หน้าแรก>สารอโศก

ผมกลายเป็นคนบ้าไปแล้วหรือนี่
"ลูกบ่ฟังความพ่อ ลูกบ่ฟังความแม่ ระวังผีมันสิลากสิแก่เข้าไปอยู่เมืองนรกน่ำเด้อ?"

นี่คือคำตักเตือน คำบอก คำสอนของพ่อแม่ ของผู้เฒ่าผู้แก่ไทยอีสาน ที่มักจะพูดกับลูกหลาน ที่มันบอกยาก สอนยาก

ความหมายก็คือ "ลูกที่ไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ระวังผีมันจะลากจะจูง เข้าไปอยู่เมืองนรก กับมันนะ"

กระผมมีลูกหัวดื้ออยู่ถึง ๒ คน ในจำนวนลูกชายของกระผมทั้ง ๔ คน คนที่ชื่อสันติธรรม ได้หายสาบสูญไป เพราะไปติด วีดีโอเกมส์ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๓๕ จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ยังไม่ได้ข่าวคราว และวี่แววอีกเลย (ผีเมืองนรก มาลากมาจูง ไปอยู่เมืองนรกน่ำแล้ว)

ส่วนอีกคนเขาก็เป็นคนหัวดื้อ ไม่แพ้กันกับนายสันติธรรม ซึ่งเขาเป็นพี่ชาย เป็นคนที่เชื่อมั่น ในตนเองมาก ถึงแม้ว่าพ่อแม่ จะพร่ำสอนเขาในทางที่ดีอย่างไร เขาก็ไม่ค่อยสนใจ ในคำสั่งสอน ของพ่อแม่เท่าใดนัก

มันคงจะเป็นวิบากกรรมของกระผม ที่เคยหัวดื้อกับคุณพ่อคุณแม่มาก่อน วิบากกรรมนั้น จึงย้อนมา ให้กระผม มีลูกหัวดื้อ เหมือนอย่างที่เคยหัวดื้อ กับคุณพ่อคุณแม่ มาก่อนนั่นเอง

เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี ๒๕๓๙ ขณะที่ลูกชายคนนี้ที่ชื่อว่า นายปรีดา ป้องนาม อายุเขาย่างเข้า ๑๙ ปี กำลังเป็นหนุ่มแน่น ในตอนกลางวันเขาจะทำมาหากินช่วยพ่อแม่อยู่บ้าง แต่พอตกตอนเย็น เขาจะออกเที่ยว ทุกคืน แม้กระผมผู้เป็นพ่อ จะบอกสอนอย่างไร เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง สุดท้าย เขาเลยหนี ออกจากบ้านไปเลย

แล้วเขาก็ได้ไปคบเพื่อนชั่ว(ผีนรก) พาเขาเสพยาบ้า ยาอี จนเกือบจะเสียผู้เสียคน สุดท้าย เขาก็สามารถ เอาชนะใจ ที่ตกเป็นทาส "ยาบ้า" นั้นจนได้ ใจเขากายเขาได้รับอิสรภาพมา จนถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลาถึง ๖ ปีแล้ว

เขาจึงอยากเอาสิ่งที่เขารู้ เขาได้รับบทเรียนราคาแพงนั้น นำมาเล่าถ่ายทอด ให้แก่คน ที่ติดมัน หรือ กำลังคิด จะลองเสพมัน ให้ได้รู้ถึงพิษภัย ของยาบ้าว่า มีพิษภัยต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิตของเราอย่างไร

บัดนี้กระผมจะขอนำท่านไปฟังคำสารภาพผิด เพื่อเป็นการไถ่บาปของเขาได้แล้วครับ ลูกชายเล่า ให้กระผมฟังว่า.......

