พระบรมราโชวาท แถลง ชนะใจ - ชนะภัย (ไฟ)
น้ำท่วมบ้านราช สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
พระพุทธเจ้ากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ
จดหมายจากญาติธรรม รายงานจากพุทธสถาน
สรุปรายงานการประชุมองค์กรต่างๆ ของชาวอโศก ใต้ร่มอโศก
เก็บเล็กผสมน้อย น้ำฉี่ดีจริงหรือ? ไร้บุญนิยมสังคมอันตราย
กรรมตามสนอง ดวงตามที่สาม หอมดอกพุทธา

ตอน .....
กว่าจะรู้เดียงสา

พระท่านว่า"คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" เรื่องที่ผู้เขียนจะนำมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจบรรดาลูกๆ ให้ได้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่หัวดื้อคนหนึ่ง ที่หลงผิดไปคบกับเพื่อนๆที่เป็นคนพาล ด้วยความไร้เดียงสาเขาคิดว่า เพื่อนดีกว่าพ่อแม่ของเขา แม้ผู้เป็นพ่อเป็นแม่จะบอกจะสอนเขาอย่างไร เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง สุดท้ายกว่าจะรู้เดียงสา ตัวเขาก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ดังเรื่องที่เขาได้เล่าให้กับผู้เขียนฟังดังต่อไปนี้......

เขาชื่อ นายสายันต์ อิ่มสมบัติ อายุ ๓๖ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๔๐ บ้านหินลาด ต.บ้านค้อ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ปัจจุบันเป็นคนขาพิการทั้งสองข้าง อาชีพคือรับจ้างซ่อมวิทยุโทรทัศน์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด

เขาเล่าว่า.....ก่อนนี้ผมไม่ได้เป็นคนขาพิการแบบนี้ ตอนอายุ ๑๕ หรือ ๑๖ ปีนั้น เป็นคนชอบคบเพื่อนเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะเพื่อนแต่ละคนใช้ไม่ได้ทั้งนั้น คือเป็นคนชอบเที่ยวเตร่สำมะเล-เทเมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะสูบบุหรี่ กินเหล้า เสพยาบ้า เรียกได้ว่า ครบสูตรในความไม่ดีทุกอย่าง แต่ตอนนั้นผมเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นเพื่อนชั่วเป็นเพื่อนดี ไปเสียทุกคน

นิสัยใจคอของผมตอนนั้น เป็นคนใจร้อน หงุดหงิด ฉุนเฉียว โมโหร้าย ชอบเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ หากใครพูด ใครทำอะไรไม่ถูกหู ไม่ถูกตา ไม่ถูกใจละก้อ ผมจะด่า จะว่า จะทำร้าย ทำลายข้าวของต่างๆนานา

โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่ ผู้มีพระคุณของผม หากท่านทำอาหารไม่ถูกปากถูกใจของผมละก้อ ผมก็จะพาลหาเรื่อง ด้วยการลุกขึ้นเตะสำรับกับข้าว กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เป็นประจำเสมอมา

แม้ผู้เป็นพ่อจะเฝ้าอบรมสั่งสอนผมอย่างไร ผมก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านจะสั่งสอนผมอยู่เสมอว่า "เวลาโมโหน่ะ อย่าไปเตะเลยสำรับกับข้าว มันจะเป็นบาปเป็นกรรมต่อตัวของลูกในภายหลัง ระวังแข้งขาจะเน่าจะหักนะ อันบุญคุณของข้าวน้ำแต่ละคำนั้นมีมากมาย เวลาเราหิวข้าวน้ำมา หากไม่ได้กินข้าวกินน้ำ เราก็จะเหนื่อยจะเพลีย สุดท้ายเราก็จะตาย

อีกอย่างข้าวแต่ละคำ แต่ละเมล็ด กว่าจะสุกมากองอยู่ในจานนี้ พวกชาวนาอย่างพ่อแม่ก็ต้องทนทำนา ทนหนาว ทนร้อน ทนเหนื่อย ทนยาก ทนลำบาก สารพัดอย่างกว่าจะได้ข้าวมาให้เรากินกัน

ลูกต้องคิดเห็นบุญคุณของผู้ทนทำนา ให้เราได้กินข้าวนะลูก อย่าประพฤติตัวเหลวไหลอย่างนี้อีกเลยลูก" ผมฟังจนชินหู แต่ผมไม่เอาใจใส่ต่อคำสั่งสอนนั้น ยังคงทำกรรมชั่ว ทำกรรมเลวๆ แบบนั้นเรื่อยมา..

