไข้ ผู้ป่วยมากหน้าหลายตา จึงเพิ่งจะรู้สึกว่า ตนเองมองโลก แคบเกินไป หากเปิดตาเปิดใจมากขึ้น ก็จะพบว่ายังมีผู้คนอีกมากมายนัก ที่ต้องทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ

ที่นั่นสอน ให้หนูรู้จักคำว่า "เสียสละ" มากขึ้น ที่นั่นหนูได้เจอคุณตาคนหนึ่งค่ะ ท่านเป็นโรคตับแข็ง ท่านมีญาติก ็เหมือนไม่มี ญาติๆของท่าน ไม่เคยมาเยี่ยมท่านเลย เวลาท่านพูดถึงลูกๆทีไร
ท่านก็ร้องไห้ มันทำให้หนูคิดถึงยาย หนูเคยทำไม่ดีกับยายไว้มากมาย คุณตาท่านนั้น ทำให้หนูรู้สึกว่า รักคุณยายของหนู ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ นั่นอาจจะเป็นสิ่งดีๆ ที่หนูได้มาจากที่นั่น

หลังจากนั้น ทุกๆเที่ยงวัน หนูก็ไปเยี่ยมเยียนท่านทุกๆวัน ซื้อขนมบ้างนมบ้างไปฝากท่าน รู้สึกดีใจค่ะ ที่ได้ให้อะไรดีๆกับคนอื่นบ้าง แม้จะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกัน ท่านทำให้หนูรู้สึกว่า สิ่งที่หนูกำลังนั่ง อมทุกข์อยู่ มันช่างน้อยนิดกว่า ที่ท่านได้รับมากนัก

เรื่องประทับใจอีกเรื่องก็คือ "การกล้ำกลืนฝืนทนดื่มคำตำหนิ" เรื่องก็มีอยู่ว่า ช่วงที่หนูไปฝึกงานที่โรงพยาบาล หนูจะต้องเจอกับ ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกวัน หนูยังจำชื่อท่านได้ ติดอยู่ในหัวสมอง มาจนถึง ทุกวันนี้เลยค่ะ ท่านชื่อ น.พ.สุกิจ ทิพทิพากร ท่านเป็นผู้จุดประกาย ให้หนูเกิดแรงมุมานะ ทั้งในการเรียน การศึกษา และการปฏิบัติธรรม วันแรกที่เจอท่าน ท่านถามถึงความรู้ ทางชีววิทยา ตั้งแต่ชั้น ม.๔ ขอนับถือ ท่านจริงๆค่ะ ท่านเป็นบุคคล ที่มีความจำเป็นเยี่ยม อ่านใจคนออก เป็นที่หนึ่ง ท่านเป็นผู้ที่รู้จัก ใช้วาจา ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ได้อย่างยิ่งยอด

ท่านบอกกับหนูว่า ท่านจำระบบร่างกาย ระบบนั้น ระบบนี้ ของร่างกายไม่ได้ ให้หนูช่วยเล่า ให้ฟังที พอหนูเล่าไม่ได้ ท่านก็เล่าให้ฟังซะเอง แบบละเอียด ถี่ถ้วน ทุกกระบวนการ ความจำท่านยอด เยี่ยมจริงๆค่ะ พอเล่าจบท่านก็พูดขึ้นว่า "โง่จริงๆ เด็กพวกนี้ แบบนี้ น่าจะเอาควาย ให้ซักคู่ เอาไปไถนา จะได้ไม่ต้อง มานั่ง ท่องชีววิทยา หรือถ้า ขี้เกียจอีกหน่อย ก็ น่าจะไปเปิดร้านตัด ผมนะ ไม่น่ามาเรียน ให้เสียเวลา ถามอะไร ก็ตอบไม่ได้ โง่แล้ว อย่าขี้เกียจสิ หมอน่ะถึงจะโง่ก็ขยัน โง่แล้วขี้เกียจ จะไปทำอะไรกิน"