หลังจากที่ผมได้ออกจากบ้านไปในคราวนั้น ก็ได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ อาศัยนอนอยู่กับบ้านเพื่อ นคนนั้น อยู่กับบ้านเพื่อนคนนี้ จนเบื่อแล้ว ผมก็หางานทำ โดยไปสมัค รเป็นพนักงาน ต้อนรับแขก อยู่โรงแรม ม่านรูด แห่งหนึ่ง ในตัวเมืองขอนแก่นนี้เอง

ผมมีเงินเดือน ได้เงินทิปจากแขกที่มาเช่าโรงแรม และได้เงินพิเศษจากการหาหนุ่มๆ ที่มาเช่าโรงแรม ให้กับสาวๆ บริการ อีกจำนวนหนึ่ง รายได้วันหนึ่งๆ ผมได้มากพอสมควร จึงมีเงินไปเช่าหอพัก อยู่อย่างสบายๆ

ผมทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้เป็นเวลานานพอสมควร จึงมีเงินเหลือมากทีเดียว ในใจกะว่า จะซื้อของ หรือ นำเงินไปฝาก พ่อกับแม่ ในยามกลับเข้าบ้าน แต่แล้วความฝัน ก็พังทลาย เมื่อผมได้พบกับ พ่อค้า "ยาบ้า" คนหนึ่ง เขา

ถามผมว่า "ทำงานโรงแรมเหรอคุณ"

ผมตอบเขาไปว่า "ใช่ครับ"

แล้วเขาก็ถามผมต่อไปว่า "อยากทำงานอยู่ดึกๆ โดยที่ไม่ต้องง่วงไหม"

"ทำอย่างไรมันถึงจะไม่ง่วงล่ะ"

"มีซิ เดี๋ยวจะเอามาให้ลอง"

เขาหายหน้าไปเกือบอาทิตย์ แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับเพื่อนคนใหม่ของเขาด้วย (มาสำนึกได้ ภายหลังว่า มันทั้ง ๒ ก็คือผีร้าย ที่จะมาชวนผมไปลงนรกชัดๆ นั้นเอง) พวกเขาเดินเข้ามาในห้องของผม ด้วยท่าทาง มีพิรุธ ผมจึงถามเขาไปว่า "ดูท่าทางคุณรีบร้อนจัง มีอะไรเหรอ"

ไม่ตอบแต่เขากลับหยิบเอาซองบุหรี่ออกมา พร้อมกับพูดว่า "เอ้า ! ลองดูซิ"

"นี่มันซองบุหรี่ธรรมดานี่"

เขาจึงเอามือเคาะซองบุหรี่นั้น เม็ดยาก็หล่นออกมา มันคือยาเม็ดสีส้ม ขนาดเท่าเม็ด ยาคุมกำเนิดนี่เอง แล้วเขา ก็ถามผมว่า "เคยลองไหม หากไม่เคยลองจะให้ลองดู"

ในใจของผมก็คิดไปว่า เคยได้ยินแต่เพื่อนๆเขาว่ามันดี เลยนึกอยากจะลองดู เพราะอาชีพของผม ก็ทำงาน อยู่ดึก ผมจึงรีบไปปิด ประตูห้องทันที แล้วหลังจากนั้น เขาก็ลงมือทำอุปกรณ์ ในการเสพยาบ้า ให้กับตัวผม

เสร็จแล้วเขาก็ได้หยิบยื่นหลอดดูด และไฟแช็คให้กับผม แล้วก็บอกว่า "ลองดูซิ รับรอง หากคุณได้ลองแล้ว คุณต้องชอบมัน และ ติดใจมันแน่ๆ"

ผมก็หยิบมันขึ้นมา แล้วก็บอกกับเขาไปว่า "ผมทำไม่เป็นครับ"

ในตอนนั้นเขาก็เข้ามา แล้วบอกกับผมว่า "ทำไม่เป็นเดี๋ยวจะสอนให้ ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็เป็นเอง"

หลังจากที่ผมสูบเอาควันมันเข้าไปแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นมันบอกไม่ถูก ผมรู้สึกขนลุก ไปทั้งตัว ในบางครั้ง ผมก็สำลักควัน เขาก็บอกว่า "มือใหม่หัดขับมันก็เป็นอย่างนี้ละ"

