ตอน เศรษฐกิจ + สังคม + ชุมชน + กสิกรรม + ภาพยนตร์ + ธรรม
ในกระบวนการทัศน์หนึ่งของระบบบุญนิยม


เมษายน
หนึ่งน้ำใจ เป็นชื่อร้านค้าของศีรษะอโศกที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ทดแทนร้านเดิมที่ถูกไฟไหม้ ๒ เม.ย. ๔๗ ทางศีรษะอโศกได้นิมนต์พ่อท่านให้มาแสดงธรรม เนื่องในโอกาสทำบุญ เปิดร้านใหม่ การค้าขาย ในยุคหน้าจะจัดจ้านรุนแรงขึ้นเพราะอะไร ทำไมคนยุคนี้ จึงลำบากกว่าคนยุคก่อน เมื่อบุญนิยม จะทำธุรกิจ แล้วจะต้องขาดทุน สิ่งที่จะขาดทุน นั้นคืออะไรเพื่อให้หมุนเวียนอยู่ได้ สุดท้ายพ่อท่าน ได้เตือนและฝาก ข้อคิดใด ให้พวกเรา ได้พิจารณา

พาณิชย์บุญนิยม รวมกันเราอยู่ จากการให้โอวาทเปิดประชุมพาณิชย์บุญนิยม ในงาน ปลุกเสกฯ ที่ศีรษะอโศก ๘ เม.ย. ซึ่งมีฝ่ายการค้าจากชุมชนต่างๆเข้าร่วมประชุมด้วย เมื่อการค้าโดยทั่วไป เป็นการขูดรีดและโหดร้าย แต่เราจะทำการค้าที่เป็นบุญได้ และจะทำ ได้ดีด้วย ทำให้เป็นสัมมาอาชีวะ ในสังคมได้ สมณะนักบวชเอง ก็จะเข้ามา เกี่ยวกับ การค้าได้ในบทบาทอย่างไร และสุดท้ายพ่อท่าน บอกถึง การผนึกรวมกัน ของบุญนิยม ในทางการค้าจะเกิดผลเจริญอย่างไรบ้าง

ผลการวิจัยประเมินผลการพักชำระหนี้เกษตรกร ๔ เม.ย. ๔๗ การสนทนาระหว่าง คกร. และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ส่วนหนึ่งที่ได้ไปร่วมงานปลุกเสกฯ มีเรื่องใดที่น่าสนใจ ในสายตา ของเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ที่ได ้ร่วมงานอบรม ตามหลักสูตร สัจธรรมชีวิตมา ๓ ปี และในงาน " ปิดโครงการ พักชำระหนี้" ที่เมืองทองธานี พ่อท่านเขียน ข้อความใด ให้กสิกร ที่ไปร่วมงาน ได้อ่าน และ ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ผู้ทำวิจัยประเมินผล การพักชำระหนี้ เกษตรกร ได้กล่าวอะไร จากเอกสารที่ ธ.ก.ส.พิมพ์ขึ้น

เตรียมสร้างภาพยนตร์ธรรมยาตรา ๑๕ เม.ย. ๔๗ ที่สันติอโศก มีการประชุมเตรียม การสร้าง ภาพยนตร์ ในแนวธรรมะ โดยมีชื่อลำลองว่า ธรรมยาตรา เจ้าของบริษัท APS ยืนยันรับ ออกทุนทำให้ โดยไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจ แต่ทำเพื่อต้องการ ให้หลักคำสอน ของพระพุทธเจ้า ได้เผยแพร่ออกมา ในรูปของภาพยนตร์บ้าง พ่อท่าน ให้ข้อคิด เพื่อเป็น พื้นฐานของคณะ ที่จะเขียนบท และถ่ายทำ ได้ทราบว่า ศาสนาพุทธ อย่างที่ พ่อท่าน เข้าใจ ต่างจาก ที่สังคม ส่วนใหญ่ เป็นกันอย่างไร แน่นอนว่าย่อมต่าง จากภาพยนตร์ธรรมะ ที่สร้างกันมาก่อนหน้านี้ แล้วทั้งหมด โดยเฉพาะบทสนทนา จะแปลกออกไป จากการ คาดการณ์ ของคนในสังคม แน่ๆ และพ่อท่านเห็นว่า ถ้าภาพยนตร์ เรื่องนี้ ได้เผยแพร่ ออกไป จะทำให้ชาวพุทธ เข้าใจ ศาสนาพุทธ ที่แท้จริงมากขึ้นด้วย

กระแสความยอมรับจากในและนอกประเทศ ๒๑ เม.ย. เจ้าคณะตำบลรังกาใหญ่ ในจังหวัด นครราชสีมา ได้มากราบนมัสการพ่อท่าน และสนทนาด้วย ต่อด้วย Phra Jingxiang จิ้งเซี่ยงฝ่าซือ หรืออดีต สมณะสมณลักขโณ ได้มากราบนมัสการ และบอกเล่า การสัมมนา ที่มาเลเซีย มีส่วนใดที่น่าสนใจ เชิญพลิกไปอ่านได้

พาณิชย์บุญนิยมในอีกลักษณะหนึ่ง จากการประชุมชุมชนสันติอโศก ๒๑ เม.ย. พ่อท่าน ได้บอกเล่า เรื่องของบริษัทขอบคุณจำกัด ให้หน่วยงานอื่นๆได้ทราบ คราวนี้จะมีอะไร ที่แปลก ไปจากบริษัท การค้าทั่วไป เชิญพลิกไปอ่านได้

กับการรักษาแพทย์แผนจีน ๒๑ เม.ย. หมอหลิวซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของคุณแผ่นฟ้า ได้มาตรวจแมะ รักษาสมณะ หลายรูป จึงได้นิมนต์พ่อท่านให้หมอหลิวช่วยแมะตรวจ เพื่อจะช่วยเรื่องคอ เรื่องอาการไอ จากการตรวจ หมอหลิวได้บอกถึง จุดอ่อนที่ตรวจพบ คืออะไร และได้ให้ คำแนะนำอย่างไร

สิ่งที่ผู้มีทรัพย์ล้นฟ้า และอำนาจล้นแผ่นดินพึงไตร่ตรอง ๒๔ เม.ย. ที่ศีรษะอโศก จากการ แสดงธรรม ทำวัตรเช้า กับญาติธรรมจำนวนมาก ที่ได้ไปช่วยงานจัดเตรียมการต้อนรับ ท่านผู้ใหญ่ ซึ่งได้ให้เกียรติ พักค้างคืน ที่ศีรษะอโศก หลังการแสดงธรรมแล้ว หลายคน บอกเหมือนพ่อท่านเทศน์โปรดให้ท่านผู้ใหญ่โดยอ้อมๆ เนื่องจากท่านพักค้าง ที่ในหมู่บ้าน ไม่ได้มาร่วมทำวัตรที่ศาลาด้วย แม้กระนั้นเสียงก็กระจาย ไปทั่วหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่รู้ชัด ว่าท่านผู้ใหญ่ จะฟังหรือไม่ การแสดงธรรมบางส่วนที่น่าสนใจเชิญพลิกไปอ่านได้

Phra Jingxiang ซักถามเรื่องสติปัฏฐาน ฌาน วิตกวิจารณ์และองค์คุณของพระอาริยะ ๓๐ เม.ย. Phra Jingxiang ได้ซักถามสิ่งที่ท่านข้องใจเพื่อจะได้นำไปอธิบายให้ชาวจีน ในมาเลเซีย และไต้หวันได้เข้าใจ มีประเด็น ที่น่าสนใจยิ่งคือ การอธิบายว่าพระโสดาบันคือผู้ที่มีศีล ๕ พระสกิทาคามีคือผู้ที่มีศีล ๘ นั้น พ่อท่าน ไปเอามาจากไหน พูดเอาเองหรือเปล่า? น่าสนใจนะ

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ด้วยโอวาทปิดประชุมพาณิชย์บุญนิยม ๒๖ เม.ย. ที่สันติอโศก ส่วนที่ น่าสนใจก็คือ พ่อท่านวิจารณ์การฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างที่นายกฯ ทักษิณ ทำอยู่เป็นอย่างไร และ ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ วิสัยทัศน์ในเรื่องเศรษฐกิจและสังคมศาสตร์ระหว่างประเทศ ในระบบบุญนิยม จะเป็นอย่างไร? ผู้สนใจไม่น่าพลาดนะ


*** หนึ่งน้ำใจ
๒ เม.ย. ๔๗ ที่ศีรษะอโศก มีการทำบุญเปิดร้านหนึ่งน้ำใจ ซึ่งเป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้า ของชุมชน และสินค้าอื่นๆ จากภายนอกด้วย นับเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ที่สุด ของชุมชน ชาวอโศก เท่าที่เคยมีมา พื้นที่ประมาณ ๑๒๐๐ ตารางเมตร เท่ากับเฮือนศูนย์สูญ ของบ้านราชฯ เนื่องจากใกล้งานปลุกเสกฯ จึงมีญาติธรรม และนักเรียนมาร่วมเตรียมงาน จำนวนมาก ทั้งหมดพลอยได้มาร่วมอนุโมทนาบุญ ครั้งนี้ด้วย จากบางส่วน ที่พ่อท่าน แสดงธรรม เปิดร้านหนึ่งน้ำใจดังนี้

