หน้าแรก >สารอโศก



ตลาดอาริยะปีใหม่ ' ๔๖ ครั้งที่ ๒๔

ไอร้อนระอุของสงครามโลกที่กำลังจะปะทุ
แสดงถึงจุดอดทนของมนุษย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
มนุษย์พร้อมเข่นฆ่า ทำลายล้างกันให้สิ้นเผ่าพันธุ์
เพื่อสังเวยอัตตายิ่งใหญ่"ของข้าเอง"
มนุษยชาติได้ตกต่ำถึงขีดสุดแล้วจริงๆ
แต่จุดเล็กๆ ภายใต้ขอบฟ้ากว้าง
เป็นจุดเย็น ท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก
ณ จุดนี้ มนุษย์ยอมเสียสละทรัพย์สินเงินทอง
มนุษย์ยอมเสียสละแรงกายแรงใจ
มนุษย์พร้อมช่วยเหลือผู้ยากไร้
มนุษย์พร้อมจะให้และให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ณ แห่งนี้ ตลาดอาริยะ ราชธานีอโศก
อบอุ่นและอบอวลด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ทั้งผู้ให้และผู้รับ ต้อนรับวันปีใหม

เชิญเข้าสู่บรรยากาศตลาดอาริยะต้อนรับปีใหม่ และความหมายของอาการ "เมาดี" ว่าไม่ดีอย่างไร จากบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์.....


ถาม บรรยากาศตลาดอาริยะปีนี้ ต่างจากปีก่อนๆอย่างไรคะ ?
ตอบ มีความก้าวหน้าขึ้นทั้งที่ไปเป็นพ่อค้าแม่ค้าก็รวมตัวกัน ผนึกกัน มีความตั้งใจมาช่วยกันกระทำ แม้แต่ร้านก็เพิ่มขึ้น แต่ที่พักไปก็มี ที่เพิ่มขึ้นก็มี สรุปปีนี้มีร้านเพิ่มขึ้น แต่ละร้าน พยายามเพิ่ม ปริมาณสินค้า ให้มากขึ้น ก็น่าสงสารพวกเราที่เป็นพวกบุญนิยม เราต้องมาเสียสละกันมากขึ้น พวกเราต่างก็ พยายามไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ หรือไม่เอาส่วนเกินมาก จึงทำให้มีเงิน สะสมน้อย เมื่อต้องพัฒนาตัวเอง เป็นผู้เอาไว้น้อยหรือว่าสละให้มาก ในขณะที่ความต้องการ ของประชาชน มีมากขึ้น เราก็ต้องหาวิธีดึงถ่วง อาตมาพยายามพูด ให้เข้าใจว่าไปได้ ได้เท่าไรก็เท่านั้น