หนูบอกได้เลยค่ะ ฟังตอนนั้นโกรธ โกรธมากๆ แต่พอได้เห็นการทำงานของท่าน ก็น่ายกย่องนะคะ ท่านจะมาถึง โรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อสำรวจความเรียบร้อย เวลามีคนไข้มา ถ้าท่านเห็นว่า อาการไม่สาหัส จนเกินไป ท่านก็จะมาคุยด้วย แบบเป็นกันเอง คนไหนที่ป่วยนอนครางโอยๆมา ท่านก็จะพูดปลอบ ขนาดที่ได้ยินแล้ว ยังแอบอิจฉาคนไข้ และเท่าที่สังเกตดู วาจาปลอบของท่านดู ท่าทาง จะได้ผลมาก ทีเดียวค่ะ เพราะคนไข้คลาย อาการทุกข์ร้อนลงมาก แต่อีกใจของหนู ก็ยังฝังใจ เรื่องที่โดนตำหนิไม่หาย กลับมาถึงบ้าน ก็อ่านๆๆ และอ่านหนังสือแบบมุทะลุ

และถึงแม้ วันสุดท้าย ของการฝึกงานจะมาถึง หนูก็ยังอดมีอคติ ต่อท่านไม่หาย จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน หนูยังเขียน ติดข้างฝา ในห้องนอนเลยนะคะว่า "โง่! แล้วอย่าขี้เกียจ" กลับมาอยู่บ้านก็หลายวัน ช่วยพ่อกับแม่ ทำงานนิดๆหน่อยๆ ไม่มากมายอะไร ก็เลยค้น หนังสือ ดอกหญ้าเก่าๆ ออกมาอ่านค่ะ โอ้โห! เจอเต็มๆ เลยค่ะ นี่เลยค่ะ แผนที่สู่ขุมทรัพย์ ดอกหญ้าเล็กๆ ผุดขึ้นในใจ เมื่อหยิบ หนังสือดอกหญ้า เล่มนั้นขึ้นมาอ่าน หนังสือดอกหญ้าชุด "ดื่มคำตำหนิ" ค่ะ อ่านแล้ว ตรงกับตัวเอง เผงเลยค่ะ ตอนนี้ ความรู้สึกอคติ ที่มีต่อท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาล เหือดหายไป อย่างรวดเร็ว หลังจาก ที่หลงผิด มาเสียนาน

แค่เพียง ๕ นาที แค่คำๆเดียว ก็สามารถลบล้าง อคติออกไปได้ ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ "ดื่มคำตำหนิ" ตอนนี้ รู้ซึ้งแล้วค่ะ ไม่มีอคติต่อท่านอีกแล้ว เหลือไว้แต่รอยประทับใจ รอยซาบซึ้ง ปลาบปลื้มใจ เท่านั้นค่ะ ท่านคือแบบอย่างที่ดีจริงๆ ขอบคุณหนังสือดอกหญ้ามากค่ะ ที่ทำให้คนหลงผิด ไปชั่ววูบชั่วคราว เช่นหนู เดินเบนกลับมาบนเส้นทาง ที่ถูกต้องอีกครั้ง

ที่ท่านพูด เมื่อพิจารณา ตามความเป็นจริง พบว่า เป็นความจริงทุกประการค่ะ เพราะเรานอกจากโง่ ! แล้วยังขี้เกียจอีก ทุกอย่าง จึงหย่อนยานไปหมด ทั้งด้านการศึกษาเล่าเรียน และด้านการปฏิบัติธรรม น่าขอบพระคุณ ทั้งหนังสือ ดอกหญ้า และสารอโศก รวมถึง น.พ.สุกิจ ทิพทิพากร มากจริงๆค่ะ ที่ทำให้หนูกลับมา ยืนบนจุด ที่ควรจะยืนอีกครั้ง ต่อให้ขอบพระคุณ สักพันครั้งหมื่นครั้ง ก็คงจะเทียบไม่ได้ กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น "คำตำหนิ" อาจเจ็บปวด แต่มันคือความจริง ที่เราต้องแก้ไข "ดื่มคำตำหนิ" อาจต้องกล้ำกลืน ฝืนทน แต่ก็ต้องดื่ม หากรักที่จะเดิน บนเส้นทางสายธรรม "ดื่มคำตำหนิ" อาจขื่นขม ราว "ดื่มน้ำบอระเพ็ด" แต่คงไม่มีใครตาย เพราะยาขม ดังคำโบราณที่กล่าวว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