" มาถึงวันนี้แล้ว อาตมาเห็นพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของการตกผลึกจากการปฏิบัติ ขึ้นมา เป็นกอบเป็นกำ และขยายผลต่อออกไปเรื่อยๆ

เราทำงานกับสังคมในเรื่องของธุรกิจการค้าขาย หรือการแลกเปลี่ยนวัตถุสมบัติ มันหยุดยั้ง ไม่ได้ในโลก นับวัน ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที โลกีย์เป็นอย่างนั้น เราเป็นโลกุตระ ก็ตาม เราจะไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้ ถึงทำได้ ก็ไม่ควรทำ เพราะมันโง่ มันตื้น และมันก็แคบ มันไม่มี ประโยชน์อะไรเลย เราเกิดมาทำไมล่ะ เรามีสมรรถนะ เรามี ความสามารถ เรามีความรู้ เราสามารถ ที่จะช่วยเหลือเฟือฟายมนุษย์โลกได้ ถ้าเราทำแค่ อยู่ในกะลาครอบ ก็เสร็จไปนานแล้ว

ถ้าเราจะปิดกลุ่มหมู่ของเราไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย ไม่ช่วยเหลือเฟือฟายใครแล้ว เราทำกับ กลุ่มหมู่ของเรา ในนี้ก็พอแล้ว พออยู่พอกิน อยู่รอดสบายแล้ว โฮ้ ! ตายเสียวันนี้ ก็เหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์อะไร แล้วจะอยู่ไปทำไม หายใจก็เปลืองอากาศในโลกอยู่นะ นั่งเฉยๆ ก็เปลืองที่ เขาอยู่นะ เสียอากาศ เสียอาหาร เพราะเราต้องกินผัก กินพืชเขาอยู่ จะอยู่โดย ไม่อาศัย ใครเลยไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะมานั่งเห็นแก่ตัว ไม่ทำอะไร ไม่ช่วยใคร ได้อย่างไร

โลกต่อไปนี้จนถึงกลียุค การซื้อขายแลกเปลี่ยนจะจัดจ้านรุนแรง เพราะปุถุชนคนมีกิเลส จะแย่งชิง กันมากขึ้น สมัยโบราณสมบัติข้าวของเป็นของสาธารณะเป็นส่วนมาก จึงไม่ต้อง ไปแย่งอะไรกันมาก อยากได้อะไร ก็ไปเอาในที่สาธารณะ ไม่ได้เกิดการยึดถือ ติดยึด หอบหวง จึงมีการเผื่อแผ่กัน โดยธรรมชาติ พออยู่พอกิน ธรรมชาติก็สามารถ ผลิตอะไรออกมาได้ทัน ต่างไปจากสมัยนี้ที่ธรรมชาติน้อยลง กิเลสหนาขึ้น คนสมัยนี้ จึงลำบากเดือดร้อน เพราะไม่ได้ มาทำตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าพาทำ แต่พวกเรา ชาวอโศก ไม่เดือดร้อน ทั้งๆที่ก็ยังทำงาน ร่วมกันอยู่ ในสังคมได้ แล้วก็ไม่ขัดแย้ง เพราะเราให้ เขาเอา มันก็ไม่ขัดแย้งกันหรอก

อุดมคติของบุญนิยม คือ ขายให้ขาดทุน ยิ่งขาดทุนได้มากเท่าใด ก็ถือว่ากิจการยิ่งเจริญ

นี่คือ อุดมการณ์ ที่ชาวอโศกปฏิบัติกันอยู่อย่างสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องต้องงงแน่ๆ

การค้าขายบุญนิยมที่เราจะขาดทุนนั้น ขาดทุนจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่น และไม่ใช่ขาดทุน ชั่วคราว เพื่อหลอกล่อ อย่างมีเล่ห์เหลี่ยมด้วย ก็ต้องมาพูดกันว่า เราจะขาดทุนอะไร ในการทำธุรกิจ การพาณิชย์ มันจะมีวัตถุดิบ มีต้นทุน และก็มีค่าใช้จ่ายต่างๆ สิ่งเหล่านี้ มันจ่ายจริง เราจึงขาดทุน สิ่งนี้ไม่ได้ แล้วเราจะขาดทุนอะไร ฟังตรงนี้ให้ดีๆ เราขาดทุน" ค่าแรงงานของเรา" ไงล่ะ ขาดทุนเฉพาะ ส่วนที่เป็น" ค่าตัวของเรา" คือค่าแรงงาน ค่าความรู้ ค่าความสามารถ ค่าจัดการ ค่าวิชา อะไรก็แล้วแต่ที่เราใช้จริง ตีราคาเป็นมูลค่า กันทั่วไป นั้นแหละ เราเสียสละ ส่วนนี้ ใครยิ่งสละออก หรือใครยิ่งเอา" ค่าตัว" น้อยลงๆได้เท่าใดๆ ก็คือ เราขาดทุน น้อยลงไป เท่านั้นๆ การคิดราคาทุนของสินค้าตามธรรมดา ก็ต้องบวก ราคา " ค่าตัว" ของคนลงไปด้วย เช่น ค่าอื่นๆ ทั้งหลาย ที่จ่ายจริง ๔๐ ค่าตัว ๖๐ ราคาทุน ก็คือ ๑๐๐ เราก็ลดราคา จากค่าตัว ๖๐ นั้นแหละลงมา เมื่อลด" ค่าตัว" ราคาสินค้า ก็ลด จากราคาทุน ลงมาแล้ว ถ้าลดค่าตัว ที่เราควรได้ ๖๐ นั้นลงมา ๒๐ เราเอาค่าตัวแค่ ๔๐ สินค้านี้ เราก็ต่ำกว่าทุน ลงไป ๒๐ นั่นก็คือ ขาดทุน ๒๐ ถ้าใครยิ่งลด" ค่าตัว" ลงมาได้มาก เท่าใด ก็ขาดทุน มากเท่านั้น เราก็ลดค่าตัวลง ให้ได้มาก เท่าที่เราจะสามารถอยู่ได้

ค่าความรู้ความสามารถของคนที่เก่งขึ้นดีขึ้นก็ย่อมเป็นจริง การผลิตก็ต้องใช้แรงงาน คนๆ หนึ่ง ก็ทำได้ ขนาดหนึ่ง จะทำได้มากขึ้นก็ต้องมีคนงานเข้ามาช่วย แต่เมื่อคนงานของเรา มีไม่มาก เราก็ต้องเพิ่ม สมรรถนะ ของเรา เชี่ยวชาญชำนาญขึ้น มันจะเกิดทักษะ แล้วเรา ก็ขายถูกได้อีก ดังนี้เป็นต้น

อุดมการณ์ของบุญนิยม คือ ขายถูกลงๆให้ได้ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆก็ยิ่งเป็นบุญ ซึ่งจะทำให้ ทุนนิยม ที่มีอุดมการณ์ว่ายิ่งขายแพงขึ้นได้มากๆยิ่งถือว่ายิ่งเจริญนั้น รู้สึกว่า บุญนิยม เป็นคู่แข่ง แล้วเขาก็อาจ จะหาทาง มาเล่นงานชาวบุญนิยม ก็ขอบอกว่า ชาวบุญนิยม ไม่ได้คิดต่อสู้กับชาวทุนนิยม ไม่ได้เป็นศัตรูกับใครๆ แต่ชาวบุญนิยม ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ที่จะเสียสละให้สังคม ให้ผู้อื่น ให้ลูกค้า เพราะเชื่อมั่นว่า คนเสียสละ เป็นผู้ให้ นั้นคือ คนมีประโยชน์ มีคุณค่าอย่างแท้จริง เราเสียสละ " ส่วนที่เป็นสิทธิ์ของเรา" แท้ๆ เราไม่ได้แกล้ง ไม่ได้สร้างภาพ ไม่ได้แข่งขัน ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้หมายจะโค่นล้มใคร ไม่ได้มีเจตนา ทำเพื่อให้ทุนนิยม เสียประโยชน์ แต่อย่างใด อันนี้ชาวบุญนิยม จะต้อง ศึกษา ความจริง ที่ลึกซึ้งนี้ และศึกษาทั้งศาสตร์และศิลป์ มียุทธศาสตร์ มีความรู้ ที่จะดำเนินการ ไม่ให้เกิด การเข้าใจผิด เราต้องทำให้เราอยู่รอด เพื่อการดำเนินไปอย่างดี

ทำไมเราต้องทำอย่างนี้? และทำไมไม่มีใครเขาทำ?