ทางด้านประชาชนปีนี้ก็รู้กันมาก มากันมากเป็นเท่าๆตัว ในวันแรกของงานวันที่ ๓๐ ธันวาคม รถติดกัน เป็นกิโลเลย นี่ขนาดต่างจังหวัด คนยังเบียดกันแน่น ต้องเข้าคิวซื้อของ ยาวจนกระทั่งถึงบ่าย ๓, ๔ โมง จนกระทั่ง ต้องแจก บัตรคิว ไป นั่นก็เป็นเรื่องที่เห็นเป็นรูปธรรม ส่วนในเรื่องสังคม ในเรื่องการสร้าง ความเข้าใจ เราก็ทำความเข้าใจกันไป มีประสบการณ์ ก็อธิบายให้ชาวบ้านรู้ว่า เราทำอะไร เช่น อาตมา อธิบายว่า งานของเราเป็นงานพิธีกรรม เหมือนกับเขาจัดงานวัดกัน เพราะงานนี้ก็เหมือนกับงานวัด เนื่องจากเราทำกันอย่างเป็นการกุศลแท้จริง ยิ่งกว่างานวัดทั้งหลาย ผู้จัดงานก็ได้บุญกันทั้งนั้น คนที่เขามารับ เขาก็ได้รับบุญกุศล เป็นส่วนบุญไปด้วย โดยได้รับการเอื้อของพวกเราที่เสียสละ ไม่เหมือน วัดต่างๆ หลายแห่ง ที่จัดงานแล้ว ทางวัดได้เงินได้ทอง แต่งานวัดของเรา ต่างคนต่างได้ทำบุญ คือได้ เสียสละจริงๆ เราจึงได้บุญ ได้กุศลเป็นของเรา ไม่เหมือนวัดอื่นๆ พอจัดงานเสร็จแล้ว บอกว่า เป็นงานบุญ แต่วัดกลับไม่ได้บุญเลย ทั้งผู้จัดงานก็ไม่ได้บุญด้วย เพราะกรรมการครึ่งหนึ่ง วัดครึ่งหนึ่งไง คือ เอาแต่ หาเงินหาทอง ด้วยความโลภโมโทสัน แล้วไปหลงดีใจ ในความโลภนั้น ผิดกับงานวัดของเรา ที่พาตัวเอง มาเสียสละ มาทำบุญจริงๆเพราะวัดก็ต้องพาคนในวัดละความโลภ ไม่ใช่ยิ่งโลภจัด พวกเรา กลายเป็น ทายก หรือเป็นผู้ให้ วัดเป็นผู้ให้ ให้บุญ ให้กุศล ให้คุณค่า ให้ประโยชน์แก่คนอื่นเขา ชาวบ้าน ชาวช่องเขา ก็กลายเป็น ปฏิคาหกหรือผู้รับ แต่เราก็ต้องพยายามฉลาดใช้วิธีการหัดให้เขา โดยอย่าให้เขา เป็นคนละโมบ อย่าเป็นคนเห็นแก่ได้ อย่าเป็นคนตะกละ หัดไม่ให้เขาพยายามเอาเปรียบ ก็สอนเขาซ้อน ด้วยวิธีการต่างๆ สอนให้รู้จักปฏิบัติ มีทั้งป้าย เขียนบอก มีทั้งพูด มีทั้งโฆษณา มีทั้งติงเตือน อะไรต่างๆ นานา ให้เขาได้เห็นว่า การสละดี สร้างการเสียสละ มีพฤติกรรม การเสียสละแก่กันและกัน อย่างใหญ่โต ให้เห็นชัดเจนเลย เราต้องเป็นตัวอย่างในการเสียสละอย่างดีให้ยิ่งๆ การเสียสละ จึงจะเกิดขึ้น กระจายไป อย่างทั่วถึง ไม่ใช่ว่าจะมารวมกันที่จุดเดียว

ถึงวันนี้พวกเราต่างมีร้านรวง มีอะไรต่ออะไรพัฒนาขึ้น โดยเราจะเน้นสินค้าซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐาน มีสารพัดสิ่ง ที่จะเผื่อแผ่ เกื้อกูล แจกจ่าย เจือจานแก่กันและกัน เป็นรูปแบบหรือเป็นพิธีการ ที่มีรูปลักษณ์ อย่างเป็นรูปธรรม ที่ต่างจากงานบุญของวัดอื่นๆ ตลาดอาริยะ ก็เป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น ด้วยเหตุอย่างนี้

ปีนี้ ก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่า เป็นคุณค่าและเป็นสิ่งที่อาตมายิ่งมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นเรื่องที่ถูกต้อง พวกเราเหมือนมาสอบไล่ มาลงสนามสอบจริงปีละครั้ง อย่างการแจกโรงบุญมังสวิรัติ ก็แจกไปแค่นั้นๆ แหละ งานนี้หนักกว่า ต้องเตรียมงานกัน ต้องลงทุน แม้แต่บ้านราชฯเอง ลงทุนด้านเตรียมสถานที่ ลงทุน เตรียมข้าวของ ลงทุนแรงงานทุนรอนต่างๆ หมดกันเป็นล้านๆบาท ซึ่งพวกเราก็ช่วยจ่ายกันไป เสียสละกันไป ให้แก่ประชาชน

การจัดงานอย่างนี้ ความจริงเป็นคนละเรื่องกับงานที่อื่นเขาจัด เขาจัดงานเขาได้เงิน มีวิธีหลอกล่อ หาเงินเข้ากระเป๋าแต่ของเราให้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อที่จะหลอกล่อ หรือ มีการซ่อนแฝง ซ่อนชั้นเชิงอะไร มีแต่การสอนการประพฤติให้เป็นตัวอย่าง แนะนำให้ซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เอื้อเฟื้อจริงๆ จนกลายเป็นพิธีกรรมที่มีรูปแบบของการจัดองค์ประกอบต่างๆที่เป็นงาน ให้เห็นพฤติกรรม ของบุญ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อย่างเป็นจริง ซื่อตรง ไม่มีเชิงแฝงเชิงหลอก เชิงตีตลบล้วงตับกินไส้

อาตมาจึงเห็นว่า งานตลาดอาริยะนี่เป็นงานที่ยิ่งจะต้องรังสรรค์ ต้องทำให้มันได้สภาพที่ดีงาม ยิ่งๆขึ้น เราคงต้อง ประชุมกันอีก เพราะบางคนก็ยังไม่เข้าใจ ยังมีกิเลส ตัวขี้เหนียว มันอดไม่ได้ทนไม่ได้ และก็ซ่อนเชิง ทั้งๆที่รู้ เช่น การคิดราคาทุน ก็คิดหมดทุกอย่าง คิดบวกราคา ค่าแรงงานตัวเอง คิดแบบทางโลกย์ เขาเลย ทั้งๆที่อาตมาบอกแล้วว่า ค่าแรงเราไม่คิด แม้แต่ค่ารถเราก็ไม่คิด คิดแต่แค่ ต้นทุนเบื้องต้น ค่าโสหุ้ยค่าอะไรต่างๆ ไม่ต้องเอามาบวกเป็นทุนเลย และขายให้ต่ำกว่า ราคาที่ซื้อมา ไม่เช่นนั้น จะเป็นการเปิดช่องให้มาค้าขาย แบบโลกย์ๆ โดยจะคิดค่าแรงเท่าไรก็ได้ และก็มาอ้างว่า ลดต่ำกว่าทุนแล้ว ซึ่งหนักเข้า ก็จะเป็นเชิงซ้อนแฝง ทำให้เสียงาน เสียสภาพ ซึ่งอาตมาก็บอกแล้วว่า ใครไม่พร้อม ก็ไม่ต้อง ใครพร้อม ก็ค่อยมา เพราะว่าเรามาเสียสละกันจริงๆ มาขาดทุน ใครจะขาดทุนเท่าไร จะขาดทุนหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน หนึ่งล้าน ใครมีมากมีน้อยก็มาเสียสละกันจริงๆ เพราะฉะนั้น แบบประเภทที่ว่า มีอะไรซ่อนแฝง กลายเป็นว่า เราไปทำมาหากิน มาได้กำรี้กำไร ได้เปรียบ แม้จะบอกว่า ขายต่ำกว่าทุน แต่คิดไปคิดมาคุณก็ได้กำไรอยู่นั่นแหละ ได้ส่วนเกินเข้ากระเป๋า ซึ่งอย่างนี้เราไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็น ถ้าเราเสียสละไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องมา ไม่ต้องทำ ผู้ใดเสียสละได้จริงๆ ก็ค่อยมาทำอย่างนี้ เป็นต้น ก็พยายามปรับตัวไปเรื่อยๆทำกันมาก็หลายปีแล้ว สรุปพวกเราก็เข้าใจ ในฐานะสัจจะ ของการจัด ตลาดอาริยะ มากขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่ยังไม่เข้าใจก็ค่อยๆปรับตัวกัน


ถาม เราจะมีวิธีการแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนไม่พออย่างไร กับสถานการณ์ของตลาดอาริยะ ที่ชาวบ้าน จะเข้ามามากขึ้น ในปีต่อๆไป?
ตอบ คงไม่แก้ปัญหาหรอก มันจะเป็นไปตามสัจจะ เพราะว่าจะมีคนมาร่วม มีคนมาเข้าใจทวี เพิ่มขึ้นตามลำดับๆ แม้เงินจะน้อย แต่เงินน้อยๆ ถ้าคนเข้าใจ มีปริมาณมารวมกัน มาเป็นขบวนการกลุ่ม มากขึ้นๆ เมื่อเอาน้อยๆนั่นแหละ มารวมกันมันก็มากขึ้นได้เอง และเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้มีทุนรอน หรือมีส่วนที่จะพอเป็นไปได้ ถ้าชีวิตของพวกเราทั้งหมดสมบูรณ์ขึ้น มีประสิทธิภาพในการสร้างสรรมากขึ้น ก็จะมีทุนรอน หรือว่ามีเงินทองทรัพย์สิน พอที่จะทำกันได้ขึ้นมา แต่มันจะไปถึงขีด ที่ได้มากที่สุด สูงสุด เท่าไร ก็เท่านั้น ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเราทำด้วยความเสียสละ ไม่มีใครบังคับเรา และเรา ก็ไม่ได้แข่งขัน กับใครด้วย เราทำของเราไปได้เท่าไรก็เท่านั้น

อย่างปีกลายรวมยอดจริงๆ ที่เราไม่ได้คิดค่าลงทุนด้านนั้นด้านนี้ เราไม่คิดค่าสถานที่ ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าเดิน ทาง ต่างๆ ที่ล้วนจ่ายออกไปตั้งเยอะตั้งแยะ เราไม่ได้นำมาคิดร่วม คิดแต่ค่าที่เราตั้งใจ มาเสียสละ มาขาดทุน ที่เราเรียกว่า กำไรอาริยะ รวมแล้วประมาณ ๔ ล้านกว่าบาท ส่วนปีนี้ ก็ ๔ ล้านกว่า ๔,๓๙๓,๐๒๑ ก็เกือบ ๔ ล้าน ๔ แสน

สำหรับเรื่องอาหาร หน่วยงานต่างๆของเรา ก็แบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันไป ซึ่งต่างก็ได้เสียสละกันเยอะ ทั้งแรงกาย และแรงเงิน ปีนี้เพิ่มขึ้นมากมายทั้งวัตถุดิบและอื่นๆ เช่น เฉพาะผัดก๋วยเตี๋ยวนี่ ร้านสันติฯ ร้านเดียวนะ ปีกลายวันละ ๓๐๐ ก.ก. ปีนี้ ๘๐๐ ก.ก. ซึ่งแต่ละร้านก็เพิ่มปริมาณขึ้น เพื่อบริการผู้ที่มากิน ได้อย่างทั่วถึง ตั้งแต่เช้า จรดเย็น ก็สนุกสนานกันไป เราขายจานละ ๑ บาทเหมือนเดิม ด้านการล้างจาน เราก็พยายามฝึกหัดพวกเขา บางคนก็ไม่ล้าง กินเสร็จก็นำจานไปซุกไว้ ตรงนั้นตรงนี้ ต้องไปตามเก็บมาล้าง แต่คนที่เข้าใจ ก็มาทำตาม

ปีนี้อาตมาเห็นกระทั่งว่า แม้แต่ลูกค้าร้านอุทยานฯของเราในจังหวัด ก็มากัน เอาเต็นท์มา เหมือนมา เที่ยวปีใหม่ มาปิคนิคกัน ตื่นเช้าก็ไปร่วมทำวัตรกับพวกเรา และก็เที่ยวงาน ซื้อสินค้าต่างๆ ตกเย็น ก็มานั่งดูการแสดง ของพวกเรา ก็ดีเหมือนกัน ต่อไปเมื่อเป็นที่รู้จักกันดี พอถึงปีใหม่ ก็มาเที่ยวงานปีใหม่ พร้อมทั้งปฏิบัติ ตามรายการทั้งวัน หรือ จะเข้ามาพักผ่อน ว่ายน้ำที่แม่น้ำมูล หรือ จะเลือกเอาสาระ อะไรอื่นๆ ก็ได้ตามอัธยาศัย ก็คงดีเหมือนกัน

อาตมาคิดว่า เรื่องทุนคงไม่มีปัญหา ตอนนี้เราก็มีวิธีบอกพวกเราให้เข้าใจว่า ใครมีเงินก็เอามารวมกัน ทำงาน เสร็จเขาจะนำต้นทุนคืนให้ ถ้าผู้ใดไม่ได้เสียสละถึงขั้นให้เลย ก็เพียงแต่เอาเงิน มาให้เราหมุน ในการซื้อสินค้า สำหรับหมุนเวียนขาย เราจะขาดทุนเท่าไรก็หักไป ได้ต้นทุนคืนมาก็นำคืนให้กับผู้ให้ยืม มีกองทุนส่วนกลาง รวบรวมกันมาให้ยืมกัน ต่อไปในอนาคตใครที่รู้แล้วว่า เรามีเรี่ยวแรง ทำบุญได้ ในรูปแบบนี้ ก็เป็นการร่วมมือ ร่วมบุญอีกวิธีหนึ่ง เพื่อสร้างงานให้เกิดผลกว้างขึ้น เป็นการเผยแพร่ เป็นการเสียสละ คิดว่าในอนาคต คงคล่องตัว และเป็นไปได้มากขึ้นอย่างสมบูรณ์


ถาม ในแต่ละปีพ่อท่านคงต้องเทศน์ให้พวกเราได้ตื่นตัว ในเรื่องของการเสียสละ
ตอบ ใช่ อาตมาก็ต้องอธิบายในรายละเอียด อาตมาก็ฉลาดขึ้นตามประสบการณ์ ซึ่งบางทีบางเรื่อง เราก็คิดไม่ถึง คิดไม่ทัน มาคิดออก ก็ต่อเมื่อ เกิดเหตุปัจจัยขึ้นมา ถึงรู้ว่า ควรทำอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งอาตมาว่า ดีกว่าไปนั่งคิดฝันเฟื่อง ใช้ความคิดอะไรต่างๆที่เป็นไปได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หรือบางที ก็เสียหายได้ สู้เราคิดไปตามเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้นตามลำดับๆ และเราก็แก้ไป ปรับตัวกันไปจะดีกว่า


ถาม อาการเมาต่างๆ ใครๆก็รู้ว่าไม่ดี แต่ทำไมพ่อท่านพูดถึงเรื่อง "เมาดี" ในช่วงงาน ตลาดอาริยะปีใหม่นี้
ตอบ ต้องรู้และศึกษากันจริงๆ เมาหมายความว่า เราหลงในสิ่งนี้ และก็ยึดถือไม่รู้ตัว หลงใหลเป็นทาส ในสิ่งนั้น เอาสิ่งนั้นเป็นเอก เช่น เราไปเมาทางโลกย์ๆ ลุ่มหลงอบายมุข ก็เมาว่ามันเป็นสุขอร่อย ได้เล่นการพนันก็เป็นสุข บวกความขี้โลภต่างๆเข้าไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะแต่การพนัน แม้แต่เรื่อง การร้องรำ ทำเพลง หรือ ไปติดอะไร ที่พาให้ไป หัวหกก้นขวิด เมาลาภทรัพย์สินศฤงคาร ซึ่งเห็นชัดเจน เป็นชิ้นเป็นอัน พอเมายศก็เมาซ้อน เมาอำนาจเป็นเชิงชั้น เป็นสิทธิที่ได้ขึ้นมา เมาสรรเสริญ ได้รับการยกย่อง ชมเชย เชิดชูว่าเราดีอย่างนี้ๆ อาการเมาดีก็ตรงสรรเสริญนี่แหละ และเราก็หลงมัน ไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราจะเห็น ตัวเองยาก บางทีคนอื่นก็จะบอกเรา แต่บางคนก็ไม่กล้าบอกด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าผู้นั้น เลื่อมใส ศรัทธา เขาให้อำนาจ เราแล้ว เขาก็ยิ่งไม่กล้าบอกหรือบางคนกล้าๆหน่อยก็จะบอกได้ แต่เราจะไปรออาศัย แต่ที่เขาจะบอกอย่างเดียว ไม่ได้หรอก

ความจริงมีคนกล้าว่า ก็เป็นบุญแล้ว เราจะได้รู้ตัวบางทีมันหลงระเริงมัวเมาไม่รู้ตัว เมื่อมีคนว่า จึงเป็นบุญ ยิ่งบางทีคน ไม่กล้าว่าซิ ยิ่งแย่ หนักๆเข้าหลงตัว ระเริงไปใหญ่เลย น่าหวาดเสียว เพราะฉะนั้น คนที่ไปสู่ดี สู่สูง ควรไปศึกษา ความจริง ที่มันลึกซึ้งซับซ้อน ต้องเรียนรู้จริงๆ ต้องละต้องลด ต้องปลดปล่อยจริง ถ้ามิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นตีกลับ กลายเป็นดีแตกไปเลย


ถาม แค่ไหนที่เราจะตรวจตัวเองว่า กำลัง "เมาดี" ?
ตอบ เข้าใจสภาพความเป็นจริงที่อาตมาพูด นี้แหละ และต้องไปตรวจว่าเราทำดี เรามีดีแล้ว เราไปเบ่งอำนาจ ในเรื่องดี แทนที่เราจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือเนื้อถือตัว เราดีจริงๆ ก็ไม่เอา อำนาจดี เอาดีไปเบ่งข่ม เอาความเชื่อถือที่คนเขายอมรับยกย่องมาเป็นอำนาจชนะคะคาน หรือ ไปกดขี่ ข่มเหง ดีไม่ดีเอาเปรียบเอารัดในเชิงอื่น ซ้อนแฝงขึ้นไปอีก ยกตัวอย่าง พวกคุณศรัทธา เลื่อมใส อาตมา ถ้าอาตมามานั่งเอาเปรียบพวกคุณ ก็จะทำได้ง่ายๆเลย อันนั้นก็ได้ อันนี้ก็ได้ คุณก็ยินดีจะให้ และ เราก็เสวยผล บำเรอตน บำเรอสุข โดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ผู้ได้ตำแหน่งแล้ว ได้ฐานะแล้ว ได้บัลลังก์แล้ว ยิ่งสังคม ยอมรับ ยิ่งเรามีความจริงอีกต่างหาก เราเป็นคนดีจริงอีกต่างหาก เราก็เลยสบาย เขาจะให้โน่น ให้นี่ เขาให้มาโดยธรรม แต่ถ้าเราเอง ไม่สำนึกซ้อน ไม่สละซ้อน ไม่ไปสร้างสรร หรือ ทำสิ่งที่ดี ซ้อนเข้าไปอีก เราก็บำเรอตัวเอง โดยที่ไม่รู้เท่าทัน นั่นแหละคือ"เมาดี"


ถาม คำถามสุดท้ายนะคะ ความแตกสามัคคี ในหมู่กลุ่มพวกเรา จะเป็นเหตุบั่นทอน ให้อายุของพ่อท่าน ไม่ยืนยาวได้หรือไม่?
ตอบ ก็เป็นได้ว่า ความแตกแยกของพวกเรา จะเป็นการบั่นทอนความเจริญของทางสัจธรรมทั้งหมด ทั้งกลุ่มหมู่ แทนที่จะได้พัฒนาขึ้นไป ก็กลายเป็นเรื่องติดขัดช้า อาตมาก็หนักขึ้นนะซี ก็เห็นได้ง่ายๆ ยิ่งความแยกความไม่ลงตัว ความไม่พยายามเป็นสามัคคีธรรม ไม่ร่วมมือร่วมไม้ ไม่รวมกำลังกันขึ้นไป ก็จะทำให้หนักขึ้น ถ้ายิ่งคนที่ เขาศรัทธา เลื่อมใสมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มาให้เราช่วยเหลือเฟือฟาย ให้เราช่วยพัฒนาเขามากขึ้น แล้วพวกเราก็ยิ่งแยก ยิ่งแตกระแหง ยิ่งเข้ากันไม่ได้ ไม่สามัคคี ก็ไม่เป็น พลังรวม จะไม่เป็นน้ำหนัก ไม่มีกำลังสร้างสรร ความเป็นหนึ่ง เป็นกำลังอย่างยิ่ง จึงต้องรักษา ความสามัคคี ความไม่แยกไม่ระแหงให้ได้ เป็นพลังงานเอกีภาวะรวมกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไปเรื่อยๆ ทุกอย่าง ก็เจริญไปอย่างดีงาม ไม่มีที่สิ้นสุด และมันก็จะเจริญทับทวี ซึ่งอาตมา ก็เตือนพวกเรา อยู่บ่อยๆว่า เรื่องที่จะต้อง พยายาม อย่าปล่อย-ปละละเลย อย่าทำแชเชือน อย่าทำดูดาย พวกเราสบายขึ้น มักน้อยลงไป พลังงานเราก็สร้างสรร ได้คุ้มตัว แม้จะมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ส่วนมากก็รอดแล้วล่ะ แต่รอดแล้ว ก็ควรเพิ่มพลังสร้างสรรให้ยิ่งๆขึ้นอีก มันจะได้มีอัตราการก้าวหน้า ที่ซับซ้อน ที่จะเข้าไป ช่วยสังคม ช่วยมนุษยชาติ ได้ทับทวี เป็นปฏิภาคทวีสูงขึ้นๆ


โลกของอโศกวันนี้
พรั่งพร้อมลูกๆกับพ่อ
พ่อสอนเสมอให้ลูกๆ
มีความรัก สามัคคีต่อกัน
เพราะหากเราไม่รักพี่และน้องที่อยู่ร่วมกัน
จะบอกว่าเรารักพ่อได้อย่างไร
มีแต่เราที่รักพี่รักน้อง
จึงคือเราที่รักพ่ออย่างแท้จริง

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๕ เเดือน ธันวาคม ๒๕๔๕)