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พอผมเสพมันเข้าไป ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ใจของผมรู้สึก ชอบมัน เสียแล้วซิ ในวันแรก วันนั้นผมเสพมันเข้าไป มากพอสมควร เลยทีเดียว แล้วเขาก็บอก กับผมว่า "หากคุณ ต้องการ เสพมันอีก ก็บอกเราทั้งสอง ก็แล้วกันนะ เราจะเอามาให้เสพ อย่างจุใจเลย" แล้วเขาทั้งสอง ก็ลาจากไป

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งสองก็ได้แวะเวียนนำเอา "ยาบ้า" มาให้ผมเสพ อยู่เป็นประจำ ในช่วงแรก ผมก็คิด จะลองเสพ มันเล่นเฉยๆ ไม่ได้คิดติด แต่บอกตามตรง ในยามที่ผมไม่ได้เสพมัน ผมรู้สึก หงุดหงิด จิตใจ กระวนกระวาย รู้สึกเหนื่อยอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง เอาเสียเลย จำใจต้องหามันมาเสพ เพื่อกัน ความรู้สึก เหล่านั้น

ยิ่งเสพยิ่งแย่ ยิ่งเสพก็ยิ่งไม่รับรู้ "มึงต้องเอามาให้กูเสพ" ใจมันสั่ง ผมต้องรีบไปหาเขา เพื่อไปขอ "ยาบ้า" เพื่อเอามัน มาเสพ เมื่อไปถึงผมก็พบกับเขา แล้วก็เอ่ยปาก ขอยาบ้าจากเขา แต่ผมก็ได้รับคำตอบ จากเขาว่า "ของฟรีไม่มีอีกแล้วล่ะคุณ ถ้าจะมี ต้องมีเงินมาซื้อ"

ในใจของผมในตอนนั้น ต้องการมันมาก(เจ้าผีร้ายกำลังจะลากผมลงไปสู่เมืองนรก) คิดว่า "เอ๊ะ ! เราติดมันเข้า แล้วหรือนี่"

ผมจำใจควักเอาเงินออกมาซื้อยาบ้าจากพ่อค้ายาบ้านั้นในทันที หลังจากที่ได้ยามาแล้ว ผมต้องรีบ เข้าห้อง ของผม จัดการเสพยาบ้าทันที เรียกว่าผมเสพมันแทน ข้าวปลาอาหารเลยทีเดียว

หนึ่งปีกว่าๆก็ว่าได้ ที่ผมหลงเสพมัน เพื่อนๆที่คุ้นเคยต่างพากันสงสัยในการเปลี่ยนแปลง ของผม เมื่อก่อน ผมจะมีร่างกาย อ้วนท้วน สมบูรณ์ดี น้ำหนัก ๖๐ กิโล แต่ตอนนี้มันก็ไม่แตกต่างไปจาก หนังหุ้มกระดูก หรือ ผีที่เดินได้ เท่านั้น ผมต้องกลายเป็น ไอ้ขี้ยาไปแล้วหรือนี่

ผมยอมรับว่า ผมต้องตกเป็นทาสของมัน เงินทองที่ผมอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ เอาไว้ให้พ่อแม่ ต้องเอามาซื้อ ยาบ้าเสพ วันหนึ่งๆ ผมต้องเสพมันวันละ ๑๐ กว่าเม็ด ถึงจะอยู่ได้ หากวันไหน ไม่ได้เสพมัน ผมรู้สึก ทรมานมาก

ข้าวปลาอาหารก็กินแทบไม่ได้ อยากจะฝืนใจกิน แต่ปากท้องมันไม่ยอมรับ เอาเสียเลย ที่ทรมานมาก ที่สุดคือ ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน อยากฝืนใจข่มใจข่มตา ให้มันหลับ แต่แล้ว เปลือกตา ก็ไม่ยอมหลับ ทั้งที่ร่างกายสุขภาพ มันไม่ไหวแล้วจริงๆ

เมื่อก่อนผมเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองเป็นอันมาก แต่เมื่อผมได้มารู้จักเจ้ายาบ้า เจ้ายาผีนรกนี่ ได้เสพ มันเข้าไป ความมั่นใจ ในตนเองที่มีอยู่ ก็เลยเลือนหายไป หมดเสียทุกเรื่อง ไม่กล้า แม้แต่จะสบตา กับใครต่อใคร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนหญิงของผมที่ทำงานอยู่ที่โรงแรม เธอเป็นเด็กอ๊อพตามโรงแรม ได้มาพบผม ที่ห้องพัก วันนั้น เป็นวันหยุด ของผมพอดี เธอได้ชักชวนให้ไปเที่ยว ที่ห้องพัก ของเพื่อนเธอ แล้วเธอก็บอก กับผมว่า "จะให้ลองของใหม่"

เธอสนิทสนมกับเอเย่นต์ยาบ้าเป็นอย่างดี เมื่อเธอมาชวนผมถึงห้อง ในขณะนั้น ผมกำลัง ต้องการมัน อยู่พอดี ผมจึงตอบตกลง ไปกับเธอทันที

ไปถึงบ้านเพื่อนเธอ เมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมแทบตกใจ เมื่อสายตาได้พบกับชายหญิงกลุ่มหนึ่ง ประมาณ ๑๐ กว่าคน นั่งตั้งวง เห็นของสิ่งหนึ่งอยู่กลางวง มันคือยาบ้า สิ่งที่ผมต้องการ มันอยู่พอดี

ได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งร่วมวงกับเขา ผมก็เต็มใจ เพื่อนหญิงของผมก็ได้แนะนำ ให้รู้จักกับ ทุกๆคน พวกเขา ก็ให้ผม ได้รู้จักกับยาอี หรือยาบ้า สูตรใหม่ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า ของใหม่ มันจะมีรสชาติ เป็นอย่างไร

หลังจากที่ผมเสพมันเข้าไปแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่า ผมได้ทำอะไรลงไปบ้าง รู้แต่ว่ามันเคลิบเคลิ้ม มีความสุขมาก ในช่วงที่ผม สาระวน เสพยาบ้า สูตรใหม่อยู่นั้น สังเกตเห็น เพื่อนใหม่กลุ่มนั้น พากันจับคู่ นั่งกอด จูบกัน อย่างเมามัน พูดง่ายๆ ก็คือมั่วเซ็กส์ นั่นเอง

ผมแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเอาเสียเลย ในใจก็คิดว่า เขากล้าที่จะทำอย่างนั้น ได้อย่างไร แต่แล้ว ผมก็ได้ รู้คำตอบ แท้จริง เพราะฤทธิ์ยาบ้า ผสมยาอีนั่นเอง

ในวันนั้นผมเสพมันเข้าไปมากพอสมควร เกือบห้าทุ่มแล้ว ผมจึงขอตัว กลับห้องพัก ขากลับ เพื่อนหญิง ของผมคนนั้น ก็ได้เอาสิ่งหนึ่ง มายัดใส่ กระเป๋าเสื้อของผม แล้วก็เอ่ยปาก บอกกับผมว่า "เอาไว้ถอน ในตอนเช้านะ"

หลังจากนั้น เขาก็ขับรถมาส่งผมยังห้องพัก พอเธอกลับไปแล้ว ผมรู้สึกลุกลี้ลุกลน จะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องหาอะไรทำ ไม่ปล่อย ให้มือมันว่าง (ภาษาคนเล่นยาเขาว่า ม้ามันดีด)

เวลาล่วงไปเกือบเที่ยงคืนของวันนั้น ผมก็ยังไม่อยากหลับนอน จึงตัดสินใจ เอามันออกมา เสพอีก เสพมันเข้าไป มากเกินขนาด เสพจนหมด ผมไม่รู้หรอกว่า นั่นคืออันตราย ผมเริ่มมี ความผิดปกติ ทางประสาท รู้สึกว่า มีคนมาคอยจ้องดูผม อยู่รอบห้อง

ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ผมกลายเป็นคนโรคประสาทหลอนไปทันที หูก็ได้ยินเสียง คล้ายๆคนมาเรียกชื่อ อยู่ตลอดเวลา สายตาก็จับจ้อง มองไปยังหน้าต่าง มันคล้ายๆกับว่า มีใครสักคน แอบมองผมอยู่ ผมรู้สึกกลัว เป็นอันมาก ปากก็เริ่มสั่น อากาศในช่วงนั้น ทั้งๆที่อยู่ในฤดูหนาว แต่ตัวผมรู้สึกร้อน ขึ้นมาทันที เหงื่อไหล ออกมา เต็มตัวไปหมดเลย ฤทธิ์ยาเริ่ม กดประสาท ประสาทเริ่มสั่งงาน ผิดพลาด "ผมกลายเป็น คนบ้า ไปแล้วหรือนี่"

กลัวไปเสียทุกสิ่ง กลัวแม้แต่เงาของตนเอง ในใจคิดไปต่างๆนานา หลอกหลอนจิตประสาท ตัวเองว่า ข้างนอกนั้น ต้องเป็นตำรวจ ต้องมีคนคอยตาม ฆ่าเราเป็นแน่ เอเย่นต์ยา ต้องสั่งให้คน ตามฆ่าเรา คงกลัวว่า เราจะไป บอกตำรวจ ความคิดสับสน ตัวผมเริ่มสั่น ปากก็พูดไปต่างๆ นานา ตามลำพัง คนเดียว คล้ายกับคนบ้า

ผมนั่งอยู่มุมห้องจนถึงรุ่งเช้า ไม่ยอมแม้แต่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง ได้แต่ตะโกนเรียก "ตา" ที่เป็นเจ้าของ ห้องเช่า ตาได้ยินเสียง ผมเรียก แกก็ตกใจ รีบมาหาผม ตามเสียงเรียก ถามผมว่า "เป็นอะไร"

"ผมกลัวครับตา ผมกลัวครับ มีคนตามฆ่าผม ตาช่วยผมด้วยครับ ถ้าตาไม่ช่วย ผมคงต้องตาย เป็นแน่ครับ"

สภาพของผมในตอนนั้นดูแย่มาก ตาก็บอกให้ผมเปิดประตู ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ฤทธิ์ยาบ้า ที่เสพเข้าไป ยังไม่หมดฤทธิ์ จึงทำให้ผมหวาดกลัว หวาดระแวงอยู่ ผมจึงได้ถามตาไปว่า "นอกห้อง มีคนอื่นอีก หรือเปล่าครับ นอกจากตา"

"ไม่มีหรอก"

ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูห้อง ทันทีที่เปิดประตู ผมแทบวิ่งชนตาเลยทีเดียว ผมไม่ฟังเสียงใคร ทั้งสิ้น รีบวิ่งเข้าไป ในบ้านของตา เข้าไปซ่อนตัว อยู่ภายในห้องน้ำ ตาก็รีบตามเข้าไปดู แล้วก็ถามว่า "เป็นอะไร? กลัวอะไร?"

"มีคนตามฆ่าผม มันยืนคอยผมอยู่ที่หน้าบ้าน" ตาจึงเดินออกไปดู ปรากฏว่าไม่มีใคร นอกจาก แม่ค้า ขายส้มตำ

ตาเดินเข้ามาบอกผมว่า "ไม่มีอะไรหรอก ออกมาเถอะ เขาไปแล้ว" ผมจึงตัดสินใจ เปิดประตูออกมา ผมยอมรับว่า วันนั้น พูดคุยกับตา แทบไม่รู้เรื่องเลย

จากนั้นผมตัดสินใจออกจากบ้านตา เดินลัดไปทางหลังบ้าน แล้วปีนกำแพงหนีไป ผมก็ไม่รู้หรอกว่า ผมจะไป ทางไหนดี แต่รีบขึ้นรถเมล์ใจมันสั่งว่า "ต้องไปหาตา และยายที่ อ.ชุมแพเท่านั้น มันถึงจะไกล จากคน ตามฆ่าเรา"

พอรถเมล์วิ่งมาถึงสถานีรถ บ.ข.ส. ผมรีบจ่ายเงินค่ารถเมล์ไปใบละ ๒๐ บาท โดยที่ไม่สนใจ แม้แต่เงินทอน แล้วรีบขึ้น ไปบนรถ บ.ข.ส. สายขอนแก่น เมืองเลย ขณะที่นั่งคอย ให้รถออกเดินทาง สายตาของผม ได้มองไปรอบข้าง รู้สึกว่า มีคนคอยติดตามผมอยู่ ก็พยายาม ตั้งสติ ไม่ให้เกิดความกลัว แต่ก็ทำไม่ได้

พอถึงเวลาที่รถจะออกเดินทาง ผมก็สังเกตเห็นชายสองคน เดินขึ้นมา โดยสวมเสื้อแจ๊คเก็ต เข้ามานั่งใกล้ๆ กับผม ทั้งสองหันหน้ามามองดูผม หลายครั้ง ผมยิ่งเกิดความกลัว ขึ้นมาอีก หูแว่วได้ยิน เขาคุยกัน คุยอะไร กันนั้น ผมไม่รู้ รู้แต่ว่า เสียงที่ผมได้ยินนั่น มันเป็นเรื่อง เกี่ยวกับผมทั้งสิ้น

"จะทำอย่างไรกับมันดี ฆ่ามันตอนนี้เลยดีไหม" นั่นคือเสียงที่ผมได้ยิน โดยประสาท สั่งงาน หลอกหลอน ตัวเอง ให้คิดไปเอง

รถบัสถึง อ.ชุมแพ ผมก็ลงจากรถด้วยท่าทางรีบร้อน ในใจผมตอนนั้นคิดว่า "ต้องตายแน่ๆ จะทำอย่างไรดี ผมไม่อยากตาย ผมไม่อยากตาย" ผมเดินไปบ่นไป เพียงคนเดียว คล้ายๆคนบ้า ยังไงยังงั้น

ผมตัดสินใจเหมารถ ให้ไปส่งที่บ้านตา และยาย เมื่อรถมาจอดที่บ้าน ผมก็รีบจ่ายเงิน ค่ารถ แล้วรีบวิ่ง เข้าไปหา ตากับยายทันที ท่านทั้งสอง ก็ตกใจ แล้วถามผมว่า "แกไปทำอะไรมา ทำไมดูซูบผอมจัง"

ผมไม่ตอบ ได้แต่บอกว่า "มีคนคอยตามฆ่าผม ตากับยาย ช่วยผมด้วยครับ" ตากับยาย จึงช่วยกัน พูดจากล่อม ให้ผม ระงับสติอารมณ์ ผมวิ่งขึ้นบนบ้าน เข้าไปซ่อนตัว อยู่ภายในห้อง ด้วยความตื่นกลัว และ หวาดระแวง เพราะความเหนื่อยล้า ไม่ได้พักผ่อน ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน จึงทำให้ผม เผลอหลับไป เพราะฤทธิ์ยา ที่ผมเสพเข้าไป เริ่มหมดฤทธิ์

ตื่นขึ้นมาผมรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอันมาก อาการก็ไม่ดีเท่าไหร่ ความหวาดระแวง ตื่นกลัว ก็ยังมีอยู่ พอสมควร ดีที่ว่า ร่างกายผม ได้พักผ่อน จึงทำให้ผมมีชีวิตชีวา ขึ้นมาบ้าง

