หน้าแรก>สารอโศก


ครอบครัวผักสด(ไร้สารพิษ)

ผมต้องขอขอบคุณทางสมาคมผู้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมากครับ ที่เสียสละเวลาและทำหนังสือดีๆ อย่างดอกหญ้าและสารอโศกส่งมาให้อ่านเป็นประจำ ซึ่งทำให้ชีวิตผมและครอบครัวเริ่มดีขึ้นโดยลำดับ

เนื่องจากผมอาศัยอยู่บ้านนอกชนบท บ้านป่าบ้านดอยอย่างนี้ การกินผักธรรมชาติจึงมีให้กินทุกบ่อยครับ ซึ่งตามปกติวิถีชีวิตของชาวบ้านถิ่นนี้ ก็ยังเกี่ยวโยงกับผักธรรมชาติอยู่ดี

ผมและครอบครัวเป็นครอบครัวที่กินผักสดแทบทุกมื้อเลยครับ ไม่ว่ายอดกระถิน ผักบุ้ง ผักปัง ใบชะพลู ตำลึง ใบมะตูม เพกาหรือลิ้นไม้ แตง ผักกูด ผักคาวตอง ผักหวาน ชะอม

หลังจากที่ผมเลิกเหล้าได้เด็ดขาดแล้ว ผมก็เห็นโทษภัยของการกินเนื้อสัตว์มากขึ้น ทุกวันนี้แม้ผม จะยังกินเนื้อสัตว์อยู่บ้าง แต่ก็ลดลงเป็นอย่างมากพอควร ทำให้ร่างกายของผมขับถ่ายได้สะดวกดี และประโยชน์อีกอย่างคือ ประหยัดครับ ซึ่งมีผลดีต่อครอบครัวที่ค่อนข้างจะยากจนอย่างครอบครัวผม เพราะเนื้อสัตว์ค่อนข้างแพง

เมื่อผมเริ่มกินผักธรรมชาติมากขึ้น ผมก็ไม่เคยซื้อจากร้านค้ากินอีกเลย เนื่องจากกลัวสารพิษตกต้าง อีกอย่างผักธรรมชาติก็มีให้กินทุกฤดูกาล ฤดูแล้งก็มีผักหวาน ผักหนาม มะรุม ฤดูฝนเราก็ปลูกแตง ข้าวโพด ฟักทอง ฟักแฟง บวบ ซึ่งถ้าเราขยันแล้ว ก็มีกินตลอดปีครับ

เมื่อความเจริญเดินทางเข้ามาในชุมชนใดแล้ว ความเสื่อมก็ตามมาเหมือนกันแหละครับ บ้านมูเซอซึ่ง เป็นบ้านชาวเขา ห่างจากบ้านผมราว ๒๖ ก.ม. ปลูกกะหล่ำมา ๖-๗ ปีแล้วครับ เขาต้องฉีดยาฆ่าแมลง ฮอร์โมน ใส่ปุ๋ยเคมีกันค่อนข้างมาก เป็นที่สังเกตว่า ถ้าปีไหนภาคกลางหรือกรุงเทพฯน้ำท่วมแล้ว ราคากระหล่ำจะทำเงินให้กับชาวมูเซอพอควรครับ แต่ชาวมูเซอคงไม่นึกถึงผลกระทบ ที่มีต่อ ระบบนิเวศ ของแมลงและนก ซึ่งเริ่มจะไม่มี เนื่องจากฉีดยาฆ่าแมลง

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนและป่าไม้ เหตุเป็นดังนี้เพราะถนนลาดยางเข้ามาสู่ชุมชน พ่อค้าคนกลางสามารถมาซื้อกะหล่ำปลีได้สะดวก และการทำลายทรัพยากรก็เพิ่มมากขึ้น

สารอโศกทำให้ผมหูตาสว่างมากขึ้นครับ และรู้ความเป็นไปที่แท้จริงของโลกปัจจุบัน ผมจะพยายามรักษาศีล ๕ ที่ยึดถือปฏิบัติอยู่ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ

- สุรศักดิ์ สุตะปัญญา จ.เชียงใหม่ -

*** มีผักสดไร้สารพิษให้กินตลอดปี เป็นชีวิตที่น่าอิจฉามาก เพราะสำหรับคนทุกวันนี้ แม้มีเงินทอง มากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักต้องซื้อกิน อาหารหรือผัดสดที่มีสารพิษปนเปื้อน ทำอันตราย ต่อสุขภาพ อยู่ทุกวัน - บ.ก.

พุทธแท้ทำให้ลุก

"มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ที่จะไปถือโทษคนอื่น ถือไปก็หนักตัวเอง"

ทำสิ่งที่ดีที่ควรเข้าไปเถอะ จะหวังให้"เขาโค"มากเท่า"ขนโค"ได้อย่างไร

ก่อนเขียนคำสอนปลอบใจตัวเองข้างบนนี้ ฉันเขียนระบายความทดท้อต่อผัสสะร้ายๆ ทั้งจากคนนอกวัดและในวัด เขียนขอคำปรึกษาและขอกำลังใจ แล้วก็ถึงบางอ้อให้กับตัวเอง

๑ ปีฉันจะไปวัด ๑ ครั้ง ผัสสะร้ายๆ(ในวัด)เกือบหยุดฉันไม่ให้ไป "เขา" คือ ผู้ตั้งใจเพียร-ลด-ละ-เลิกกิเลส ไม่ใช่ผู้หมดจดแล้วจากกิเลส "เขา"ก็เหมือน"เรา"ที่ยัง"ผีเข้า-ผีออก" หากเรายิ่งห่างหมู่ จะยิ่งทำให้ไม่ใช่"ลูกพ่อ"

"ผัสสะร้าย" ดี! ทำให้เรามี(บำเพ็ญ)บารมีอดทน สมณะโพธิสิทธิ์พูดไว้ ฉันจะถือว่าอดีตชาติฉันทำบาปเกี่ยวเนื่องไว้มาก จึงเจอผัสสะร้ายๆหลายครั้ง จนทำให้ท้อถอยได้ง่ายๆและไม่หายซักที ฉันควรภูมิใจในสิ่งที่ฉันมี ที่ฉันเป็นดีกว่า

พริกปีนี้งามกว่าปีก่อน ดอกดกและเม็ดดก คนที่แวะมาบ้านเห็นเข้าชมว่า พริกดกและคงให้เม็ดแก่เยอะ หมายถึงพริกแดงเอาไว้ตากแห้งหรือตำป่น มะเขือพวงออกดอกผล ไผ่ตง ไผ่ซางแตกหน่อมากขึ้น ฉันชื่นใจอยู่ และควรต้องชื่นใจให้มากกว่านี้ ฉันต้องยินดีในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เป็นอยู่ ให้มากๆดังกล่าว เพียงแต่ฉันตั้งหน้าบำรุง พืชพันธุ์หลายชนิดก็งอกงามให้ผลมากมาย

กำลังใจที่มีมาสู่ ทำให้ฉันให้กำลังใจตัวเองได้มากขึ้น

"ยิ่งถือสาก็ยิ่งหนักใจ และไม่ได้ประโยชน์อะไร" ฉันย้ำบอกตัวเองอีกครั้ง

เหตุแห่งตกภพ(ทุกข์) ทำให้ติดภาพลบแก่ตัวเอง การยิ้มและมีน้ำใจ จะช่วยให้ภาพลักษณ์ดีขึ้นได้ "ความท้อ"เป็นกิเลสที่น่ากลัวที่สุดต่อฉัน มันเป็นมารดาของกิเลสตัวอื่นด้วย

บ้านเรือนสะอาดเพราะเก็บกวาด ฉันตกใจตัวเองเหลือเกินว่า ฉันไม่เคยเก็บกวาดหัวใจตัวเองเลย ขยะบูดเน่ารกใจครั้งกระนู้น แม้เมื่อยังเด็กก็ยังไม่เคยเก็บกวาดทิ้ง อย่างนี้ใจจะสะอาด เพื่อบริสุทธิ์โปร่งใสได้อย่างไร การฟังพ่อท่าน การได้กำลังใจ จึงเหมือนโปะยาใส่หนอง โดยไม่ล้างแผลให้สะอาดก่อน หรือเหมือนชาล้นถ้วย จึงบำบัดได้ไม่ถึงจุด โชคดี!ที่ใจไม่ตาย แต่ก็ต้องรักษาขนาดหนัก

ฉันเหลือบไปดูรูปพ่อเหนือหัวนอน มองชั้นหนังสือ ที่มีดอกหญ้า,สารอโศกเป็นส่วนใหญ่ ชั้นหนังสือแห่งสาระประโยชน์

มีรูปผู้พัฒนาจิตวิญญาณ รูปปราชญ์-ผู้รู้ อีก ๒-๓ ท่าน

"วิกฤติเป็นโอกาส ถ้าฉลาดคิด"

โอหนอ!...ฉันคิดอย่างโง่ๆ เลยทำอย่างโง่ๆมานานจริงๆ

ชีวิต ช่างผลัดกันล้ม-ลุก ไม่หยุดหย่อน

กิเลสทำให้ล้ม พุทธแท้ทำให้ลุก และสร้างสรรประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน

ฉันรู้สึกว่าโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น มันคลายและเริ่มหลุดออกทีละเปลาะๆ

ขอบคุณสารอโศก "ฉบับอโศกรำลึก'๔๖ ครั้งที่ ๒๒"
๙.๐๐ น. ศุกร์ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๖
- จุฑารัตน์ ครุฑเมือง จ.อุตรดิตถ์ -

ป.ล. ฉันยัง...
๑. เป็นนักมังสวิรัติ
๒. ทำกสิกรรมธรรมชาติ
๓. ใช้เสื้อผ้ารูปแบบไทยๆ
๔. ใช้จักรยาน(ไม่ใช้น้ำมัน) หากไปต่างจังหวัดใช้รถประจำทาง หรือรถไฟชั้นสามัญ
๕. ทำเครื่องอุปโภค, บริโภคไว้ใช้เอง และแจกญาติๆ (ความรู้จากการอบรมหลักสูตร'สัจธรรมชีวิต')
๖. ค้าขายบุญนิยม

*** ชอบมากตรงที่บอกว่า "กิเลส"ทำให้ล้ม แต่"พุทธแท้"ทำให้ลุก แล้วก็สร้างสรรประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน ก็ได้แต่หวังว่า ให้ได้มรรคผลเจริญ เหมือนพริกที่ดกงามในปีนี้ - บ.ก.

มีธรรมะก็มีสุข

ได้รับสารอโศก ฉบับอโศกรำลึก'๔๖ ครั้งที่ ๒๒ ดูหน้าปกแล้วเกิดความประทับใจในรูปพระวิหารพันปี และภาพของเหล่าญาติธรรมที่มาร่วมงาน ดูหน้าแล้วเป็นญาติธรรมรุ่นเก่าๆ ซึ่งชีวิตทั้งชีวิต ของบางคน ส่วนมากมอบไว้ให้กับอโศกตลอด แต่เฉพาะผมนั้นตั้งแต่ เกษียณอายุราชการครู เมื่อปี ๒๕๔๒ แล้ว ก็ป่วยมาตลอด งานปีใหม่ที่ราชธานีอโศก งานมหาปวารณาที่นครปฐม และงานอโศกรำลึกนี้ก็ไม่ได้ไป เพราะเกี่ยวกับสุขภาพ

ช่วงที่ป่วยปี'๔๔ ไปอยู่บ้านราชฯช่วงเข้าพรรษา จนออกพรรษาก็ยังอยู่บ้านราชฯได้เกือบปี และย้ายมา อยู่ศรีสงครามอโศก อาการป่วยก็ยังไม่หาย ต้องมาอยู่บ้านไปหาหมอ อาการดีขึ้นก็ไปศรีสงครามฯ จนปัจจุบันนี้ก็อยู่บ้าน เมื่อมีการอบรมก็ไปช่วยงาน

ผมรู้ตัวเองอย่างแน่ชัดอย่างยิ่ง เรื่องป่วยนี้มันเป็นวิบากกรรมของผมที่ทำไว้ในชาตินี้ ซึ่งเป็นอดีต ของชีวิต ที่ผ่านมา หากผมไม่พบอโศกรักษาศีลปฏิบัติธรรม ทานอาหารมังสวิรัติ ผมคิดว่า คงไม่มีชีวิตยืนยาวมาจนทุกวันนี้

ทุกวันนี้ได้ทำดีท็อกซ์ ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย สุขภาพจิต-กายดีขึ้นมาก รู้ตัวของตัวเอง มากขึ้น อดีตที่ผ่านมาแม้ปฏิบัติก็ได้แต่ชื่อเท่านั้น ไม่รู้ตนเอง มีอัตตาตัวตน เป็นคนอุ้มโลกไว้ คิดมากเครียด บังคับตนเองไม่ได้ บ่นเถียงทุกคนที่พูดไม่ถูกใจ เห็นว่าเราเป็นคนถูก ทำชีวิตในครอบครัวเดือดร้อน ญาติพี่น้องลูกเมียเขาเอือมระอา จนสุดท้ายเขาปล่อย ไม่หาข้าวให้กิน เราก็อยู่คนเดียว มีเงินไปซื้ออาหารในตลาดมาทำกินเอง เราอยากไปไหนเราก็ไป เพราะมีเงินซะอย่าง เข้ากันกับลูกกับแม่บ้านไม่ติด สุดท้ายเราป่วยหนัก เขาปล่อยให้อยู่ในห้องนอนคนเดียว ส่วนแม่บ้าน หนีไปอยู่กับเพื่อนเขา ๑๕ วัน ช่วงนี้เราเห็นทุกข์มาก นึกถึงอดีต ถึงคุณความดีของเขา เราร้องไห้บ่นไป ชาวบ้านเขาว่าเราบ้า แต่เราก็ว่าเขาว่าทุกคนในเมืองไทย ๖๐ ล้านคน ก็ ๖๐ ล้านบ้าเหมือนกันแหละ เราจะโต้ตอบหาเรื่องทะเลาะ แต่เขาไม่ถือสาเพราะเขาว่าคนบ้า

แต่ทุกวันนี้ หลังจากปีใหม่ ๑ ม.ค. ๒๕๔๖ อาการต่างๆดีขึ้น รู้เท่าทันตัวเอง ไปงานปลุกเสกฯ ฟังพ่อท่าน เทศน์ เราจดไว้จนหมดสมุดจดไป ๑ เล่ม สมุดหมดก่อนงาน ฟังแล้วสนุกใน ธรรมะ ของพ่อท่าน ทุกวันนี้ตื่นขึ้นและก่อนนอนทำวัตร ออกกำลังกาย ไปสวนทำงานปลูกพืชผัก ทานข้าว ๑๑.๐๐ น. พักผ่อน ๑๓.๐๐ น. ไปสวนทำงาน ๑๗.๐๐ น. กลับบ้านอาบน้ำ ทานข้าว ดูข่าว อ่านหนังสือธรรมะ ทำ-วัตรก่อนนอน สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้น ไม่เคยทะเลาะกับลูกและแม่บ้านเลย

ส่วนมากเราจะเงียบ จะไม่พูด มีสติเตือนตนบ่อยๆ ใช้หลักธรรมสูตร ๔-๕-๗-๘ โดยเดินมรรคองค์ ๘ ให้รู้เท่าทันตนเอง เอาวายามะ สติ เป็นตัวห้อมล้อม ทุกวันนี้มีความสุขมาก เมื่อได้อ่านหนังสือของอโศกทุกฉบับที่ส่งไปให้

เข้าพรรษาปี'๔๖ ได้ตั้งสัจจะให้ตนเอง จะยอมทุกสิ่งที่ถูกต้องในทางธรรม และมองเข้าหาความผิดของตนเองให้มากที่สุด และให้มีสติรู้เท่าทันผัสสะอายตนะนอก อายตนะในที่มากระทับสัมผัส หากขาดสติเตือนตนแล้วจะยิ่งทุกข์ พร้อมมีสติเตือนตนเองในกรรมสามของตน ขอจบเท่านี้ก่อน โอกาสหน้าจะเขียนมาเล่าสู่ฟังจากผลการอ่าน และปฏิบัติธรรม

- สมบูรณ์ หาญมนตรี จ.สกลนคร -

*** พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ครอบครัวไหนจะอยู่ยั่งยืนยาวนาน และมีความสุขอบอุ่น จะต้องมีผู้นำครอบครัวที่มีศีลมีธรรมะ - บ.ก.


คนเดียวไม่เปลี่ยวใจ

มีแต่ความชื่นชมในการปฏิบัติของพวกท่าน อยากจะตอบมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ตอบ ซึ่งความจริง แล้ว ดิฉันมีจิตสำนึกขอบคุณทุกครั้งที่ได้รับหนังสือ จะรอคอยอยู่เสมอว่า เมื่อไรหนอจะได้รับหนังสือ มีความรู้สึกดีใจทุกครั้ง ที่ได้รับหนังสือที่มีคุณค่าอย่างนี้ คนแก่ที่อยู่คนเดียวก็ได้อาศัยการอ่าน และฝึกปฏิบัติอยู่เป็นประจำ เชื่อกฎแห่งกรรม ซึ่งขณะนี้ตัวเองกำลังได้รับ

คือเช้าวันที่ ๒๘ พ.ค.'๔๖ ได้รับอุบัติเหตุขาหัก ต้องเข้าโรงพยาบาล ขณะนี้ยังไม่หาย ต้องผ่าตัดขาข้างขวา ใช้เหล็กดามไว้ รู้ทันทีว่าแต่ก่อนเคยหักขากบ จึงต้องชดใช้กรรม อโหสิกรรมให้ความผิดบาปด้วย ญาติผู้พี่ของดิฉันซึ่งเป็นคนหากบมาให้ ก็ขาหักเช่นกัน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้สึกตัวว่าได้ทำกรรมไว้ เพิ่งรู้เหตุต้นผลกรรมเมื่อตัวเองได้รับนี่เอง

วันนั้นตอนเช้า หลังจากใส่บาตรแล้ว กลับมาบ้านมองเห็นมะม่วงอกร่องสุกเหลือง อยากจะเก็บไว้ใส่บาตร ซึ่งทำทุกเช้าอยู่แล้ว จึงไปหยิบตะกร้อจะมาสอยมะม่วง มันอยู่สูงจึงไปหยิบบันไดเหล็กมาไต่ขึ้นเพื่อจะสอย ปรากฏว่าบันไดเหล็กได้พาหกล้มหล่นลงมา จับดูขาข้างขวาจึงรู้ว่าขาหัก นั่งยาวนานอยู่ร่วมชั่วโมงจึงมีคนผ่านมา ได้ร้องเรียกให้เขาช่วยนำส่งโรงพยาบาล (ดิฉันอยู่คนเดียวมา ๔-๕ ปีแล้ว) ลูกๆอยู่ต่างจังหวัดหมด

รู้ตัวว่าสร้างปัญหาให้ลูก ต้องหมดเปลืองเงินทอง ต้องเดินทางมาดูแลแม่ หมดค่ารักษาไปมาก แต่เขาก็เป็นลูกที่ดีทุกคน เขาว่าเป็นหน้าที่ของลูกอยู่แล้ว ทุกคนอยากให้แม่ไปอยู่ด้วย แต่เราชอบอยู่ของเราแบบนี้ เขาก็ได้แต่มาดูแลเป็นครั้งคราว และส่งเงินมาให้ ช่วงเทศกาลเขาจะมารวมกัน จัดดอกไม้ธูปเทียนกราบขอพรทุกปี

- ดวงเดือน อินทรศร จ.ร้อยเอ็ด -

*** แม้จะแก่ แม้จะอยู่คนเดียว แต่ไม่หงอยเหงาเปลี่ยวใจ เพราะมีธรรมะเป็นเพื่อน พึ่งตนเองได้ ถือว่าเป็นคนแก่ที่น่าชื่นชม- บ.ก.


มิตรแท้และครูบา

กระผมป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เนื่องจากเส้นโลหิตในสมองตีบตัน ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๔๕ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า แพทย์ให้ยาไปรับประทานที่บ้าน ขณะนี้อาการค่อยทุเลาลงมาก แต่แพทย์ยังคงให้รับประทานยาไป จนถึงพฤษภาคม ๒๕๔๘

เมื่อเจ็บป่วย แรกๆรู้สึกรำคาญมาก ที่ต้องนั่งๆนอนๆอยู่กับที่ เพราะมีนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ก็ได้สารอโศกและดอกหญ้าเป็นเพื่อน เดิมทีก็ไม่ได้เห็นคุณค่าของเพื่อนทั้งสองมากนัก อ่านพอผ่านๆไป อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ๒-๓ วันก็จบ แล้วก็นอนอยู่กับความรำคาญต่อไป ทนไม่ไหวก็หันหน้าเข้าพึ่งเพื่อนทั้งสองอีก คราวนี้เริ่มเห็นความเป็นมิตรแท้ที่แสนดีของสารอโศกและดอกหญ้าขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากจะช่วยคลายเหงาและความรำคาญแล้ว ยังช่วยให้แสงสว่างแก่ดวงตาที่เคยมืดบอดมีอคติ เริ่มประจักษ์แจ้งในสัจธรรมของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเป็นธรรมดาของเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ซึ่งแท้ที่จริงเขาจะต้องมาอยู่กับเรา โดยไม่ต้องเชิญและหลีกไม่พ้น จึงยอมรับความเจ็บป่วย เข้าเป็นมิตร อีกรายหนึ่ง เดี๋ยวนี้คุ้นเคยกันดีแล้ว เขาอยากจะอยู่หรือจะไปก็ไม่ว่า หรือจะนำไปไหนก็ยินดีจะไปด้วย

แล้วความรู้สึกเป็นมิตรกับสารอโศกและดอกหญ้า ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเห็นเป็นว่า สารอโศก และดอกหญ้า คือ ์ เป็นแสงสว่างให้สิ่งที่เกินกว่าจะเรียกว่า "ความรู้" แต่เป็นน่าจะเรียกว่า"ปัญญา" เป็นโอสถ แสนวิเศษ ทั้งบำรุงและรักษาใจ เป็นกระจกมหัศจรรย์ที่ส่องให้เห็นตัวเอง รู้จักตัวเองจนทะลุปรุโปร่งว่า ยังมีความเป็นตัวเป็นตนอย่างเหนียวแน่น มิจฉาทิฏฐิยังครอบงำ ยังมืดบอดไม่รู้ไม่เห็นสัจธรรม มากมายกว่าที่เคยรู้เคยเห็นอีกมากมายหลายเท่านัก ปัจจุบันจึงทั้งรัก เคารพ บูชา เทิดทูน เพื่อนและครูบาอาจารย์ทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง

ความเปลี่ยนแปลงในการอ่านสารอโศกและดอกหญ้า จึงผิดไปจากเดิมคือ เริ่มมีความ"อยาก"จะอ่าน อ่าน"ทุกตัวอักษร"ด้วย"ความพินิจพิจารณา" และ"ทบทวน" จนเข้าใจ ข้อความที่ให้ความประทับใจ จะ"ขีดเส้นใต้" และพับมุมไว้ บางคำที่เข้าใจว่าไม่น่าใช้ก็ดี สะกดผิดก็ดี จะวงกลมล้อมไว้ แต่ไม่ตำหนิหรือคิดอคติ เพราะใครๆก็หลีกความผิดพลาดยาก และควรนับว่าเป็นครูด้วย

โดยกระทำเช่นนี้ตั้งแต่สารอโศกอันดับ ๒๕๗ และดอกหญ้าอันดับที่ ๑๐๕ เป็นต้นมา ใช้เวลาอ่านก่อนนอนเป็นส่วนมาก ด้วยการอ่านอย่างพินิจพิจารณา จึงทำให้ผ่านไปแต่ละเรื่องอย่างช้าๆ ยังไม่ทันจะจบเล่มก็ได้รับเล่มใหม่อีกแล้ว ผิดกับเมื่อก่อน อ่านจบไปตั้งนานกว่าจะได้รับเล่มใหม่

- ประกาศิต จันทรศร จ.นครราชสีมา -

*** การอ่านหนังสือกระทั่งได้มิตรแท้ ได้ครูจริง ต้องเป็นผู้อ่านที่มีปัญญา จึงจะเก็บประโยชน์เอามาใช้สอยในชีวิตได้อย่างประเสริฐ - บ.ก.


ถ้าตำรวจมีธรรมะ

ได้รับหนังสือสารอโศกมาตลอด มีอยู่ระยะหนึ่งไม่ได้ตอบรับหนังสือให้ทราบ เพราะอยู่ในช่วงกังวลๆ กำลังจะปลูกบ้าน แต่ขณะนี้ได้ทำการปลูกบ้านเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว กังวลหลายอย่าง กลัวว่าช่างจะสร้างไม่ได้มาตรฐาน "หมกเม็ด" เพราะการควบคุมดูแลไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร ต้องทำงานประจำอยู่ ก็มาคิดดูว่า การมีบ้านน่าจะมีความสุขนะ กลับทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้น

ความจริงบ้านพักของทางราชการก็มีให้อยู่แล้ว แต่มีแรงจูงใจ(จูงกิเลส)ให้มีความต้องการคือ โครงการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. กบข. ดอกเบี้ยปีแรก ๒.๙ ปีที่สอง ๓.๕ จากนั้นเป็นดอกเบี้ยลอยตัว ผมกู้ปลูกบ้าน ๗๕๐,๐๐๐ บาท เท่าราคาบ้านพอดี บ้านทรงปั้นหยา เนื้อที่ใช้สอย ๑๐๕ ตารางเมตร

ส่งปีแรก ๒,๙๐๐ บาทต่อเดือน เงินเดือนผม ๙,๐๙๐ บาท ภรรยา ๘,๐๐๐ บาท ลูกสาว ๕ ขวบอีก ๑ คน ทำใจแล้วว่าพออยู่ได้ หนี้อื่นๆไม่มี รับราชการมา ๑๐ ปี แต่งงานมาแล้ว ๖ ปี มีบ้าน(เป็นหนี้) ก็นับว่าผมมีอะไรที่คนอื่นต้องการอย่างผม แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะกู้ไม่ได้(เงินเดือนไม่พอ) บางคนเกษียณแล้ว บ้านยังต้องเช่าเขาอยู่เลย

ตำรวจทำงานคนเดียว เมียอีก ๑ ลูก อีก ๒-๓ คน ก็คงไม่พอใช้จ่ายอะไร ลูกกำลังเรียนหนังสือ ตำรวจถ้าอยู่อย่างมีธรรมะ รู้จักประมาณตนเอง ก็คิดว่าพอใช้ ตำรวจ ตชด.หรือเรียกอีกอย่างว่าตำรวจป่า กินเงินเดือนอย่างเดียว ได้ข่าวเรื่องส่วยแล้วตกใจ ตชด.ไม่เคยเห็น

การปฏิบัติตน การกินอาหารมังสวิรัติ กินไม่ตลอดเท่าไร แต่ก็เลือกรับประทาน ร้านอาหารมังสวิรัติอยู่ในเมือง ห่างประมาณ ๔ กิโลเมตร ช่วงก่อนจะรับประทานมาตลอด ตั้งใจว่าปลูกบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะตั้งใจปฏิบัติอีกครั้ง เพื่อผลแห่งสุขภาพของตัวเราเอง

- ส.ต.อ.สันติ เอื่อมฉ่ำ จ.พิษณุโลก -

*** อย่าว่าแต่ตำรวจเลย แม้จะมีอาชีพอะไรก็ตาม หากอยู่อย่างมีธรรมะแล้ว ก็จะพอกินพอใช้เงินเหลือ เพราะธรรมะสอนให้รู้จักกินน้อยใช้น้อยอยู่อย่างเป็นสุขทั้งยังช่วยเหลือคนอื่นได้อีกด้วย - บ.ก.


ตาสีตาสาติงต๊อง

ข้าพเจ้าติดอบายมุขเรื่องแต่งตัวตลอดมา จนถึงอายุ ๔๒ ปี ข้าพเจ้าอยากจะเรียนให้ทราบว่า หลังจากข้าพเจ้าลาออกจากงานธนาคาร ได้มาทำงานที่โรงสีของพี่ชาย แดดร้อนและฝุ่นละออง ทำให้ต้องใส่เสื้อแขนยาว โพกผ้าคลุมหน้า จึงดูเหมือนคนงาน

ข้าพเจ้าจะรู้สึกอับอาย ถ้าต้องไปกิจธุระที่ธนาคารในชุดนี้ แม้นว่าเข้าธนาคารก็จะพับแขนขึ้น เอาผ้าคลุมหน้า ออก ก็ดูโทรมอยู่ดี ถ้าไปธนาคารเดิมที่ข้าพเจ้าเคยทำอยู่ จะมีรุ่นพี่รุ่นน้อง รวมถึง รุ่นพี่รุ่นน้องที่เคยมีเข็มกระดิกทางใจต่อกัน ข้าพเจ้าจะไม่กล้าเข้าไปเลย ต้องถอดเสื้อคลุมออก ให้เหลือเสื้อยืดข้างใน หน้าตาก็ต้องล้าง ลงแป้ง แป้งฝุ่นก็ยังดี ทำให้ดูดีสมใจจึงจะกล้าเข้าไป

วันหนึ่งมีงานแซยิดของโกวน้องสาวเตี่ย ข้าพเจ้าเหนื่อยจากงานมาบ้าน เพื่อเตรียมตัวไปงาน อาบน้ำจะแต่งตัว ชุดสวยๆก็มี แต่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการเลือกชุด ลองชุด แล้วยังรองเท้าส้นสูงอีก จึงไม่แต่งตัว ไปอย่างง่ายๆ เหมือนที่ข้าพเจ้าใส่ไปทำงานโรงสี กางเกง เสื้อยืด รองเท้าแตะ เพียงแต่ไม่ใส่เสื้อคลุมเท่านั้น

อยู่ในงาน แรกๆที่คิดว่าไม่น่าจะมาเลย ชุดคนอื่นหรูดูเลิศสวยงาม ดูไปคิดไป แต่ก่อนเราก็อย่างนี้ ถ้าวันนี้เราทำอย่างเขา ก็เลิศหรูนั่งชูคออวดโฉม แล้วก็กลับบ้านเป็นสุขสมใจ ก็เราทำอย่างเรา ไม่ต้องเหนื่อย ไม่มอซอ เรียบร้อย สบายๆ สะอาด มาง่ายๆสบายๆจะมาทุกข์ทำไม มันดีจะตาย ไม่ต้องแต่งตัวเสียเงินซื้อชุดใหม่ คิดว่าจะตัดแบบไหน ใส่แล้วต้องคิดท่าคิดทาง เรานี่มันหลงกระแส เพราะกระแสค่านิยมคนให้ค่าการแต่งตัวมันมาก ค่อนขอดเรื่องกาลเทศะ ไม่ให้เกียรติเจ้าภาพ ไม่รู้จักสร้างบุคคลิกบ้าง

ในใจก็คิดนึกไป นี่เรามาเพราะนับถือว่าญาติ มาแสดงว่าท่านมีญาติเยอะ ต้องเสียเวลาไม่ได้ฟังธรรมะ ด้วย แล้วก็มาดูอาหาร กินก็ไม่ได้ ดื่มได้แต่น้ำเปล่า งานไร้สาระเลี้ยงเหล้าเบียร์ เพลงหูแตกอีก ตัวเราตัวฉันนี้ดีกว่าเธอ เราเกิดประกายในใจว่า มันต้องสร้างกระแสใหม่ที่สมถะ ถึงจะช่วยคนได้(คนที่รู้แต่ยังไม่กล้า) มันต้องมีมวลมากๆก็จะมีแรงต้าน ถ้ามีคนทำอย่างเราคิดมากเข้าๆ ค่านิยมมันจะลดลง

ข้าพเจ้าได้ประโยชน์ อ๋อ!พวกอโศกเขาชุดมอซอเลยนะ ที่เราเคยไม่เห็นด้วย ทำไม่ไหว ไม่เอาดีกว่า นี่ข้าพเจ้าซึ้งเลย นี่ไงมวลต้านกระแสสังคมที่มีค่านิยมเลว ทำให้ข้าพเจ้าต้องไปค้นหนังสือ อโศก รุ่นเก่าๆมาทบทวนดูใหม่ โอโห้!ข้าพเจ้านี่ใกล้เกลือกินด่าง มันเห็นชัดในข้อที่ว่า ทำมอซอ ทำอย่างนั้นทำไม เข้าใจแล้ว

รุ่งขึ้น มีกิจต้องไปธนาคารที่ข้าพเจ้าเคยทำงาน ข้าพเจ้าใส่ชุดคนงาน มีเสื้อคลุมแขนยาวสียีนส์ซีดๆ ใกล้เคียงอโศก คราวนี้อาจหาญ ท้าทาย ใครไม่เงยหน้ามอง ทักเขาก่อนเลย ผู้จัดการไม่ออกมา เดินเข้าไปวันทาเลย ให้เขาเห็น ทดสอบใจของเราไม่กระดิกเลย มันชัดเจนในระดับหนึ่ง ข้าพเจ้าให้ค่ามันว่า การห่มกายของฆราวาสนักบวช

ใส่แล้วมีสำนึก เราทำอะไร ทำทำไม มันศักดิ์สิทธิ์ แต่งกายแบบนี้จะทำไม่ดีไม่ได้ ใส่แล้วต้องปฏิบัติ ดูจิตใจตลอด อย่าเผลอเสียภาพพจน์อโศก(เสียหายพ่อท่าน) มอซอ สุภาพเรียบร้อย ตั้งใจว่าทุกครั้ง ที่ออกนอกบ้าน จะไปไหนๆก็แล้วแต่ ต้องมีเสื้อฆราวาสนักบวชใส่....ทุกครั้ง

พรรษานี้ตั้งตบะอาหาร แต่มาได้เรื่องเสื้อผ้า นึกถึงมุสลิมหญิงต้องห่มคลุมมิดชิด แม้แต่ใบหน้า คนจีน สมัยก่อนที่ใส่ยูนิฟอร์ม พวกชาวเขาชาวดอยมีชุดประจำชาติ แต่เราล่ะ ยุคนี้ด้วยแฟชั่นโป๊มาก (เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็โป๊ ต้องรัดรูปให้เห็นทรวดทรง-เอว-สะโพก อวดเขา ตอนนี้มันอายจัง)

ครูแหว๋ว บุญอินทร์ เธอถือศีล ๘ ถอดรองเท้าตลอด ข้าพเจ้ายังไม่ถึงและยังไม่เอา ถ้าข้าพเจ้าไม่ชัด หรือเห็นประโยชน์ไม่ออก ข้าพเจ้าจะไม่ทำ รู้ว่าอโศกพาทำดี แต่ข้าพเจ้าว่ามันเยอะ เกินฐาน ของข้าพเจ้า เพราะสังคมยังให้ค่าคนมอซอว่า เป็นตาสีตาสา กรรมกร คนต้อยต่ำ ข้าพเจ้ายังรับได้ แต่ถอดรองเท้าเดินอยู่นอกวัดนี่ สังคมมองเป็นคนติงต๊องเลยนะ ข้าพเจ้ายังไม่ไหวแน่

เอาแค่รองเท้าทนทาน ไม่แพง ไม่ลื่น ใส่สบาย ใส่ได้ทั้งหญิงชาย ผมสั้น มอซอ ดีกว่า อ้อ! ผ้าถุง ครูแหว๋วเธอใส่ผ้าถุงด้วย ข้าพเจ้าว่าผ้าถุงมันไม่ค่อยสะดวก ข้าพเจ้าใส่กางเกง เสื้อคลุมยาว ปิดก้นอยู่แล้ว ข้าพเจ้าทำงานโรงสีต้องเดินขายาวๆ

ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ จะไปงานมหาปวารณาที่ปฐมอโศก และจะอยู่ให้ครบงาน เป็นงานแรกที่ข้าพเจ้าจะไป จะต้องเตรียมตัวอย่างไร โปรดแนะนำเอาละเอียดๆเลยนะ มีเวลาอีก ๓ เดือนเท่านั้น

- นงนรี ศรีเจริญธรรม จ.อุทัยธานี-

*** หากจะมาร่วมงานมหาปวารณา ที่ปฐมอโศก แล้วอยากให้กลมกลืนกับหมู่กลุ่มชาวอโศก ก็ต้องลองหัดทำตัวเป็นตาสีตาสาที่ติงต๊องดูบ้าง แต่งชุดมอซอ ไม่ใส่รองเท้า ใส่ผ้าถุง แต่ถ้าไม่ไหวแน่ ก็แต่งชุดสุภาพไปก็ใช้ได้แล้ว อ้อ!อย่าลืมฝึกกินอาหารมังสวิรัติไว้ด้วย - บ.ก.

(สารอโศก อันดับที่ ๒๖๓ สิงหาคม ๒๕๔๖)