เพราะผมติดเพื่อนเกเร ติดการเที่ยวเตร่ ในใจของผมตอนนั้นไม่เคยคิดว่า บาป-บุญ-กรรม-เวร มันจะมีจริง คิดเพียงว่าเรื่องบุญบาป เรื่องของกรรมเวรภัย มันเป็นเพียงนิทานที่คนแก่หัวโบราณเล่ามา เพื่อหลอกเด็กหัวอ่อนให้กลัวเกรงเฉยๆ

ตอนนั้นคิดว่า ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ใจมันหงุดหงิดไปเสียทุกอย่าง มันต้องระบายความหงุดหงิด รำคาญตารำคาญใจ ด้วยการด่าอย่างหยาบๆคายๆ ด้วยการเตะทำลายข้าวของต่างๆนานา มันถึงจะหายรำคาญใจ

ผมติดเพื่อนชั่วเพื่อนเลว ผมจึงไม่ค่อยสนใจเรียน เอาแต่เที่ยวกับเพื่อนๆ เพื่อนๆเขาพาผมเที่ยวกินสูบดื่มเสพ เรียกว่า สุรานารี ยาบ้า สารพัดอย่าง เมื่อพ่อแม่ดุด่า บอกสอนผมหนักเข้า ผมรำคาญมาก เลยหนีออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนๆเลย

ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๓๖ อายุผมตอนนั้นคงจะ ๒๗ ปี ผมได้ยึดอาชีพขับรถตุ๊กๆ สามล้อเครื่อง รับจ้างส่งผู้โดยสารอยู่ในตัวเมืองขอนแก่น

วันหนึ่งของเดือนกรกฎาคม ผมดื่มเหล้า สูบยาบ้ากับเพื่อนๆจนเมามายเหมือนกับทุกวันที่พวกผมเคยทำมา แต่ทว่าวันนั้นผมรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมาก คงเป็นเพราะหาเงินไม่พอกับค่าเช่ารถ แถมเพื่อนๆที่เคยรักกัน ก็มาทำให้ผิดใจเสียอีก และปัญหาอีกหลายๆอย่างวันนั้นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง ผมได้รับผู้โดยสารคนหนึ่ง เขาให้ผมไปส่งยังหมู่บ้านหนองแวง ทางจะไปอุดรฯ หลังจากผมส่งผู้โดยสารคนนั้นแล้ว ผมก็ขับรถสามล้อกลับมาเส้นทางเดิม คือถนนมิตรภาพ ขับรถมุ่งตรงสู่ตัวเมืองขอนแก่น

ขณะขับรถกลับผมรู้สึกหงุดหงิดใจมาก อยากจะทำอะไรสักอย่างให้มันหายหงุดหงิด ดังนั้นผมจึงขับรถเร็วมาก เร็วเอามากๆเลย ไม่นานผมก็ขับรถมาถึงสี่แยกป้อมยามตำรวจ พอดีสัญญาณไฟแดงก็ขึ้นมาทันที

ในใจของผมตอนนั้นเหมือนมีเทวดามาเตือนว่า หากขับรถฝ่าไฟแดงออกไป รถสามล้อของเราก็จะไปชนกับรถของคนอื่นเขา หากรถของเขามีลูกเล็กเด็กแดงโดยสารมาด้วย เด็กเหล่านั้นไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร เขาจะไม่ตายหรือ อย่าเลย เดี๋ยวเราจะเป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ

พอคิดได้แค่นั้น....ครั้นจะเบรครถ ก็ไม่ทันเสียแล้ว ผมจึงตัดสินใจหักรถเปลี่ยนเส้นทางใหม่ทันที พอผมหักรถเลี้ยวเท่านั้นเอง รถผมขับมาด้วยความเร็วสูง มันก็เสียหลักพลิกคว่ำทันที ด้วยแรงของความเร็ว.....พอรถล้มลงเท่านั้น มันก็กลิ้งไปตามถนนไม่รู้กี่ตลบ

เมื่อรถหยุดนิ่ง สติผมยังมีอยู่ หูของผมได้ยินเสียงผู้คนที่มามุงดูเซ็งแซ่ไปหมด และคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยิน คงจะเป็นตำรวจที่ป้อมยามพูดว่า ทำไมขับรถมาเร็วอย่างนี้ แล้วความรู้สึกต่างๆของผมก็ดับวูบไป.......

มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เป็นวันใหม่เวลา ๘.๐๐ น. ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น หลังจากที่ผมรู้สึกตัวแล้ว ก็เห็นคุณหมอใช้เครื่องช่วยหายใจให้ผม และคำพูดในตอนหนึ่งของคุณหมอ ท่านบอกว่า "คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก จะต้องผ่าตัดหลายแห่ง และเส้นประสาทไขสันหลังของคุณมันขาดเสียแล้ว หมอไม่สามารถช่วยได้ คุณจะต้องกลายเป็นคนขาพิการ เป็นอัมพาตเดินเหินไม่ได้ไปตลอดชีวิตแล้วนะ"

พอได้ยินแค่นั้น ให้รู้สึกสลดสังเวชใจมาก คิดไม่ถึงว่า ต้องกลายมาเป็นคนขาพิการ ผมคิดในตอนนั้นว่า ทำไมผมถึงไม่ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทุกวันนี้ผมปลงเสียแล้ว มาคิดได้ในภายหลังว่า มันคงจะเป็นวิบากกรรม ที่ผมเคย