ทำไมต้องเป็นเรา เพราะมันไม่มีใครทำอย่างนี้ และอย่างนี้มันเป็นความประเสริฐแท้ มันทำให้ เราเป็นคน มีประโยชน์คุณค่า เป็นประโยชน์ต่อสังคมช่วยสังคม นี้คือสัจจะ ไม่ว่าจะเป็น รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ เราก็จะศึกษา กันตามจริง จากวิถีชีวิตของพวกเรา และร้านค้าของเรา จะก้าวหน้าไป ตามความเป็น ความควร ของมัน ระวัง ! เราอย่าเห่อเหิม เรายังไม่มีร้านใหญ่ อย่างนี้ ก็อยากมี ทั้งๆที่ต้นทุน ของเรากระจอกมีหน่อยเดียว อ้าขาผวาปีกเกินตัวเกินควร อย่าอยากใหญ่ อย่ามักมาก ทำให้เหมาะสม กับที่เราควรเป็นควรมี

ทุกวันนี้ ๑. ความนิยมของสังคมข้างนอก ที่นิยมในตัวพวกเรานั้นมีอัตราการก้าวหน้า สูงกว่า ๒. อัตราก้าวหน้า ทั้งด้านสมรรถนะความสามารถชาวอโศก ทั้งด้านธรรมะ คุณธรรมด้วย อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ๓. อัตราการก้าวหน้า ของปริมาณประชากร ชาวอโศก ที่จะมาเป็นแก่น เป็นแกน ร่วมหัวจมท้ายด้วยยิ่งน้อยใหญ่เลย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เราจะต้องงด หรือหยุด การอ้าขาผวาปีกรับงานนอก มากเกินแรงเรา อย่าไปหลงเห่อกับ ความนิยม จากภายนอก เราต้องมาเร่งพัฒนาใน เก็บกวาดบ้านของเราให้สะอาด แม้วันนี้ก็ยังจำเป็น ที่เราจะต้อง เน้นเนื้อ ให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่น ให้แน่นกว่ากว้าง อยู่อย่างเดิม ที่เคยมา"



*** พาณิชย์บุญนิยม รวมกันเราอยู่
๘ เม.ย. ๔๗ ที่ศีรษะอโศก ในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๘ หลังเสร็จการแสดงธรรม ทำวัตรเช้า มีการประชุม พาณิชย์บุญนิยม พ่อท่านได้ให้โอวาทเปิดการประชุมดังนี้

" เรื่องการพาณิชย์นี้มันเป็นเรื่องใหญ่ในโลก พอๆกันกับสื่อสาร มันเป็นเรื่องสำคัญ เราเป็น นักปฏิบัติธรรม ยิ่งจะต้องเอาใจใส่ เพราะว่าการค้าการขายเป็นการทารุนโหดร้ายได้ เป็นการช่วย ให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ เป็นได้ ทั้งสองด้าน แต่ส่วนมากการค้าการขายทุกวันนี้ เป็นเรื่องโหดร้าย ทำให้ไม่อยู่เย็นเป็นสุขกัน มันขูดรีด โกง ทุจริตอะไร ก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มีคุณธรรมไปทำงานพวกนี้อยู่ ซึ่งเป็นกิจสำคัญของสังคม มันก็เลยร้ายแรง ทำให้สังคม เดือดร้อน เราจึงจำเป็นจะต้องทำหน้าที่ เพราะว่าการค้า การขาย ก็ทำเป็นบุญได้ อาตมาว่าเป็นบุญ ไม่ใช่น้อยเลยด้วย สร้างสรร เสียสละ ทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้ ก็จะต้องมีการหมุนเวียน แลกเปลี่ยนถ่ายเทของกิน ของใช้ ของอาศัย ธุรกิจการค้าขาย มันจำเป็น คนในโลกเพิ่มมากขึ้นๆ จำเป็นต้องมี การซื้อขาย แลกเปลี่ยน สมัยโบราณ แลกเปลี่ยน กันตรงๆ เอาของมาแลกของ ไม่คำนึงการได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกันนัก ระบบของแลกของเดี๋ยวนี้ มันก็น้อยแล้ว ทุกวันนี้ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวมันมาก มันจัดจ้าน มีการเสียเปรียบ ได้เปรียบกัน หนักหนาสาหัส ในการใช้เงินเป็นตัวกลาง มันก็เป็นเรื่อง วิวัฒนาการ ของสังคมมนุษยชาติ คิดราคา คิดมูลค่ากัน ชนิดที่ใช้ความฉลาด ใช้เล่ห์สุดเล่ห์ เพื่อแย่งชิง การได้เปรียบ

พวกเรามั่นใจว่าเราพยายามลดกิเลสจริง พวกเราทำให้ไม่ตกเข้าไปอยู่ในวงจรร้าย ดังกล่าวได้ และทำดีด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรับผิดชอบทำงานนี้ เพราะเราเอง ก็ต้องอาศัย งานนี้ ยังชีพ ให้เป็นสัมมาอาชีวะ ในสังคมด้วย ในฐานะของภิกษุ เป็นสมณะ แล้วนี่ ไปทำการค้า การขายอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ภิกษุหรือ สมณะ นี่จะเป็น ที่ปรึกษา หรือ ให้ความเห็นไม่ได้ สั่งสอนไม่ได้ ไม่ใช่ ภิกษุก็ทำได้ ในการให้ความเห็น เป็นที่ปรึกษา หรือสั่งสอน แม้จะไม่มีความรู้ไม่เชี่ยวชาญ ในวิธีการ การขายในเชิงธุรกิจ เลยทีเดียว แต่เป็นเชิงซ้อน ในการปฏิบัติประพฤติ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอยู่ในงาน เพราะว่า ในงาน ก็ต้องมี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำอย่างไร จึงจะผสมผสาน กับสังคม จะลด อย่างไร จะเพิ่มอย่างไร จะทำอย่างไร ก็ช่วยได้ อย่างชัดเจน ยิ่งถ้าสมณะ หรือภิกษุ ที่ท่านรู้ ในหลักเศรษฐศาสตร์ รู้ในหลักพาณิชย์ศาสตร์ หรือรู้ในกฎหมายอะไร ต่างๆ นานาพวกนี้ ท่านก็สามารถ เสริมความรู้เหล่านั้น ให้พวกเรา ได้ด้วย เพราะฉะนั้น การประชุมกัน ที่มีสมณะด้วย ก็เป็นการช่วยกันคิด ช่วยกันรังสรรค์ อะไรต่างๆนานา สิ่งที่เราควรผนึกกัน ควรจะต่อโยงใย สัมพันธ์ถึงกันให้หมด ทำอะไร เป็นแนวเดียวกัน

อย่างวันนี้จะมีประเด็นของ ต.อ. เรื่องการติดราคาขายส่งบนฉลากผลผลิตของ ชาวอโศก นี่เราก็ต้อง รับรู้กันว่า มีนโยบายอย่างไร มีวิธีการทำอย่างไร มันจะได้สอดคล้องกัน มันจะได้เป็น หนึ่งเดียว เป็นน้ำหนัก ที่จะบอกว่าทำอย่างนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อตน ต่อท่าน ต่อมวลมนุษยชาติ ทั้งเป็นประโยชน์ต่อพวกเราเอง อย่างเป็นปรมัตถ์ด้วย มันก็จะมีผลเร็ว ทันทีทันใด เพราะฉะนั้นการประชุมกันเสมอ หมั่นพรักพร้อมกันประชุม พรักพร้อมกันเลิก มันเป็นความเจริญ ถ้าต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำอยู่คนเดียว มันไม่เร็วหรอก แล้วมัน ก็ผิดพลาด ได้ง่าย โดยเฉพาะแนวคิดบุญนิยม มันมีแนวคิดของมัน จึงต้องการ ความร่วมมือ ต้องการ ความเป็นปึกแผ่น ต้องการทิฐิที่เป็นทิฐิสามัญญตา เป็นสมานัตตตา ต้องการ ความเป็น หนึ่งเดียวกัน เป็นความเข้ากันได้ เป็นการทำ ในทิศทางที่สอดคล้องกัน ไม่เช่นนั้น ไม่มีพลังแรง เพราะบุญนิยมเรานี่ ก้อนทุนเรา ไม่ใหญ่ ไม่เหมือนทุนนิยมเขา เขามีก้อนทุนมาก และใหญ่ สายป่านยาวอีกต่างหาก แต่ของ บุญนิยม นี่ มันซับซ้อน ให้เอากำไร หรือส่วนเกิน ให้น้อยลงมาๆๆ แล้วแถมไม่ให้กักตุน ไม่ให้สะสม ให้สะพัดออก ให้เร็วอีกต่างหาก เราจึงต้องอาศัย รวมกันทำ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีทุนรอนส่วนกลาง กองทุนบุญนิยม ที่ไปทำ กิจการต่างๆแล้ว ก็สามารถ ที่จะผันเงิน ยืมเงินออกไปจาก กองกลาง แล้วก็ ผันคืนมา คนไหน ที่จะเอาไปใช้เป็นก้อนโต ก็ต้องใช้ วิธีนี้ เพราะมัน ยิ่งกว่านายทุน ยิ่งกว่าทุนนิยมเขา ทุนนิยม เขามีของเขาเอง มันเป็นกอบเป็นก้อนมากมาย เพราะเรา ไม่ได้สอน ให้มารวย ส่วนกลาง ก็ตามก็ไม่ได้ ให้มากอบโกย แต่เมื่อกิจการ มันก้าวหน้า มันก็ต้องใช้ทุนรอน ใช้เงินเยอะขึ้น สร้างอาคาร เพิ่มขึ้น สร้างเครื่องมือ เครื่องใช้ เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่เงินทุน ที่จะต้องมาซื้อสินค้า เข้าร้าน จึงจำเป็นต้องอาศัย เงินก้อน จากส่วนกลาง ซึ่งก็เป็นน้ำใจของพวกเรา มีเงิน คนละเล็ก คนละน้อย แล้วก็เอามารวมกันเป็นส่วนกลาง เพื่อที่จะให้มาผันใช้กับ กิจการ ต่างๆ ก็คล้ายวิธีการ ของโลกเขา แต่เราก็ทำอย่างของเรา ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีการขูดรีด อะไรกัน ทั้งผู้ให้ยืม ทั้งผู้ขอเกื้อ (ไม่เรียกกู้) ไป มีเงินก็เอื้อเกื้อกูลหมุนกันไป ระบบอย่างนี้ พวกเรา ทำกันได้ และโดยเฉพาะ เราจะได้พัฒนา จิตใจของเรา ถ้าเรามาประชุมกัน เราก็จะได้รับรู้ มีสมณะมีใคร ช่วยแนะนำ เกิดปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดจิตตก จิตกระทบ แก้ไม่เป็น หรือว่าลีลาของแต่ละคนมีหลากหลาย ก็จะได้เอามาถ่ายทอด บอกกัน เราก็จะได้เกิด ประโยชน์ คุณค่าในทางธรรม ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติการงานด้วย จะได้ทั้งสองด้าน ช่วยกันทำไป อาตมาว่าพวกเรานี่ อบอุ่นเป็นปึกแผ่นที่ดี ก็ควรจะทำ ให้มันสอดคล้อง ว่าเราเป็นปึกแผ่นนะ พรั่งพร้อมกันประชุม เรารู้ฐานะ หน้าที่แล้ว หลายคน สวมหมวก หลายใบ ประชุมพาณิชย์ก็ไป ประชุมสื่อสารก็ไป ประชุมกสิกร กสิกรรมก็ไป ประชุม การศึกษาก็ไป ก็เอา มีเรี่ยวมีแรงก็ทำเข้าเถอะ แม้ไม่มีเรี่ยวแรง จะเป็นนักรู้ ก็รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ถ้าเรามีเวลา....ไป ให้เป็นพหูสูตเลย ถ้าเราเอาใจใส่ ในการปฏิบัติ แล้วเรา ก็จะมี ปฏิเวธด้วย เอาละนี่ ก็เปิดประชุมก็ถึงนิพพานแล้ว"



*** ผลการวิจัยประเมินผลการพักชำระหนี้เกษตรกร
๔ เม.ย. ๔๗ ที่ศีรษะอโศก ในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๘ ช่วงเย็นพ่อท่านลงจากห้องทำงาน มาเข้า ห้องน้ำ ผ่านมาที่ศาลา มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.และ คกร.กำลังพูดคุยกัน เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. คนหนึ่ง บอกเล่า ให้พ่อท่านทราบว่า

" กราบเรียนพ่อท่านว่า ที่เขามาลงทะเบียนคนจน ตั้งหกล้านคน แบ่งเป็นไม่มีงานทำ หนี้สิน นอกระบบ ไม่มีที่ดินทำกิน ทีนี้ ธ.ก.ส.ต้องเข้าไปในส่วนเรื่องหนี้สินนอกระบบ เจ้าของงานนี้ ก็คือ กระทรวงการคลัง เขาก็ถามว่า เครื่องไม้เครื่องมือของ กระทรวง การคลัง อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ ธ.ก.ส. ก็บอกว่า ธ.ก.ส. ไปทำอย่างไร ก็เล่าให้ฟัง เรื่องโครงการ พักชำระหนี้ อบรมอะไรต่างๆที่ คกร.ช่วย ท่านก็ว่า เอ้า..ช่วยรับเรื่องนี้ เอาไปทำต่อ นี่คือ ที่ไปที่มา ของโครงการที่จะต้องทำต่อ"

เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.อีกท่านหนึ่งเสริม " ๓ ปีที่ผ่านมา เราก็มีหน่วยงานที่ทำงานกันมาก มีกระทรวง เกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมเกษตรและสหกรณ์ งบลงไป เยอะแยะมาก พอประเมินผลออกมา โดยทางธรรมศาสตร์ ปรากฏว่า ที่ทำมานั้น ล้มเหลว หมดเลย ยกเว้น โครงการฝึกอบรมสัจธรรมชีวิต เรื่องนี้เป็นการถ่ายทอด ทั่วประเทศ และรายงาน ท่านนายกฯ ด้วย ท่านนายกฯก็บอกว่า เรื่องที่ทำ ประสบ ความสำเร็จ อันดับหนึ่ง ก็เกี่ยวกับเรื่อง การพักชำระหนี้ ที่ได้ไปฟื้นฟู ต่างๆนานา นี่ก็คงเป็น จุดความสำเร็จ เบื้องต้น เพราะโครงการ นั้น เราจำกัดวงอยู่กับผู้ที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. ไม่เกินแสนบาท แต่ครั้งใหม่ ที่จะแก้ปัญหา ความยากจนนี้ มันครอบคลุมไป ทั้งประเทศ เลยนะครับ เอาคนที่เป็นหนี้ เกินกว่าแสนบาท มาด้วย แล้วก็เอาคน ที่เป็นหนี้ นอกระบบ มาด้วย

ผู้ที่มีหนี้เกินแสนส่วนใหญ่มีเหตุจำเป็นครับ เช่น เกษตรกรที่ส่งลูกเรียนราชภัฏฯเป็นลูกค้า รายใหญ่ เรื่องความเจ็บป่วย แต่ก่อนไม่มีโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ค่าใช้จ่าย ในการรักษา ได้สร้างหนี้สิน ให้กับเกษตรกร จำนวนมาก สามเป็นเรื่องของการผลิต ที่ล้มเหลว สี่ปัญหา เรื่องการตลาด อันนี้เป็น สี่ตัวหลัก ที่ทำให้เกิด ค่าใช้จ่ายสูง รายได้ต่ำ"

พ่อท่าน " เท่าที่อาตมาฟังดูแล้ว มันเป็นเรื่องไม่เข้าใจโลกุตระ ไปกับโลกียะหมด เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้อาตมา แว่บขึ้นมา เอ้!.... ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเอาลูกมาอบรมด้วย แต่คงเป็นไป ได้ยาก เพราะพวกนี้ หัวสูง คงจะต้อง เอาพ่อแม่นี่แหละ มาทำให้ลูกเห็น เข้าใจซาบซึ้งเลยว่า ต้องมาลดละเลิก มาเพิ่มผลผลิต ตัดทอน ในสิ่งที่โลกหลอก"

คุณถึงไท ถาม " ประเด็นที่เป็นห่วงกันตอนนี้ก็คือ เขามีคนที่จะให้เราอบรมเยอะ ของเรา จะทำไหว ไหมครับ"

พ่อท่าน " ถึงอย่างไรอันนี้เราต้องขอจริงๆเลย เราทำเกินแรงของเราไม่ได้ ถ้าได้ฟังเทศน์ อาตมา เมื่อเช้าแล้ว ก็คงเข้าใจ อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆว่า อัตราการก้าวหน้าของ ความยอมรับ ชาวอโศก จากสังคมมีสูง สมมุติถ้าให้คะแนน ก็เป็น ๑๐๐ แต่อัตรา การก้าวหน้า ของคุณธรรม และสมรรถนะ ของพวกเรา อาตมาให้เพียง ๕๐ ยิ่งอัตรา การก้าวหน้า ของมวลปริมาณ ชาวอโศก ที่จะเข้ามาเป็นแก่นเป็นแกน อาตมา ให้เพียง ๒๕ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ตอนนี้ มันวิ่งไล่ ๑๐๐ ไม่ทัน มันอาจจะมากกว่า ๑๐๐ ด้วยซ้ำ"

เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. " เราได้คุยกันว่าต่อไปเราคงต้องใช้สิ่งที่ทำมา ๓ ปี แล้วเราก็มีการเรียนรู้ อยู่ข้างนอก ตามศูนย์ อบรมของเรา ๒๐ แห่งที่เกิดขึ้น แล้วเราก็ใช้สิ่งที่เราได้มาใน ๓ ปี ให้เป็นประโยชน์ เอามาต่อยอด กับทางอโศก"

พ่อท่าน " มันก็ได้บ้าง แต่ลึกๆแล้วอาตมาก็รู้อยู่ว่า คนที่จะมีบารมีนี่มันไม่มาก มีเหมือนกัน แต่น้อย คนที่จะมี บารมี เข้ามาปั๊บก็เข้ากันได้กับอโศก ไม่ทิ้งห่างมากนี่มันมีน้อย อันนั้น เราก็ทำอยู่ไง แม้แต่งาน ปลุกเสกฯนี่ ก็มีผู้ที่ไปอบรมแล้ว เข้ามาก็มีอยู่ แต่เราเอง จะไปเอา ประเภทที่ทะล่อทะแล่เข้ามา ยังไงก็หยวน....ไม่ได้ เรื่องนี้ มันเป็นเรื่อง ปรมัตถสัจจะ อาตมาเอง มั่นใจในกลุ่มชาวอโศกว่า จะไปรอด เพราะมันมีความจริง คนเหล่านี้ เขามุ่งมา ทางที่ อาตมาพาลดพาละมาจริง เขามีผลของเขาจริง เพราะฉะนั้น มันไม่มีเปลี่ยนแปลง จะว่าบ้า เราก็รู้ว่า เราไม่บ้า บอกว่ากระจอก ก็กระจอกสิ เพราะเราเต็มใจกระจอกง่ะ ชัดเจน อยู่ในตัว ของบุคคลเหล่านี้ มันเป็นสัจจะ ที่เขาเห็นจริง แล้วเขาก็มีความสุข และเขาไม่ได้สุข อย่างโลกียะแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นอกาลิโก มันเป็นจริงได้ แม้ยุคนี้ แต่จะเป็นจริง ได้นั้นก็ยาก ไม่ง่ายเลย เมื่อเป็นจริงได้แล้ว ก็จะไม่ ถดถอยหรอก ถึงบอกว่า เราทำได้ นานได้ แต่จะโลภมาก ไม่ได้เท่านั้นเอง

อาตมาเข้าใจว่าอยากจะให้ได้มากๆ เร็วๆ ใจใครก็คิดอย่างนี้ได้ แต่โดยสถานะแห่ง ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่ มันอฐานะ ที่จะเป็นได้

ทุกวันนี้เรารู้ว่าคนของเราเพิ่มยาก แรงงานของเราน้อย คิดดูสิ ธ.ก.ส.พอใจก็ยังไม่ได้ ถอนหายไปไหน ส.ส.ส. เพิ่มมา แขนงการศึกษาครูต่างๆโรงเรียนต่างๆเพิ่มมาอีก เราก็ปฏิเสธ ไม่ได้ เราก็รับไปบ้าง เราไม่ได้ไป สัญญาอะไร จริงๆแล้วเราสัมพันธ์รับอยู่กับ ธ.ก.ส. นี่แหละ หนักกว่าเพื่อน"

คุณร้อยแจ้ง " วันก่อนอาจารย์ที่ประเมินเกี่ยวกับ ส.ส.ส. เขาบอกกับเราว่าองค์กร ที่เกี่ยวกับ เกษตรยั่งยืน กว่า ๕๐ องค์กร ก็อยากให้เราไปร่วม เขาบอกเขาทำมา หลายปีแล้ว และเข้า ไปดูกลุ่มไหนที่แข็งแรง ก็จะมีคนอโศก อยู่ในนั้น ด้วย เขาจึงถามว่า เราทำกันอย่างไร ขอถ่าย บทเรียนตรงนี้กันหน่อย"

พ่อท่าน " ทำอย่างไร ก็ต้องทำกันทั้งชีวิตที่จะเอาจริง จริงๆแล้วในเรื่องของงานอาชีพ หรือ งานการต่างๆ เราไม่ได้ ยิ่งใหญ่เลยนะ ผู้ที่เขาร่ำเรียนมาในเชิงของวิธีการอาชีพต่างๆนั้น เขาเก่งกว่าเรา มหาศาลเลยนะ แต่อโศก ทำให้คนเปลี่ยน พฤติกรรมนี่ ตรงนี้มันเป็นไปได้ มันไม่ใช่เรื่อง ที่พวกเราเก่งการงาน หรือวิชาการ ไม่ใช่เลย"

เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. " หลังจากที่เราทำงานพักชำระหนี้มา ๓ ปี ต่อไปงานที่จะทำคล้ายๆ สัจธรรมชีวิต ก็จะมีทำต่อ กับกลุ่มคน ในชุมชนที่มาลงทะเบียนนะครับ ที่จะทำให้เขา มีอาชีพ มีการลดละเลิก การแก้ปัญหา หนี้สินนะครับ เพราะฉะนั้น การทำงานร่วมกัน ก็ยังจะคง มีต่อนะครับ"

คุณร้อยแจ้ง " ขอให้คัดด้วยนะครับ ไม่ใช่เซลงมาจากรถเลย"

พ่อท่าน " คัดด้วย แล้วก็คำนึงถึงสัดส่วนด้วย ถ้าผลไม่ได้ แล้วก็หนักเกินแรง มันก็ตาย เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การศึกษา หรือการอาชีพ หรือสุขภาพ หรือเศรษฐกิจ มันก็เกี่ยวกับ ชีวิต เราจะทำ อย่างไร ให้เขามาเปลี่ยนชีวิต ให้เขามีหลัก รู้รูปรอยในการดำเนินชีวิต มันก็จะบูรณาการ ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า มันจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต มาอย่างนี้ ถ้าไปอย่างโน้น มันไม่ได้หรอก เราจะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ อาตมาว่า ก็มีความหวังอยู่นะ ว่าคนส่วนใหญ่ เป็นพุทธ แต่อาตมา ก็มีวิบากอยู่ที่ว่า กระแสหลัก เขายังไม่ยอมรับเท่านั้น เขาโจมตีว่า เราทำนอกรีต เราไม่ใช่พุทธ แต่เดี๋ยวนี้ก็คลี่คลาย ขึ้นมาเยอะแล้ว เราก็ทำของเราอยู่ แล้วทางโน้น ก็ไม่ได้ ตีอะไรแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาเข้ามา เขาก็ยังฝังหัวเขาอยู่ว่า พุทธมันไม่ใช่อย่างนี้ ทำไม ถึงมา นุ่งห่มอย่างนี้ คิ้วก็ไม่โกน ทำไมถึงไม่มีพระพุทธรูป มันเป็น resistant แต่ก็ดี ตามหลัก วิทยาศาสตร์ถือว่า เป็นการทดได้แรง เราก็เอาวิกฤติให้เป็นโอกาสนะ"

เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. " ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า หน่วยงานต่างๆที่เมื่อกี้เราพูดถึงนั้น เวลาทำงานแล้วนี่ ส่วนใหญ่ เป็นคนกลุ่มเดียวกัน เราทำงานครอบคลุมไปอย่างนี้ ถึงแม้ ในนาม ส.จ.ส. หรือในนามอะไรก็ตาม ก็เป็นประชาชน กลุ่มเดียวกัน"

พ่อท่าน " จะเป็นกลุ่มไหนมาก็ตาม เราทำลูกเดียว แบบเดียว จะเป็น ส.ส.ส. หรือเป็น การศึกษา อาตมาทำ โครงสร้างหลัก อโศกเราทำเรื่องเดียวอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่า อโศก ไม่มีอะไร หรอก มีอยู่อย่างเดียว เราขอยอมรับว่าใช่ อย่างเดียวคือ เปลี่ยนวิถีชีวิตคน เท่านั้น เพราะฉะนั้น มันทำร่วมกันได้ ไม่ว่าจะสายไหนมา ก็ทำลูกเดียว

๖ เม.ย. ๔๗ ที่ศีรษะอโศก ขณะประชุมกับคณะศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ข้าพเจ้าได้รับ โทรศัพท์ จากเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ขอให้พ่อท่านช่วยเขียนข้อความ ที่พ่อท่าน ต้องการ จะกล่าวกับ เกษตรกร เนื่องจากจะมีการจัดงาน " ปิดโครงการ พักชำระหนี้" ที่เมืองทองธานี ธ.ก.ส. คิดจะทำป้าย ข้อความ ที่พ่อท่านกล่าวนี้ ติดให้ประชาชน ที่ไป ร่วมงานได้ชม ข้าพเจ้า ได้แจ้งไปว่า ไม่แน่ใจว่า พ่อท่านจะมีเวลา หรือไม่ ถ้าไม่สามารถ ทำให้ได้ ก็ให้ทาง ธ.ก.ส. ตัดสินใจเลือกเอาไปใช้ได้เลย จากหนังสือเอกสารต่างๆที่เรามี

ช่วงค่ำหลังจากเสร็จจากการประชุมคณะต่างๆทั้งวันตลอดบ่าย พ่อท่านอุตส่าห์ คิดเขียนให้

" อาตมาดีใจยิ่งที่สุดที่กสิกรเริ่มเห็นทาง ฟื้นคืนชีพความเป็นกสิกร และขอขอบคุณ อย่างมาก กับกสิกร ผู้มุ่งมั่น กอบกู้อาชีพกสิกรรมขึ้นมาให้ยืนยงคู่โลก"
* สมณะโพธิรักษ์

๘ เม.ย. ๔๗ ที่ศีรษะอโศก ขณะฉันอาหารมีรายการถ่ายทอดสด งาน " ปิดโครงการ พักชำระหนี้" นายกฯ ไปกล่าว ปิดโครงการ ได้พูดชมมาถึงเครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย และกล่าวชื่อสันติอโศก " ผมได้ไปที่ราชธานีอโศก มาแล้ว ที่นั่นเขา รวมกลุ่ม กันทำได้ดี" โดยมีคุณถึงไทไปรับรางวัล ในฐานะตัวแทน เครือข่ายกสิกรรม ไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย ที่ทำงานอบรมเกษตรกร ทาง ร.ร.ผู้นำก็ได้ คุณวิวัฒน์ ศัลยกำธร ก็ได้ นอกนั้น เป็นคณะอื่นอีก ๒-๓ คน

ต่อมาพ่อท่านได้รับหนังสือที่จัดทำโดย ธ.ก.ส. ผลงานโครงการพักชำระหนี้และ ลดภาระหนี้ ให้แก่เกษตรกร รายย่อย พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๗ จากบางส่วนที่ ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน คณะ เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ หัวหน้าโครงการวิจัยประเมินผล โครงการ พักชำระหนี้ และลดภาระหนี้ แก่เกษตรกรรายย่อย ได้กล่าวถึงการประเมินผล โครงการ พักชำระหนี้ และลดภาระหนี้ ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ตามนโยบายของรัฐ แล้วก็พูดมาถึง โครงการสัจธรรมชีวิตว่า " เกษตรกรมีทัศนคติที่ดีกับโครงการ เพราะอย่างน้อย ก็เป็นการ ผ่อนปรน พร้อมทั้ง มีบริการเสริม เรื่องการฟื้นฟูการเกษตร ฟื้นฟูอาชีพ แต่การฟื้นฟูอาชีพ ในด้านการดำเนินงาน ยังมีปัญหา เพราะเกษตรกรบางคน ก็ไม่ได้เงินช่วยเหลือ เนื่องจาก ต้องทำแผน ฟื้นฟู ต้องอบรมความรู้ ให้มีความสามารถ มากขึ้นก่อน นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ มีความไม่พร้อม งบจำกัด ส่วนการดำเนินงาน โครงการ สัจธรรมชีวิต จะให้ผลดีกว่า ทำให้เกษตรกร มีทัศนคติที่ดีต่อโครงการ และคาดว่า ประสิทธิผล สุดท้าย ของโครงการ เกษตรกร สามารถชำระหนี้ได้ ส่วนสัมฤทธิ์ผล ของโครงการ ที่หวังให้เกษตรกร มีหนี้ลดลง มีรายได้ เงินออมเพิ่มขึ้น คงอยู่ในระดับไม่น่าพอใจมากนัก ยกเว้นกรณีคุณยุพิน เพราะโดยทั่วไป ก็ไม่เป็นอย่างนี้ ปัญหาและอุปสรรคสำคัญ จากการประเมินในภาคสนาม พบว่า ความรู้ที่ถ่ายทอด ไม่ตรงกับความต้องการ ของเกษตรกร ถ้าเอาโครงการที่ซับซ้อน เกินไป เกษตรกร ก็รับไม่ได้ เกษตรกรไทย เหมือนเกษตรกรญี่ปุ่น คือมีอายุ ๕๒ ปีขึ้นไป เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งวัยขนาดนี้สอดคล้องกับโครงการสัจธรรมชีวิต ที่เน้นในเรื่องการอดออม ใช้ชีวิต อย่างประหยัดพอเพียง จากดัชนี ๕ ตัว นอกเหนือโครงการฟื้นฟูอาชีพ ยังมีเงื่อนไข ความสำเร็จ นอกเหนือจากปัจจัยที่เจ้าหน้าที่ ใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริม ช่วงที่พักหนี้ เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้น การฟื้นฟูอาชีพ หรือในส่วนรายได้ ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร ก็ไม่มีนัย สำคัญ ทางสถิติ ก็ไม่อยากฟันธงไปว่าอันนี้ เป็นความสำเร็จ ส่วนการที่เกษตรกร มีเงินออม เพิ่มขึ้น ก็น่าจะเป็นเพราะข้อกำหนด ของโครงการมีการจูงใจ ที่สำคัญ เกษตรกร พยายามรักษา เครดิต เพื่อจะได้เป็นลูกหนี้ชั้นดี เพราะจะได้ดอกเบี้ยถูกลง

ขีดความสามารถในการชำระหนี้ ไม่มีผลชัดเจน ยกเว้นกรณีโครงการสัจธรรมชีวิต ที่จะให้ผล ระยะยาว อย่างกรณี คุณยุพิน (ททท.)ทำทันที คือคิดถึงเรื่องประหยัด โอกาสที่จะใช้หนี้ดี ขยันขันแข็ง อัตราหนี้สิน เทียบกับทรัพย์สิน ว่ามันลดลงจริงหรือเปล่า เราไม่มีตัวเลขย้อนหลัง ที่จะเทียบกันได้ แต่ไม่น่าห่วง เพราะเกษตรกร มีมูลค่า สินทรัพย์รวม เฉลี่ย ๑,๐๒๒,๗๖๒ บาท มากกว่า ยอดหนี้สินรวมเฉลี่ย ๕๕,๕๑๑ บาท คิดเป็นอัตราส่วน ๑๘ : ๑ มีตัวเลข ที่อยากชี้ ให้เห็น คือเลขเฉลี่ยของเกษตรกร ที่มีเจตนา จะชำระหนี้คืน ถึง ๘๖.๓ % เพื่อรักษา เครดิต แสดงให้เห็นว่า ถ้าเขาไม่มีปัญหา เขาก็พยายามชำระ ส่วนระดับความพอใจ เกษตรกร มีความพึงพอใจ โครงการระดับมาก ถึงมากที่สุด มีความตั้งใจชำระหนี้ ๘๖.๓ % แม้ความสามารถ ชำระหนี้จริงๆ ไม่มากนัก เพราะยังอยากให้มีโครงการนี้ต่อไป

ด้านความสามารถในการชำระหนี้จะดูรายได้กับค่าใช้จ่ายปกติเปรียบเทียบกัน ตัวอย่าง รายได้ ๑๑๐,๐๐๐ บาท รายจ่าย ๑๐๔,๐๐๐ บาท ซึ่งยังมีเงินออมเหลือพอที่จะออม เล็กน้อย แต่มีหนี้คือ รายจ่ายพิเศษ เช่น พวกอสังหาริมทรัพย์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการผลิต และมีตัวดึงสำคัญ คือการเจ็บป่วย การศึกษาของบุตร ฉะนั้นการแก้ปัญหา ต้องแก้ที่ รายจ่ายพิเศษ ดังนั้น โครงการสัจธรรมชีวิต จึงถือเป็นโครงการที่ดี เกษตรกร ได้ลดหนี้ ได้รับการอบรม คำแนะนำมาปรับปรุงการผลิต การมีคนมาช่วยจ่ายดอกเบี้ย แทน จากเดิม ที่ต้องจ่าย ทั้งต้นและดอกเอง ย่อมทำให้พึงพอใจ ส่วนการชำระหนี้จริง เมื่อถึงกำหนด เกษตรกร ส่วนมาก จะกู้เงินจากกองทุนต่างๆ เช่น เงินกองทุนหมู่บ้าน แต่เงินทุนนอกระบบ ที่มีดอกเบี้ยสูงลดลง"


 

*** เตรียมสร้างภาพยนตร์ธรรมยาตรา
๑๕ เม.ย. ๔๗ ที่สันติอโศก ประมาณ ๑๔ นาฬิกามีการประชุมที่ใต้โบสถ์ พล.ต.จำลอง มารอก่อนใคร คณะของ APS และคณะของคุณวิมล เจียมเจริญ หรือทมยันตีมาไล่เลี่ยกัน

การประชุมเริ่มจาก พล.ต.จำลองบอกเล่าทวนถึงครั้งที่แล้วว่า คุณทมยันตี ได้แสดง ความเห็นว่าน่าจะทำเป็นละครจะดีกว่า ไม่เสี่ยงขาดทุน และคนดูจะได้ดูกันนานๆ

คุณอภิชาตหรือเสี่ยเม้ง เจ้าของบริษัท APS ได้แสดงความเห็นว่าอยากให้ทำเป็นหนัง ถ้าดีก็ค่อยทำเป็นละครต่อ เพราะเห็นว่า ถ้าทำเป็นละครเลยนั้นอย่างน้อย ๒๕ ตอน ซึ่งใช้เวลานานไป วัยรุ่นคงไม่ทนดูได้นานๆอย่างนั้น ถ้าทำหนังก็ใช้เวลาดูแค่ ๑.๓๐ ชม.เท่านั้น แต่อย่างไรก็อยากให้ทางคุณทมยันตีเขียนเป็นบทมาให้พ่อท่านตรวจดูก่อน

เรื่องเวลาเท่าไรนั้น ไม่อยากจะกำหนดว่าเมื่อไรต้องเสร็จ อยากทำหนังที่มีคุณภาพ เพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้อยู่ที่คณะของคุณทมยันตี คำนวณดูว่า น่าจะเป็นเท่าไร

คุณอภิชาติย้ำว่า การทำหนังเรื่องนี้ตนไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างธุรกิจ ต้องการเพียง อยากให้ พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ออกมาในรูปของภาพยนตร์ แม้จะขาดทุน ก็ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องการโฆษณานั้นทาง APS จะจัดทำเอง เพราะมีเครือข่าย และรู้จัก สื่อมวลชน อยู่ไม่น้อย

ตอนนี้อยากให้ไปคำนวณว่าถ้าจะทำทั้งหนังเรื่อง และทำทั้งละคร ควบไปด้วยกัน จะต้องใช้ทุนอย่างไร และบทเป็นอย่างไร อยากให้พ่อท่านและ พล.ต.จำลอง ช่วยตรวจ ให้ด้วย

เรื่องการผลิต ให้เป็นความรับผิดชอบของคณะทมยันตี การเขียนบท การถ่ายทำ ประเมิน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ดูด้วย

การประชุมวันนี้มาถึงขั้นรู้ความต้องการของกันและกัน เหลือเพียงคณะ ของทมยันตี ต้องไปทำบทมาให้พ่อท่านและคุณเม้งดู ส่วนรายละเอียดอื่นนั้นค่อยคุยกันอีกที

พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุมว่า "อาตมาก็ดีใจ ที่จะมีคนทำงานเพื่อให้ประชาชน ได้รับ ประโยชน์ทางศาสนา ทางธรรมะให้กับสังคม แทนที่จะคิดมาหาเงิน ทีนี้ผู้ทำก็มี ความตั้งใจและก็เป็นมือโปร (Professional=เชี่ยวชาญ มืออาชีพ) ด้วย จะทำขึ้นมา ก็น่าจะดี ที่อาตมาอยากจะฝากไว้ก็คือว่า เรื่องศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธเนี่ย อาตมาบอกไว้ ที่นี่เลยนะ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย มันออกนอกรีต ของศาสนาพุทธ หมดแล้ว เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของ ศาสนาพุทธ จึงไม่เกิด ในประชาชนคนไทย สังคมไทยมีอาชญากรเยอะ มีอบายมุขเยอะ ทุจริตเยอะ พูดไปแล้ว ก็ขายขี้หน้าศาสนา เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เขาพยายามจะให้กฎหมาย รับรองว่า เป็นเมืองพุทธ นั่นแหละ เพราะมีชาวพุทธถึง ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่พุทธที่ว่านี้ ไม่ใช่พุทธแล้ว ไม่ใช่ อเทวนิยม ไม่ใช่จะเดินทางไปนิพพาน เป็นพุทธเละๆ ที่มีเดรัจฉานวิชา เต็มบ้านเต็มเมือง พูดก็พูดเถอะ เป็นศาสนาที่ใช้เครื่องรางของขลัง ใช้รดน้ำมนต์ ใช้อิทธิฤทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เล่นงมงายแต่หวยแต่เบอร์หาเลข หาอะไรต่ออะไรเพื่อที่จะร่ำรวย น่าขายขี้หน้ามาก มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย

เพราะฉะนั้นก็ต้องรับทราบไปก่อนว่า เนื้อหาของพุทธมันจะไม่เหมือนกับที่เขาทำกัน ออกมากี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว ที่บอกว่านี่คือหนังธรรมะ อันนี้จะไม่เหมือนเลย ก็คงจะต้อง คุยกันกับอี๊ด (วิมลหรือทมยันตี) อีกหลายยกเลย หนังสือนี่พยายามเอาไปฝากแม่ด้วยนะ (พูดกับลูกชายคุณวิมลที่ได้มาร่วมประชุมด้วย) มีอีกนะ มีมากกว่านี้หลายเท่า แต่ก็ค่อยๆ ทยอยไป

แม้แต่จะทำความเข้าใจว่าศาสนาพุทธคืออะไรก็ไม่ง่าย ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คน มารวย ไม่ได้สอนให้คนมาเอิกเกริกเฮฮาหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข พุทธไม่ได้มา หลงใหล ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนั้นไม่ใช่เลย แต่พุทธนั้นก็ไม่ได้ออกไปป่าเขาถ้ำ ธุดงค์อะไรเลย ผิดหมด ไปนั่งหลับหูหลับตาเป็นพระเกจิอาจารย์อะไร นั่งปลุกเสกอะไร ต่ออะไรไม่ใช่ทั้งสิ้นเลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาที่อยู่กับสังคม เป็นโลกุตระ เป็นศาสนาที่อยู่เหนือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่เห็นแก่เงิน ไม่เห็นแก่ ลาภยศ เพราะฉะนั้น จะเป็นคนที่อยู่กับสังคมที่เขาปรุงแต่งบริโภคนิยม ถ้าบรรลุธรรม ของศาสนาพุทธแท้ๆแล้ว วัตถุนิยม บริโภคนิยมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะคนเหล่านี้ จะไม่เป็นทาส สิ่งเหล่านี้ แน่นอนเด็ดขาดเลย

อาตมาทำงานศาสนาพุทธมา ๓๐ กว่าปีนี่ ก็มีชุมชนมีคนพวกนี้ เขาไม่ได้เป็นทาส ลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข เขาลาออกจากงานมา ทิ้งรายได้ออกมา ทำงานฟรี จนกระทั่งเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นสังคมอยู่อย่างนี้ รายละเอียดพวกนี้ แม้แต่ Dialogue บทสนทนาที่จะออกไปนี่ มันจะงงเป็นคนละอย่างกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเลย คนนี้ถาม อย่างนี้ ทั่วไปก็ตอบไป ตามธรรมดา ของสังคมโลกีย์ แต่อันนี้มันไม่ใช่มันจะหักมุมกลับเลย มันจะสนุกมากเลย ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็คงจะต้องคุยกันในรายละเอียด ดีไม่ดีก็จะต้องแก้ ต้องปรับความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ใหม่

ที่อาตมาทำงานมานี่คนเข้าใจไม่ได้ในระยะแรกๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้ว แม้แต่ทางรัฐก็คลี่คลายมาเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว สังคมปัญญาชนก็เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอันนี้เสริมเข้าไปอีก อาตมาว่าคนคงรู้จักศาสนาพุทธขึ้นมาอีกได้

ก็ขอบคุณทุกคนเลยที่มีความต้องการจะให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดีๆอันนี้"



*** กระแสจากในและนอกประเทศ
๒๑ เม.ย. ๔๗ ที่สันติอโศก พระครูธรรมธัชธาดา เจ้าคณะตำบลรังกาใหญ่ วัดการเวก ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ได้มาขอกราบนมัสการพ่อท่าน เมื่อคืนได้แวะมา พักค้าง บวชมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ฉันมังสวิรัติเหมือนกัน แรกๆฉันเพื่อรักษาสุขภาพ แต่เมื่อ สุขภาพดีขึ้นแล้วก็เลยตั้งใจฉันตลอด

ช่วงสาย Phra Jingxiang จิ้งเซี่ยงฝ่าซือหรืออดีตสมณะสมณลักขโณได้มากราบนมัสการ และบอกเล่าการสัมมนาที่มาเลเซีย "คนจีนในมาเลเซียเขาเป็นพุทธที่ไม่สามารถทำอะไร ได้มาก เหมือนเขาสิ้นหวัง แต่พอเอาระบบชีวิตแบบบุญนิยมไปให้เขาดู เขาก็เกิด ความหวัง และอยากจะมาเรียนรู้การสร้างคนอย่างนี้ การจัดงานสัมมนาครั้งนี้ เป็นการจัดงาน ที่ใหญ่โตมาก มีคนมาฟัง ๘๐๐-๑,๐๐๐ คน และเขาเก็บค่าเข้าร่วม สัมมนาเชิงพุทธนี้ด้วย คนละประมาณ ๒,๐๐๐ บาท การพูดครั้งนี้เกิดจากเจ้าอาวาส ที่อยู่ปีนัง ที่เคยมากราบพ่อท่านครั้งที่แล้ว เป็นผู้แนะนำผม ให้ไปพูด เขาให้เกียรติ ให้ความเชื่อมั่นว่า เราจะพูดได้ ก็ได้ไปพูดที่ กัวลาลัมเปอร์ โอ้โฮ รัฐมนตรี คนที่มีการศึกษา ชาวพุทธในหมู่คนจีนถือว่าองค์กรนี้เป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุด หนึ่งในสอง ของมาเลเซีย ผมได้พูดครึ่งชั่วโมงแล้วก็แบ่งให้มหาประจวบ และภิกษุณีพูดด้วย และก็ทำ Power Point ภาพรวม ของอโศกไปเสนอ ก็ได้รับการตอบรับดีครับ เขาบอกเขาไม่เคยได้ยิน และ ในอนาคต ปลายปีนี้จะจัดทัวร์จากสิงคโปร์และมาเลเซียมาที่งานตลาดอาริยะ ซึ่งก็คงต้อง ให้พักโรงแรมข้างนอก เพราะพวกเราคงไม่สะดวก ก่อนหน้านี้เขาจะติดต่อกับ มหาประจวบ มาดูงานเป็นกรุ๊ปๆไป ในมาเลเซียคนจีนมีอยู่สัก ๓-๔ ล้านคน เขาก็อยาก จะมาเห็นสิ่งใหม่ๆ เขาก็เชิญให้ผมไปทำที่ปีนังด้วย แต่ผมก็คงไม่ได้ รับปาก บอกให้เขา เริ่มต้นถือศีลห้า และบางคนยังไม่ได้กินเจอย่างจริงจังด้วยซ้ำ ผมก็เลยบอกให้เขาถือศีล อย่างจริงจังดู แล้วผมก็แปลหนังสือเดินตรงสู่ความเป็นพระอริยะ สั่งพิมพ์ที่กัวลาลัมเปอร์ ๓,๐๐๐ เล่ม และก็จะเอาแนวคิดของพ่อท่านเผยแพร่ออกไป นี่คือภาพรวมที่ได้ไปพูดมา

