หน้าแรก >สารอโศก

ไร้บุญนิยม สังคมอันตราย - ป.ปรีดา [email protected]
สัก (tattoo)... ความปลอดภัยที่ต้องคำนึง

ในครั้งอดีต เมื่อพูดถึงรอยสัก ซึ่งหนุ่มไทยนิยมสักกันนักสักกันหนา และมีความเชื่อว่า ทำให้อยู่ยงคงกระพัน บางคนเชื่อเลยเถิดไปว่า เป็นเครื่องรางของขลัง จนทำให้ชาวพุทธ พากันเข้าใจผิดว่า รอยสัก เป็นเรื่องของ ศาสนาพุทธไปเสียแล้ว

ความจริงรอยสักเกิดขึ้นจากเหตุใด?
หากผู้เขียนจะคาดเดา ก็อาจเป็นเพราะสมัยเกิดศึกสงคราม การสักทำให้ทหารหาญ หรือ ชายฉกรรจ์ เกิดจิตใจฮึกเหิม ในการต่อสู้ กล่าวกันว่า หากรอยสักใด ที่ผู้สักเชื่อถือละ ก็ทำให้แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก อะไรทำนองนั้น

ยุคโบราณกาล สำหรับเมืองไทยรอยสักจึงมีแต่ ในเพศชายเท่านั้น โดยมุ่งเน้นสัก เพื่อคงกระพันชาตรี ส่วนใหญ่จึงสักเป็นอักขระ อักษรขอม สักลงบนผิวหนัง พร้อมคาถากำกับ ทำให้ขลัง อาจกล่าวได้ว่า รับอิทธิพล มาจากขอม ต่อมา จึงสักเป็นรูปสัตว์ ที่น่ากลัว อาทิ เสือ จระเข้ นกอินทรี งูเห่า ทั้งนี้มุ่งให้ผู้พบเห็น เกรงขาม

ลูกพี่ลูกน้องของผู้เขียนคนหนึ่ง หลังจากที่ได้สักภาพหนุมาน ไว้ที่แขนแล้ว อาการฮึกเหิม ถึงขั้นปีนขึ้นไป บนยอดภูเขาทอง ในกรุงเทพฯ ทำท่าจะกระโดดลงมา หลายครั้ง หลายครา โชคดีที่พ่อแม่ เครือญาติ ห้ามไว้ได้ทัน แม้ต่างจะมีใจ หวาดเสียว และเล่าให้ผู้เขียน ฟังว่า เขาต้องการลองของ (คือรอยสัก) ว่าจะแน่ แค่ไหน เหาะได้เหมือน หนุมานหรือไม่ โดยเขาไม่มี ความกลัวใดๆเลย แต่คนอื่น เห็นอาการนั้น ก็อดหวาดเสียว และเป็นห่วงไม่ได้

ยุคสมัยเปลี่ยนไป แม้จะเข้าสู่ยุคไร้พรมแดน หรือยุคใยแก้วนำแสงแล้ว ก็ตาม รอยสัก ก็ยิ่งระบาด ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นไทย หรือเทศ แต่มีวัตถุประสงค์ ต่างกันกับ สมัยก่อน โดยเฉพาะ คนไทย จะเห็นได้ชัดเลยว่า ลัทธิตามอย่าง จะเริ่มมาจากแดนใด ผู้เขียนไม่ทราบ ทราบอีกครั้ง เมื่อเห็นรอยสักกลับมา เป็นแฟชั่น ระบาดอยู่ทั่วไป ในสังคมไทย และ เป็นที่นิยมกัน ทั้งในวงการบันเทิง หนุ่มสาว หรือคู่รัก ที่สักชื่อของกัน และกันไว้ในตัว อย่างนี้ เป็นต้น

ผู้เขียนทราบจาก history of tattoo ว่ามีนักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า รอยสักปรากฏ ในร่างกาย ของมัมมี่ ๓๓๐๐ ปี ก่อนคริสตศักราช บางแห่งก็ว่า มีในร่างกาย ของมัมมี่ ในอียิปต์ และ นูเบียน ๒๐๐๐ ปี ก่อนคริสต ศักราช ดังนี้ เป็นต้น ชาวกรีก และ บรรพบุรุษ ของชาว เยอรมัน, ชาวกอลส์ (ยุโรปตะวันตก ในยุคโบราณ รวมทั้งทางตอนเหนือ ของอิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และทางใต้ ของเนเธอร์แลนด์) ชาวอังกฤษ โบราณ ก็มีรอยสักเช่นเดียวกัน แต่สำหรับ คริสเตียนแล้ว รอยสักกลับเป็น สิ่งต้องห้าม ในแถบยุโรป ส่วนในญี่ปุ่น สักเพื่อแสดง ความเป็นสมาชิกในแก๊ง ทางตะวันตกถือการสัก เป็นศิลปะ อย่างหนึ่ง เพื่อความสวยงาม

ในส่วนของกะลาสีเรือแล้ว รอยสักกลับเป็นที่นิยม ตั้งแต่สมัย กัปตันคุก ในปีคริสตศักราช ๑๗๐๐ กว่านั้น รอยสัก นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ดึงดูดใจ ของทหารเรือมาแล้ว

การสักไม่ง่ายอย่างที่คิด และต้องทนเจ็บไม่น้อยเลย ผู้ปรารถนา รอยสักบนผิวหนัง ก็ไม่กลัว สามารถ ทนเจ็บได้ หากเป็นรอยสักใหญ่ ต้องใช้เวลาสักนาน หลายชั่วโมงก็ยังยอม

มีคำเตือนจากวงการแพทย์ว่า การไปให้เขาสักนั้น มีโอกาสติดเชื้อ เพราะเข็มที่ใช้สัก หากไม่ได้ ทำความสะอาด ด้วยการฆ่าเชื้ออย่างดี หรือ ไม่ได้ใช้เข็มใหม่ทุกครั้ง (คงจะเปลืองมาก ถ้าจะต้อง ใช้เข็มใหม่ ซึ่งผู้บริการ คงไม่ลงทุน) เชื้อเอชไอวี ที่แพร่ระบาดจึงพบได้ เข็มที่แทง ลงไป มีเลือดซิบๆ ไหลออกมา หากผู้สัก ไม่ใส่ถุงมือป้องกัน หรือเลือดนั้น กระเด็น ไปถูกใคร ก็ย่อมแพร่กระจาย และติดเชื้อได้ ทั้งไวรัสตับอักเสบ โรคเอดส์ หรือ โรคที่ติดต่อ ทางโลหิต นับว่าเสี่ยงมาก ทั้งผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ "สัก"

จึงขอเตือนเพื่อนพ้องน้องพี่ที่คิดจะไปสัก เพื่อให้ทันยุคทันสมัย หรือเพื่อจะเอาใจ คนพิเศษ อย่าได้กระทำ เช่นนั้นเลย ยังมีวิธีอื่นๆ ที่จะแสดงออก ให้คนพิเศษ ของใครบางคนทราบ ประการสำคัญ เมื่อสักเสร็จ เรียบร้อยแล้ว วันใดคิดจะลบรอยสัก โดยเฉพาะ เกิดเปลี่ยนใจ ได้แฟนคนใหม่ จำเป็นต้องไปลบรอยสัก ที่เป็นชื่อ แฟนคนเก่าทิ้ง ทีนี้คงยุ่งยากมากๆ และ เจ็บยิ่งกว่า ตอนสักเสียอีก ประการสำคัญ อาจไม่สามารถ ลบได้หมด หรือลบไม่ได้เลย ก็เป็นได้ และ มีหวังติดเชื้อ จากการลบอีก จึงขอให้ท่านผู้อ่าน พิจารณา และ กล่าวเตือน ผู้ที่จะไปสักว่า ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมีโทษ มากกว่ามีคุณ น่าจะหาวิธีอื่น ในการแสดงออก แทนการสัก จะดีกว่า

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๑ สิงหาคม ๒๕๔๕)