เราดื่มยาขม เพื่อรักษาโรค ฉันใดก็ฉันนั้น เราก็ต้องทน "ดื่มคำตำหนิ"ให้ได้ เพื่อรักษาธรรม หัดเปิดใจให้กว้าง เราจะพบสิ่งที่ดีกว่า "ดื่มคำตำหนิ" อาจเจ็บปวด แต่มันไม่เคยฆ่าใคร หัดทำใจไว้บ้าง หัดมองอย่างใจกว้าง มิใช่ใจที่คับแคบ

เราจะพบว่า "คำตำหนิ" มีค่าควรแก่การบูชายกย่อง หวานหอมกว่า "คำชื่นชม" เป็นไหนๆ
* นงนุช พรมมูล จ.เชียงราย
อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ขอบอกว่าซาบซึ้งใจนัก ตื้นตันใจเกินกว่าจะหาคำมาเอื้อนเอ่ย เป็นจดหมาย ที่มีค่ามากมหาศาล สำหรับคณะผู้จัดทำหนังสือ ของชาวอโศกทุกๆคน - บ.ก.

 

คุณค่าของอุปสรรค
อาตมาได้ประโยชน์มากทีเดียว ทำให้ได้รู้ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่หาไม่ได้จากสังคม (สังคมกลุ่ม นักบวช ภายนอก) ข้างนอก แต่ได้อ่านสื่อสิ่งพิมพ์ของอโศก ทำให้เห็นอะไรหลายอย่าง และยิ่งได้เข้าไป ทำความรู้จัก มักคุ้นกับ เหล่าสมณะ และญาติธรรม ทำให้เห็นแนวทางการปฏิบัติดีขึ้น

เมื่องานล่าสุด ที่ศีรษะอโศก "งานปลุกเสกฯ" ก็มีโอกาสเข้าไปศึกษา ได้ฟังธรรมของพ่อท่าน และสมณะ สิกขมาตุฯ เห็นรูปแบบทำให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้น ว่าเรายังมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่กล้าทวนกระแส กับสังคม ภายนอก ที่มักจะดึงเรา เลวร้ายลงทุกที แล้วก็ยิ่งทำให้กล้า ที่จะทำเช่นนั้นบ้าง แต่ที่มี อุปสรรคบ้าง ก็เกี่ยวกับเรื่อง การฉันมังสวิรัติ ก็อย่างที่รู้กันว่า สังคมนอกจาก อโศกแล้ว มีน้อยเหลือเกิน ที่ฉันมังสวิรัติ อาตมาอยู่กับสังคมภายนอก ก็ต้องฝืน ฝืนกับความอยาก ความเคยชิน ก็ทำมาได้พักหนึ่งแล้ว แล้วก็จะทำต่อไป ข้อนี้แหละรู้สึกว่า หนักทีเดียว

สิ่งที่ได้อีกอย่างก็คือ การเรียนวินัย และเรียนรู้ศีล ตั้งแต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ก็จะทำต่อไป แม้จะโดนเยาะเย้ย พูดเหน็บแนม โดนถากถาง จากนักบวชภายนอกก็ตาม ว่าเป็นผู้เลี้ยงยาก ลูกน้องเทวทัต อะไรต่อมิอะไร ที่เขาพึงนึกได้ แต่ก็คิดว่า มันเป็นธรรมดา จะทำอะไร มันมักมีอุปสรรคเสมอ หากได้อะไรมาง่ายๆ สิ่งนั้นคงไม่มี คุณค่า เท่าใดนัก
* พระมหามหิดล จ.นครราชสีมา
พ่อท่านแปลคำว่า "อุปสรรค" คือการเข้าใกล้สวรรค์ หมายถึงการที่ได้ประพฤติปฏิบัติให้ดี สู้กับปัญหา ที่เกิดขึ้น ได้ลดละ กิเลสตน จนสามารถใกล้นิพพานเข้าไปทุกที - บ.ก.

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕)