หน้าแรก>สารอโศก

- ฝั่งฟ้าฝัน -

เมื่อหัวใจพอแล้ว

....คนเกิดมาก็มัวเมาไปตามกิเลสตัณหาของตนจะพาไป กิเลสตัณหาพาคนหลงทิศหลงทาง และ ไหลลงต่ำ อยู่ร่ำไป

อาตมา ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งสมัยก่อน หลงมัวเมา ไปกับกิเลสที่เ รียกกันว่า นี่แหละความสุข กินเหล้าเป็นสุข อาตมา เป็นสิงห์นักดื่ม เป็นช่างก่อสร้าง แต่ดื่มเหล้า เมาทุกวัน จะเป็นความบังเอิญ หรือเพราะกรรมลิขิต.....

 

อาตมา เป็นช่างขี้เมา มีโอกาสได้มารับจ้างทำกุฏิที่ศาลีอโศก จำได้ว่าเป็นปีพ.ศ. ๒๕๑๙ และมีบุญ ที่ได้ฟังเทศน์ ฟังธรรมจากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ท่านกำลังสอนทางเอกภาค ๑ ท่านสอนเรื่องความสงบ สอนวิเวก ๓ กายวิเวก วจีวิเวก มโนวิเวก อาตมา ฟังแล้วก็ซาบซึ้งมากๆ เลย จึงเข้าไปขอบวชกับพ่อท่าน

"เมาอยู่จะมาขอบวชได้ยังไง อยากบวชก็ไปเลิกเหล้าให้ได้ก่อนสิ" ความจริง อาตมา ตัดสินใจ เลิกแล้ว จึงไปขอ บวชกับท่าน แต่ท่านก็ยังไม่รับ ซึ่งอาตมา ก็รู้แล้วว่า กฎเกณท์เขาเป็นอย่างไร อาตมา ตัดสินใจ เลิกเด็ดขาด เหลือเสื้อผ้า ๒ ชุด นอกนั้นแจกเขาหมด แล้วก็เริ่มเดินตามรอย ของชาวอโศก เดินตามรอย ของสมณะโพธิรักษ์

อาตมา พบป้ายอันหนึ่งที่บริเวณเผาศพ เป็นข้อความของหลวงปู่พุทธทาส เนื้อหาว่า "เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เมื่อเจ้ามาตัวเปล่าเจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา" และ ก็กำลังมี การเผาศพพอดี

นอกจากข้อความดังกล่าวนั้นแล้ว อาตมา ยังประทับใจกับข้อความอื่นอีกที่ว่า "อันลาภยศสรรเสริญนั้น หาบไปไม่ได้แน่ เหลือไว้แต่ต้นทุนบุญกุศล ทรัพย์สมบัติพัสถานทิ้งไว้ให้ปวงชน ร่างของตน เขาก็เอาไปเผาไฟ" ไม่ทราบว่าเป็นกลอนของใคร เพราะไม่ได้ระบุชื่อไว้ ยิ่งทำให้อาตมา เกิดศรัทธา ยิ่งขึ้นๆ ว่า มันช่างเป็น ความจริงหนอ?

ช่วงนั้นพ่อท่านก็เทศน์ว่า "ผีน่ะ!มันไม่มีจริงในโลก แต่ผีในคนนั่นน่ะ!ของจริง โดยเฉพาะ ผีผู้หญิง ไปแหกอกผู้ชาย ผีในป่าช้ามันไม่มี มันมีในคน ผู้หญิงหลอกผู้ชาย ผู้ชายหลอกผู้หญิง ผู้ชายให้เขาแหกอก หลอกก็ตาย แล้วไม่ได้มาผุดมาเกิด" อาตมา ฟังก็เออจริง จริงด้วย จึงเพิ่มความศรัทธาที่จะบวชมากยิ่งขึ้น "เออหนอ....เราเดินทางถูกแล้วหนอ"

นี่แหละความจริงของชีวิต อาตมา ก็พิจารณาหาเหตุหาผล กินเหล้ามันสุขตรงไหน ดูดบุหรี่ มันสุขตรงไหน ใจเราไปหลง ไปติด ไปยึดว่ามันเป็นสุขเอง ใจมันไปสัญญาวิปริตวิปลาศเอาไว้ ก็เหมือนการกินข้าว ถ้ามีสติดีๆ อ่านอาการอารมณ์ดีๆ ว่ารสชาติมันก็มีเปรี้ยวหวานมันเค็ม มันไม่มีอะไรอร่อยหรอก งั้นๆแหละ

สุราก็เช่นกัน กินแล้วมันก็เมามึนหัว เดินโซซัดโซเซ ลุกก็ไม่ขึ้น มันจะไปสุขตรงไหน แต่มันเป็นอุปาทาน รสนิยม ค่านิยมของโลก แล้วเราไปดิ้นตามต่างหาก

พออาตมา มาศึกษาตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ตามแนวทางของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ปฏิบัติตาม ล้างอุปาทานคือล้างกิเลสความเคยชิน ดัดจริต มันชอบตามใจตัวเอง เอาแต่ใจตัวเอง ก็ต้องมาฝึก มาหัด มาฝืนใจ การจะชนะการฝืนใจ ก็ต้องใช้เหตุใช้ผลให้กับตัวเอง เขาเรียกว่า วิปัสสนา อ่านให้ถึงอาการ อารมณ์เวทนา อารมณ์ทุกข์ อารมณ์สุข อารมณ์จิตที่มันไม่ไปคิดถึง ไม่ไปโหยหาบุหรี่ ยานัตถุ์ สุรา มันก็ว่างเบา สนทนาธรรมะ มันก็ยิ่งมีปีติมากขึ้น กินมื้อเดียวมันก็ทุรนทุรายหน่อย แต่เราก็มาจับได้ว่า โอ้หนอ ทุกอย่างมันอยู่ที่ จิตวิญญาณ ของเราเอง

สมัยก่อนอาตมา นั่งเล่นไพ่ทั้งวันทั้งคืน ไม่เห็นจะมีอาการหิวข้าวเลย จิตมันเป็นเปโต (จิตเป็นเปรต) จิตคิดแต่ว่า จะน็อคมืดเขายังไง จะกินรวบเขายังไง นั่งไม่มีการเมื่อย ข้าวปลาอาหาร ไม่สนใจ นั่นก็เพราะ จิตมันสั่ง จิตวิญญาณ เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง

ปฏิบัติมาเรื่อยๆตามแนวทางยิ่งทำให้อาตมา ได้เห็นความพ้นทุกข์ ซึ่งมันอยู่ที่เราล้าง ปรับปรุง ความคิด ให้คิดในทางที่ถูก ครรลองคลองธรรม ก็จะทำให้เราอยู่อย่างผาสุก มีสติ ฝึกสติ ตามรู้กายกรรมของเรา จะไปทำอะไร ตัวปรับความคิดของเราคือ "ศีล" ศีลจึงสร้างปัญญา ถ้าชีวิตไม่มีหลักเกณท์ เทียบเคียง จะไม่เกิดปัญญา แยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด?!

เพราะคนมีพื้นฐานเห็นแก่ตัว จะเข้าข้างตัวเองว่าถูกทั้งหมด ถ้าเอาศีลไปกำหนด จะทำให้เห็นชัดว่า อะไรผิด อะไรถูก จะแยกแยะออก ศีลจึงสร้างปัญญา และสร้างความแข็งแรงของจิตใจ พอมีปัญญา ก็จะมั่นใจตัวเอง เป็นตัวของตัวเองยิ่งขึ้นๆ แล้วก็จะรู้มากขึ้น จากสภาวะของจิต และผลของกรรม ที่เกิดขึ้น จะมีธาตุรู้ ขึ้นมานั่นคือ ปัญญาทางพุทธ

จะทำให้หยั่งลึกว่า ชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์ก็อยู่ได้ จะรู้ได้ด้วยตน คือเอาตัวเองมาพิสูจน์ สัมผัสถึงจิต หลุดพ้นถึงจิต ทางธรรมะเรียก อธิปัญญา ไม่ใช่คาดคะเน สัจธรรมไม่ใช่คาดคะเน หรือ ตรรกะ และ ไม่ใช่ไปท่องจำ หรือไม่ใช่ ไปเรียนรู้ตามเขา คนที่ไปเรียนรู้ตามเขา ไม่เป็นตัวของตัวเองหรอก แต่ถ้าพิสูจน์ ถึงจิต เขาเรียกว่า ภาวนา คือทำให้เกิดผลจริง มีจริง เป็นจริงจนถึงจิตได้แล้ว

เมื่อสภาวะมันหลุดพ้น มันมีข้อมูล เหตุปัจจัยถึงพร้อม จนเราปรับปรุงกรรมแล้ว ก็จะร้องอ๋อ!ชัด รู้ได้ด้วยตนเอง เมื่อรู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริง มันจะไม่เดินลงไปสู่ที่ต่ำ อย่างอาตมา รู้ว่า สูบบุหรี่มันทุกข์ ไปเมามันทุกข์ แล้วดิ้นรนไปหาเงิน นี่มันเป็นส่วนเกินของชีวิต พอรู้ก็ลดส่วนเกิน ในสิ่งที่เราไปดิ้นรนหา แล้วหยุดดู แยกแยะว่า มันเป็นโทษเป็นภัย มากน้อยขนาดไหน มันเป็นภัย ต่อร่างกาย เสียเวลา และก็เหน็ดเหนื่อย ดิ้นรนมา เพื่อเหน็ดเหนื่อย ดิ้นรนหามันทุกข์ ถ้าหยุดได้ เอาชนะจิตได้ มันเป็นสุข

การที่เราดิ้นรนไปตามกระแสที่เขาหลอกลวง คือเราโง่ เรามีอวิชชา พยายามชนะเรื่อยๆ มีหลักเกณฑ์ คือศีล เป็นหลัก ศีล ๕ ก็หลักเกณฑ์หนึ่ง ศีล ๘ ก็หลักเกณฑ์หนึ่ง ศีล ๑๐ ก็หลักเกณฑ์หนึ่ง แล้วก็มีจุลศีล-มัชฌิมศีล -มหาศีล ก็จะเพิ่มความละเอียดขึ้นไปอีก

พระหรือสมณะคือผู้นำทางจิตวิญญาณ อาตมา ก็มาศึกษาสร้างจิตวิญญาณ ต้องล้างอุปาทาน ที่ติดยึด ล้างกิเลส ก็ไปหลงใหลกับมัน ล้างออกมา ละออกมา แนวทางคือถ้าไม่ปฏิบัติ ไม่มีทางได้เห็นสัจจะ จะไม่รู้บุญรู้บาป บุญคือการชำระกิเลส ถ้าไม่ฝึกชำระล้างอาการโลภ อาการโกรธ อาการเห็นแก่ตัว ลดออกมา ก็จะไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ก็จะคิดว่าบุญๆ แล้วก็ทำตามปรารถนา ตายไปแล้วไปรับส่วนบุญ คิดว่าอยากร่ำ อยากรวย ถูกหวยเป็นบุญ คนที่ไม่รู้จักบุญ ก็จะคิดทำนองนี้

คนที่ถูกหวย"ซวย" เป็นคนบาป ไปเอาเปรียบเขามา ตกเป็นทาสวัตถุ เป็นสังคมบาป สังคมทุกวันนี้ พัฒนาไปสู่ การเป็นคนบาป มากขึ้น เจ้ามือหวยนี่ก็หลอก เพื่อจะเอาเงินมา หลอกพวกอยากรวย คนโง่ที่อยากรวย ก็ถูกหลอก จิตคนที่ซื้อหวย ไม่ใช่คนจิตสูง เพราะลงทุนแค่ ๓๐-๔๐ บาท แต่จะเอาเป็นล้าน นี่คือจิตใจที่โลภเห็นแก่ตัว คนทั่วโลก มีใจแบบนี้ เขาเรียกว่า ปุถุชน ที่เป็นทาสทางวัตถุ

พุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ทุกคน "หัดให้" การให้ทานเพื่อพัฒนาจิตให้สูงกว่าวัตถุ เมื่อคนจิตใจ สูงกว่าวัตถุ จิตไม่เป็นทาสเงิน ไม่เป็นทาสวัตถุ ความสัมพันธ์ ความเป็นอยู่ มนุษย์ก็จะช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ได้มากยิ่งขึ้น ฉะนั้น การให้ทานจึงเป็นบารมี จึงเป็นยัญพิธี เป็นทานมีผล ที่จะช่วยสังคมโลก คนจะอยู่ อย่างผาสุข คือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คนเราอยู่ได้ เพราะอาหาร ผลิตอาหารจากดิน-น้ำ-อากาศ เพราะสิ่งเหล่านี้ มีอยู่แล้ว คนอยู่ได้ด้วยข้าว ด้วยพืช ไม่ใช่อยู่ได้ด้วย"เงิน"

แต่ถ้าเงินครอบงำจิตใจคน ก็จะเกิดการข่มเบ่งกันด้วยอำนาจเงิน มีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศ แล้วก็แย่งชิงกัน อยากจะมีอำนาจ คิดว่ามีสุข แต่"คิดผิด" เพราะแค่เป็นทาสก็ทุกข์แล้ว แต่คนไม่รู้ทุกข์ คิดว่ากินมากมีสุข มีมากเป็นสุข เป็นทาสอารมณ์กิเลส สวนแนวทางของพระพุทธเจ้าที่จะพาให้พ้นทุกข์

การมาบวชเป็นการเปลี่ยนฐานะ เพื่อพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้น เหมือนนกน้อยปีกแข็ง มีบาตร บริหารท้อง มีจีวร บริหารกาย มีธรรมะเป็นทาน มีปัญญาสูงขึ้น มีอิสระช่วยสังคมโลก ฝึกปฏิบัติกำหนด เวลาตื่น - เวลานอน อย่างมีสติ ทุกอย่างอยู่ที่จิต ต้องเอาจริง ทำจริง จึงจะสูงจริง หลุดพ้นจริง

อยู่ปฏิบัติกับพ่อท่าน พ่อท่านสอนให้ทำงาน เพราะการปฏิบัติธรรมคือการทำงาน สมัยก่อน อาตมา ก็ไม่ทำงานหรอก ไปจาริกที่โน่นที่นี่ ก็โดนพ่อท่านเทศน์สอน ก็เลยกลับมาทำงาน ทำงานหนังสือ ทำโรงพิมพ์ และมาทำงานก่อสร้างอาชีพเดิม (มีทำส้วมด้วย)

ในความรู้สึก เหมือนเสียเหลี่ยม เราเป็นพระธุดงค์ แต่ให้เรามาทำส้วมส่วนกลาง ให้ฆราวาสใช้ ทำเรือนส่วนกลาง มีห้องหับ ให้ฆราวาส ตอนแรกทำใจลำบาก ในการยอมรับ แต่สุดท้าย ก็ได้รู้ว่า เราต้องมา เสียสละ สละศักดิ์ศรี สละอัตตามานะ ที่ถือตัวถือดี อาตมา เชื่ออาจารย์ จึงเกิดการเรียนรู้ และเกิดปัญญา ในที่สุด

การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่เอางานการ ไม่รับผิดชอบ ไม่เอาภาระ การปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของพุทธ จึงคือการทำงาน ทำงานทุกอิริยาบถ ต้องมีสติกำหนดรู้ ใครถนัดงานอะไร ก็ใช้งานนั้น ล้างอุปาทาน เพราะมันติดเป็นยักษ์ศักดิ์ศรีผีมานะ จึงต้องล้างด้วย การทำงาน ว่ามีจิตหลงตัวเอง เบ่งข่มคนอื่น มากน้อยเท่าใด รู้ตัวเองให้ได้แล้ว ก็ล้างผีอัตตามานะนั้น ลงให้ได้ ยิ่งจะสร้างผลงาน ให้เด่นมากเท่าใด นั่นคือผีอัตตามานะ ของตัวเราเอง

การทำงานจึงคือการปฏิบัติธรรม ตรงตามมรรคมีองค์ ๘ และเดินตรงตามโพชฌงค์ ๗ ทำได้ด้วยตน รู้ได้ด้วยตน เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ....

* ส.พอแล้ว สมาหิโต

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๙ เมษายน ๒๕๔๖)