- ฝั่งฟ้าฝัน -

สละคู่.....สู่พรหมจรรย์

ชีวิตผกผัน คืนวันหมุนเวียน
โลกสลับผลัดเปลี่ยน เวียนว่ายในวังวน!

ย้อนอดีตไปเมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว ดิฉันเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดนครสวรรค์ ใช้ชีวิตวนเวียน อยู่เช่นนี้ จนวันหนึ่งเพื่อนๆในตลาดบอกว่า "พี่ละออ ญาติๆพี่มาแล้วโน่น กินมังสวิรัติ ทั้งหมดเลย มีนักบวชหญิงด้วย" ได้ยินดังนั้น ดิฉันก็รีบออกมาดูด้วยความดีใจ มองหาอาหาร มังสวิรัติเพื่อที่จะใส่บาตร ดิฉันได้เหมาข้าวต้มมัดใส่บาตรในวันนั้น

หลังจากนั้นก็ติดตามเรื่อยๆว่าท่านไปฉันกันที่ไหน ดิฉันก็นำอาหารไปถวาย สิ่งที่ประทับใจ ดิฉันมาก คือ สมณะ สิกขมาตุ มักน้อย สันโดษ ฉันอาหารเสร็จไม่เก็บเอาไว้ แต่แจกญาติโยม นำไปกินกัน ดิฉันเองก็ได้รับ"ซีอิ๊ว"ขวดหนึ่ง แต่ด้วยความปลื้มปีติ ดิฉันไม่กิน แต่เก็บใส่ตู้ เพื่อระลึกบูชามานานหลายปี

เพราะท่านแปลกดี เงินก็ไม่ใช้ มักน้อย สันโดษ บิณฑบาตเลี้ยงชีพ ดิฉันศรัทธาจึงติดต่อ และ ได้รับหนังสือ"คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก" "กลางทะเลชีวิต" ยิ่งอ่านยิ่งศรัทธาเลื่อมใส จนไม่เป็น อันขายของเลย

ความรู้สึกของดิฉันเปลี่ยนไป ไม่โลภเหมือนเก่า จากที่เคยเรียกลูกค้าให้มาซื้อสินค้า เปลี่ยนไป เป็นลูกค้ามาซื้อถึงจะหยิบให้.... หนังสืออ่านแล้วทำให้ดิฉันเปลี่ยนไปขนาดนี้ แล้วถ้าเข้าไปอยู่ ในหมู่ในกลุ่ม จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดไหน

ด้วยความศรัทธาจึงติดตามไปถึงแดนอโศก ดิฉันนำผักผลไม้ไปถวายเยอะเลย สมัยนั้นดิฉัน ไปกับคณะหลายคน มีคุณจรุงใจไปด้วย แต่ดิฉันไม่ได้กลับกับคณะ ดิฉันอยู่ต่อและได้มีโอกาส พูดคุยกับพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์

พ่อท่านถามดิฉันว่า "คุณมาศึกษาหรือมาปฏิบัติ"

ดิฉันก็ตอบว่า "มาศึกษาด้วยและมาปฏิบัติด้วย เพื่อพิสูจน์คำสอนศาสนาว่าพ้นทุกข์ได้จริงไหม?

ดิฉันถือศีล กินอาหารมังสวิรัติก็ยังไม่พ้นทุกข์ มีทุกข์อยู่ตลอด"

พ่อท่านตอบมาว่า "ที่นี่รับศีลหนเดียว แต่นำไปปฏิบัติตลอดชีวิต"

ดิฉันก็ตอบว่า "โอ้โห...ก็ดีสิคะท่าน เพราะทั่วๆไปต้องไปรับใหม่ทุกวันพระ"

"ที่นี่อยู่กันแบบไม่มีใครเอาใจใครนะ" เราก็คิดว่าดี เขาไม่ต้องมาเอาใจเรา เราก็ไม่ต้องไปเอา ใจเขา สบายดี... ดิฉันได้อยู่ปฏิบัติมาเรื่อยๆเป็นปีสองปี พอคิดจะบวช พ่อท่านบอกว่า "ถ้าคิดจะบวชไม่ต้องคิดสึกนะ แต่ถ้าใครคิดจะสึกก็ไม่ต้องบวช การปฏิบัติตามฐาน ศีล ๕ ศีล ๘ ยังมีรองรับอยู่"

ดีนี่! บวชแล้วไม่สึก เรามีเพื่อนตายแล้ว เราก็ไม่อยากกลับไปบ้านแล้ว ก่อนตัดสินใจก็คิดนะ เพราะดิฉันมีคู่หมั้นแล้ว รับสินสอดทองหมั้นเขาแล้ว มาปฏิบัติธรรมจนตายมันก็ดี บวชไม่ต้องสึก มันก็ดี คิดๆต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ได้อย่างมันต้องเสียอีกอย่างสิน่า

รับศีลหนเดียวปฏิบัติตลอดชีวิต บวชแล้วไม่ต้องคิดสึกก็ดี จึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ดีกว่า เพราะดิฉันเป็นสายศรัทธา จึงกล้าตัดสินใจ "บวชแล้วไม่สึก"

ดิฉันก็ถามแม่ของดิฉันว่า "ถ้าตายไม่ได้เผาศพแม่จะเสียใจไหม"

"ไม่เสียใจ ตายที่ไหนก็เผาที่นั่น"

ดิฉันมาทราบทีหลังเมื่อท่านติกขวีโรนำขึ้นไปสัมภาษณ์ ในรายการภาคค่ำของงาน พุทธาภิเษกฯ แม่เสียใจเหมือนกัน ไปแอบร้องไห้ใต้ถุนยุ้งข้าว แม่ก็รักและเป็นห่วง แต่แม่ไม่กล้าค้าน เพราะกลัวบาป ลูกจะไปดีก็ให้ไป ใจจริงก็เสียดาย แต่ก็ต้องตัดใจให้ได้ แม่ดิฉันเป็นคนใจแข็ง ดิฉันก็เป็นคนใจเด็ด พอดีกัน!