ผมได้รับการดูแล และเอาใจใส่อย่างดีจากตาและยาย ความหวาดระแวง ตื่นกลัว จึงคลายลงไปบ้าง ผมได้รับ การบอกสอน จากตาและยาย จึงทำให้ผมมีสติคืนมา เปรียบเสมือน คนที่ตายแล้ว ฟื้นขึ้นมาใหม่

ช่วงเวลาที่พักฟื้นพักผ่อนอยู่กับตาและยายนี้ ผมใช้ความคิดทบทวน กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ผมเกือบ จะตายไปแล้ว ก็ได้คติธรรม จากพ่อ ที่เคยพร่ำสอน อยู่เสมอว่า "ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวกระทำ จะสูงหรือจะต่ำ ก็อยู่ที่ การกระทำตัว"

ผมรู้ว่าผมหลงเดินทางผิด ผมจึงตัดสินใจเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาบ้าเด็ดขาด ก็เพราะความอยากรู้ อยากลอง ความดื้อรั้น ตามประสาวัยรุ่น ผมน่าจะเชื่อฟัง คำสั่งสอน ของพ่อแม่ ผมก็จะไม่เป็นอย่างนี้

ต้องกราบขอโทษด้วย ที่ผมกระทำในสิ่งที่ผิดคำสั่งสอนของพ่อแม่ ผมยังจดจำได้ดี ที่พ่อแม่ สอนให้เป็ นคนดี ให้ทำแต่สิ่งดีๆ การคบเพื่อน ก็ให้เลือกคบแต่เพื่อนดีๆ ให้หลีกเลี่ยง สิ่งไม่ดี และอีกหลาย คำสั่งสอน แต่ผมก็ทำตัว สวนทาง ไม่เคยเลย ที่จะทำตาม คำสั่งสอน

วันนั้นผมรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป ผมทำให้ผู้มีพระคุณต้องเสียใจ จึงตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เต็มใจ

ที่จะทำเพื่อพ่อ และแม่ได้ภูมิใจ คือเลิกทำตัวไม่ดี พอกันที สำหรับนรกบนดิน ที่ผมเจอะเจอ ชีวิตนี้ ผมจะไม่ขอ ยุ่งเกี่ยว กับยาบ้าอีกต่อไป ผมขอสัญญา

หลังจากอาการของผมดีขึ้น ก็ได้ขออนุญาตตาและยายกลับบ้านที่ขอนแก่น วันนั้น ผมเดินทาง กลับบ้าน ขณะเดินขึ้นรถ ความรู้สึกดีๆ ก็กลับคืนมา สู่ตัวของผมอีกครั้ง ความกลัว ความหวาดระแวง เลือนหาย ไปหมด มันแตกต่างจาก ตอนที่ผมขึ้นรถ มาจากขอนแก่น ผมได้รู้แล้วว่า ผมคิดไปเอง ผมหลอกหลอน ตัวเอง เพราะฤทธิ์ยาบ้า ยานรกแท้ๆ

กลับถึงขอนแก่นความคิดแรกคือ ผมต้องกลับเข้าบ้าน เพราะบ้านของผมมีทั้งพ่อแม่ และพี่น้อง ผมรู้สึกว่า ที่ไหนก็ไม่อบอุ่น ไม่มีความสุข และปลอดภัย เทียบเท่าบ้านของผมเลย

ผมได้กราบลงที่เท้าของพ่อแม่ด้วยความสำนึกผิด พ่อและแม่ก็ยินดีให้อภัยแก่ลูกหัวดื้อ ที่สำนึกผิดได้ อะไรเล่า จะยิ่งใหญ่เท่าพ่อ และแม่ที่รักลูก ห่วงลูก ในยามที่ลูก เดินทางผิดไป

กระผมผู้เขียน ก็ขอจบเรื่องไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าท่านที่อ่านเรื่องนี้ คงจะได้รู้ฤทธิ์ ของยาบ้า ยานรกแล้ว ไม่มาก ก็น้อย

- ก่อแก่น -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๘ มีนาคม ๒๕๔๖)