ทำกรรมเอาไว้กับพ่อแม่อย่างมากมายนั่นเอง

เช่นเวลาที่ผมไปเที่ยวกลับมาบ้าน พ่อแม่หาข้าวมาให้ผมกิน ข้าวปลาอาหารไม่ถูกปาก ผมก็จะลุกขึ้นเตะสำรับกับข้าว นี่คงจะส่งผลทำให้ผมกลายเป็นคนขาพิการทั้งสองข้าง เดินเหินไม่ได้ไปตลอดชาติเช่นทุกวันนี้

หลังจากที่ผมฟื้นขึ้นมาแล้ว ผมก็ได้พบกับคุณพ่อคุณแม่และเหล่าบรรดาญาติๆเต็มไปหมด ผมรู้สึกดีใจมาก ที่ท่านเป็นห่วงเป็นใยกับชีวิตของผม ตอนนั้นคิดว่าพ่อแม่จะโกรธจะรังเกียจผมเสียแล้ว แต่ทว่าความรักของท่านที่มีต่อลูก ถึงลูกจะชั่วจะเลวอย่างไร ความรักยังมั่นคงต่อลูก พร้อมที่จะให้อภัยกับลูกๆที่เกเร อย่างผมเสมอ

ในตอนหนึ่งขณะที่ป่วยอยู่หายใจไม่สะดวก อยากจะพูดอยากจะคุยก็คุยไม่ได้ หมอบอกว่าเสลดติดคอเหนียวมาก หมอต้องเจาะคอของผม ใช้สายยางหย่อนลงไปตามลำคอ แล้วดูดเอาเสลดออกมา เป็นเวลาเดือนกว่าๆ ตอนนั้นคิดว่า ผมจะตายเสียแล้ว เพราะมันอึดอัด มันอยากจะพูดก็พูดไม่ได้ ผมมาคิดได้ในภายหลังว่า มันคงจะเป็นผลของวิบากกรรม ที่ผมเคยด่าพ่อแม่อย่างเสียๆหายๆนั่นเอง

ระยะที่ผมเจ็บป่วย นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อนๆที่ผมเคยรัก เคยเที่ยว เคยกินสุกกินดิบมาด้วยกันมากมาย แต่ในยามที่ผมเจ็บป่วยอย่างนี้ จะมีมาเยี่ยมดูกันบ้าง ก็เป็นบางคนเท่านั้น หรือจะเรียกว่า แทบไม่มีมาดู

ผมเอาเสียเลยก็ว่าได้ นี่แหละหนอที่ครูอาจารย์ท่านว่า เพื่อนกินหาง่าย แต่เพื่อนตายนี่ซิหายาก.....

ทว่าคนที่ผมเคยดูถูกเหยียบย่ำ ว่าท่านคือคนแก่หัวโบราณคร่ำครึ! คือคุณพ่อคุณแม่ของผม ท่านกลับเป็นห่วงเป็นใย รักผมดังดวงใจ ท่านเป็นคนป้อนข้าวน้ำ คอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ผม ในยามที่ผมช่วยตัวเองไม่ได้

ท่านเป็นคนคอยให้กำลังใจ ให้ผมต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆอยู่ตลอดเวลา คอยอบรมสั่งสอนผม ให้ผมรู้จักบาปบุญคุณโทษของการคบมิตรชั่ว ของการเที่ยวเตร่ ของการดื่มน้ำเมา

ทุกวันนี้ผมเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ของครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ สุรา ยาบ้า และของมึนเมาทุกชนิด ตลอดจนการเที่ยวเตร่เฮฮา ผมก็เลิกหมดแล้ว นี่หากผมเชื่อคำสั่งสอนแต่แรก ชีวิตก็คงจะได้ดี มีงานมีการทำอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่นี่กว่าผมจะรู้เดียงสา มันก็สายเสียแล้ว

ผมต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ เป็นเวลา ๑๑ เดือน ร่างกายแข็งแรงพอสมควรแล้ว คุณหมอจึงอนุญาตให้ผมกลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน

พอร่างกายของผมแข็งแรงสู่ปกติดีแล้ว ก็คิดว่า คงจะพิการไปตลอดชาตินี้แน่แล้ว จึงขออนุญาตพ่อแม่ไปเรียนเป็นช่างซ่อมวิทยุ-โทรทัศน์ ที่ศูนย์ฝึกอาชีพ ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เป็นเวลา ๑ ปี กับอีก ๖ เดือน ผมก็เรียนจบหลักสูตร แล้วก็ยึดอาชีพซ่อมวิทยุ-โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น หาเลี้ยงพ่อแม่และตัวผม จนกระทั่งทุกวันนี้

ก่อนจากผู้เขียนขอคัดเอาบทธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวงเล่มที่ ๑๑ สิงคาลกสูตร ข้อที่ ๑๙๐ ใจความว่า

"คนชักชวนในทางฉิบหาย คือชักชวนให้ดื่มน้ำเมา เสพสิ่งเสพติดให้โทษ ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆในเวลากลางคืน ชักชวนให้เที่ยวดูการละเล่นมหรสพ ชักชวนให้เล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

ชักชวนให้ไปในทางฉิบหายนี้ พึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นแต่เพียงคนเทียมมิตรเท่านั้น"

- ก่อแก่น -

กลับหน้าแรก

 

   Asoke Network Thailand