ในช่วงวัยเด็ก ดิฉันเคยวิ่งเข้าหลุมหลบภัยในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในใจก็คิดว่า "ทำไมคนเราต้องฆ่ากันด้วย" ไอ้เราก็กลัวตาย ถามผู้หลักผู้ใหญ่ว่า "ทำยังไงเราถึงจะไม่ตาย" "รักษาศีลให้ตลอดไปจะไม่ตาย" ก็ถูก เพราะเราบรรลุธรรมได้ไม่มาเกิด เราก็ไม่ตาย

พอมาปฏิบัติรักษาศีลปฏิบัติธรรมอธิศีล มาเรื่อยๆ โอ!มันไม่ใช่ง่ายเลย มันจะเกิดอีกไหม ก็ขึ้นอยู่กับ "กรรม" คือการกระทำของเรา ก่อกรรมชั่วในขณะที่เรารู้ศีล รักษาศีล เรายิ่งบาปมาก เป็นทวีคูณ ตายแล้วอายุสั้น ก็ต้องเกิดเร็ว เกิดมารับวิบากกรรมต่อไปอีก ในภพภูมิที่ต่ำกว่านี้

โอ...หนอ เราก็ต้องเร่งปฏิบัติเพื่อให้เราได้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น ดิฉันก็เร่งอธิศีล เพราะอานิสงส์ ที่เราทำมันส่งผลต่อเนื่อง จึงสัมฤทธิ์ผลให้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเราถือศีลไม่บริสุทธิ์ ก็จะมีแต่ความเดือดร้อน ทุกข์ใจ ศีลไม่ขาดเราก็ไม่ทุกข์ สบายใจ ฉะนั้นจงเชื่อเรื่อง "กรรม" ให้มากๆ เพราะอนาคตคือผลของกรรมปัจจุบัน

ทำไมดิฉันถึงได้มาปฏิบัติในเส้นทางสายของชาวอโศกได้ง่าย เพราะดิฉันไม่ได้ติดอบายมุข หยาบ แต่ก็ชอบแต่งตัว รักสวยรักงาม ทว่าก็ "ขี้อาย" พอแต่งตัวทีไร ผู้หลักผู้ใหญ่ล้อเลียน ก็ทำให้อาย จึงไม่กล้าแต่งตัวอีกเลย

การถือศีลให้ถึงศีลก็คือ เพิ่มอธิศีลให้ถึงจิตใจ ลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ เมื่อลึกลงถึงจิต วิญญาณ ก็จะทำให้เราสำนึกเกิดหิริโอตตัปปะ ความละอาย เกรงกลัวต่อการทำบาป แต่ถ้าถือศีล ปฏิบัติธรรมไม่ถึงจิตวิญญาณ แม้อยู่ในแวดวงของคนมีศีล ผู้นั้นก็ย่อม "กล้า" ที่จะทำผิดศีลได้

การถือศีลปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตัวเราพ้นทุกข์ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับ ผู้ที่จะเอาจริง คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้มาพิสูจน์ด้วยตัวเองให้เห็นเอง แล้วจะรู้เอง ว่าเป็นเช่นไร ไม่ใช่ให้มานั่งด้นเดา คาดคะเน อยากพ้นทุกข์มีความสุขต้องถือศีล ๕ ละอบายมุข ชีวิตก็มีสุขในระดับเบื้องต้นแล้ว

ชีวิตทุกคนย่อมมีอุปสรรค ดิฉันก็มีอุปสรรค เพียงแต่ดิฉันมีความศรัทธาเป็นที่ตั้ง มีการใฝ่ธรรมะ เป็นที่หมาย จึงมาสู่เส้นทางสายนี้ได้โดยง่าย แต่การอยู่ไม่ใช่ง่าย ทุกก้าวเดินมีอุปสรรค เว้นแต่ว่า จะแปรอุปสรรคนั้นให้เป็นดอกไม้ได้อย่างไร

อุปสรรคคือบททดสอบ เป็นข้อสอบให้ทุกชีวิตสอบให้ผ่าน ใครสอบผ่านก็ต้องเจอบทต่อไป สู้ได้ หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าของชีวิต ความดีความชั่วก็เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับเจ้าของชีวิตว่า จะเลือก ทำความดีแม้ยาก หรือเลือกทำความชั่วที่มันง่าย ดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"เมื่อโกหกมุสาจนเคยตัว ก็มักจะทำให้ประพฤติชั่ว
และเมื่อจะประพฤติชั่ว ก็มักจะต้องโกหกมุสา
และเมื่อโกหกมุสาแล้ว ก็จะทำให้สามารถประพฤติชั่วได้อย่างไม่สะทกสะท้าน หรือละอายในบาป"

น้อมกราบคารวะ
*** สิกขมาตุอ่านตน อโศกตระกูล ***

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๙ กุมภาพันธ์ - มีนาคม ๒๕๔๗ -