ต่อไปเขาก็จะเชิญผมไปพูดอีก เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าพระพุทธศาสนา มีการรวมตัว ที่เข้มแข็ง เป็นกลุ่มเป็นก้อนได้ขนาดนี้ ซึ่งแต่ก่อนมีจีนจากไต้หวันมา ต่อไปจะมีคนจีน จากมาเลเซียมาดูงานเป็นกรุ๊ปๆ"

ข้าพเจ้าทัก "อย่างไรก็ช่วยคัดคนมาหน่อย อย่าให้มันเละเกินไป เดี๋ยวจะหนักพวกเรา"

Phra Jingxiang "พวกที่จะมานี่ไม่ใช่กเฬวราก ไม่ใช่พวกมาเที่ยวอย่างเดียว คือตั้งใจ มาดูงาน แล้วก็เอาไปทำ อย่างตอนนี้มีพระที่อยู่ในมาเลเซียบอกว่า จะทำชุมชน อย่างชาวอโศก นี่จะทำอย่างไร มาให้ความรู้กับเราหน่อย จะเริ่มสร้างคนนี่จะทำอย่างไร เพราะว่าผมได้เขียน ถ้าเผื่อพ่อท่าน มีเวลา พ่อท่านช่วยเกลาให้ผมหน่อย ผมได้เขียน บทความนี้ไปลงในหนังสือพิมพ์จีน การสร้างชุมชนชาวอโศกมียุทธ์ศาสตร์ ๔ ขั้นตอน ก็มาจากที่พ่อท่านพูดนี่ละครับ บุญญาวุธ ๔ ระดับ แต่ผมกรองไปเป็น ๑๐ ปีแรกนั้น เป็นเรื่องมังสวิรัติ สองทฤษฎีกำไรขาดทุนแล้วแปรสภาพกลายเป็นตลาดอาริยะ สาม คือ กสิกรรมธรรมชาติแปรสภาพเป็นเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ สุดท้ายคือสุขภาพ บุญนิยม นี่คือที่ผมเขียนเองหมดเลย พ่อท่านช่วยดูว่ามันขาดบกพร่องตรงไหนบ้าง ผมอยาก จะพิมพ์ เล่มนี้ออกมา เพราะว่าคนที่เขามองชาวอโศกแบบนักวิเคราะห์ เขาอยากจะได้ คำตอบเชิงนี้ เขาคงไม่ได้เข้ามาดูงานการปลูกพืชผัก เขาต้องการเห็นวิธีคิด ซึ่งต้องใช้เวลา พอสมควร"

พ่อท่าน "เขาจะเอาแต่วิธีคิด ไม่เอาวิธีทำ แหมมันยืนอยู่บนปลายหอคอย ปลายรูปลักษณ์ อะไรเฉยๆ มันไม่ได้หยั่งลงไปถึงรากหญ้า หรือฐานราก"

Phra Jingxiang "ที่ผมหวังก็คือ หนึ่งทำให้เขาเห็นภาพรวมก่อน ให้เขาเข้าใจว่านี่มีที่มา ที่ไปนะ ไม่ใช่กเฬวราก ไม่ใช่องค์กรกระจอกๆ อันนี้ผมถวายให้พ่อท่านเลยครับ อาจจะสำนวน ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงต้องให้พ่อท่านช่วยเกลา"

พ่อท่าน "ผู้จะขยายก็ขยายไป ผู้จะทำเพิ่มก็ทำไป ตอนนี้กระแสการตอบรับ ที่เข้าใจ เห็นดีเห็นงามเพิ่มขึ้น มันก็เลยกรูเกรียวกันเข้ามา"

Phra Jingxiang "อันนี้คือ Power Point ที่ผมพิมพ์[print]ออกมา ซึ่งได้ไปนำเสนอ ที่มาเลเซีย อันนี้ให้เห็นว่า ระบบอันหนึ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว เขาไม่รู้แม้แต่ว่า มีกลุ่มองค์กรพุทธ ที่กินเจ"

หลังจากนี้ไปเป็นการสนทนาในเรื่องการใช้ภาษา ซึ่งข้าพเจ้าขอข้ามผ่านไป



*** พาณิชย์บุญนิยมในอีกลักษณะหนึ่ง
๒๑ เม.ย. ๔๗ ที่สันติอโศก พ่อท่านได้มาร่วมประชุมชุมชนสันติอโศก โดยมีหน่วยงาน ต่างๆ เข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยงานบริษัทขอบคุณ รวมถึงหน่วยงาน อื่นๆ ในชุมชนสันติอโศก พ่อท่านได้บอกเล่าเรื่องของบริษัทขอบคุณให้ฟังว่า

พ่อท่าน "บริษัทขอบคุณนี่จะเป็นบริษัทที่เป็นส่วนใน และเป็นบริษัทพาณิชย์บุญนิยม ที่จดทะเบียน ตามนิตินัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และอาตมาเจตนา จะสร้าง การพาณิชย์แบบบุญนิยมให้ออกไปอย่างชัดเจน เมื่อจดทะเบียน แล้วมันก็จะเป็นเรื่อง หลักฐาน เป็นเรื่องหลักการที่จะรู้กันไปทั่ว ต่อไปก็จะรับรู้กันในทางวิชาการ ทั้งทางสังคม เขาจะได้รับรู้กันไปว่า แนวของการค้า มันมีสองแนวแล้ว แนวหนึ่งคือ ทุนนิยม อีกแนวหนึ่ง ก็คือ บุญนิยม และบุญนิยมอย่างนี้ จะเป็นต้นแบบของบริษัทร้านค้าธุรกิจ ซึ่งมีเจตนา ขาดทุน และก็ทำให้ขาดทุนจริงๆด้วย แต่ไม่ใช่จะทำให้ขาดทุนอย่างชนิดที่อยู่ไม่ได้ ที่ขาดทุน ก็สามารถตั้งอยู่ได้ ถ้าขาดทุน แล้วอยู่ไม่ได้ก็ไปไม่รอด ซึ่งการขาดทุนอย่างนี้ จะอยู่ได้ อย่างไร จึงชื่อว่าขาดทุน แล้วอยู่ได้ อันนี้แหละเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษา หลักการมี แต่ไม่ตายตัว ในการปฏิบัติ เพราะฐานะและองค์ประกอบไม่เท่าไม่เหมือนกัน มันก็จะมี ตามความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น

สินค้าที่นำมาขายทุกสินค้า ผลิตเองบ้าง ซื้อมาบ้าง ก็จึงผนวกเอาพุทธรักษา (ชื่อหน่วย ผลิตหนึ่ง) เข้าไปด้วย ตอนนี้พุทธรักษาก็เป็นหน่วยผลิตหนึ่งของบริษัทขอบคุณ แต่การเงินนั้น พุทธรักษา เขาก็จัดแบบของเขา จึงมีทั้งการเงินที่ของพุทธรักษาเอง และมีทั้งการเงินที่บริษัทขอบคุณ จัดสรร เพราะฉะนั้นการที่จะเอาสินค้าเขามาขาย เขาก็จะมีวิธีการของเขา การจะเอาพุทธรักษา เข้ามา ก็จะต้องรู้วิธีการ ตอนนี้เราก็ถือ เป็นการทดลองด้วย ซึ่งก็คิดว่าก็คงไม่มีปัญหา เพราะพวกเรา พูดกันได้อยู่แล้ว ต่างก็ไม่ได้ยึดถือว่า ทางนั้นได้เปรียบ หรือทางนี้ได้เปรียบ เป็นแต่เพียงเราจะทำให้ ถูกต้องตามนัยของนิตินัยกันอย่างไร ทางพฤตินัย มันไม่มีปัญหาอะไร จะอย่างไร เราก็รู้ว่าควรตกลงกัน ยังไงก็ไปได้อยู่แล้ว ทำอย่างไรจึงไม่ดูไปขัดแย้ง กับทางกฎหมาย และสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้

พวกเราก็ต้องรับซับซาบข้อสำคัญอย่างหนึ่งก็คือว่า บริษัทขอบคุณนี้เป็นบริษัท ส่วนกลาง เป็นบริษัทส่วนใน ในกว่าบริษัทพลังบุญ ในกว่าบริษัทฟ้าอภัย ในกว่าบริษัทแด่ชีวิต เป็นของส่วนกลางจริงๆ เพราะเข้าสาธารณโภคีเลย กองบุญของบริษัทขอบคุณ จึงเอามาใส่ ในสาธารณโภคีนี้ แต่กระนั้นก็ดีเราต้องรู้ว่า บริษัท จะขาดทุน เพราะฉะนั้น เงินที่จะต้องเอาไปช่วยการขาดทุนก็คือเงินของกองบุญบริษัท

หน้าที่ของกองบุญบริษัทมีหน้าที่อยู่สามอย่าง หนึ่งใช้สวัสดิการของพนักงาน สองใช้เพื่อ ที่จะเอาไปหมุนช่วยการขาดทุนของบริษัท สามก็คือได้บริจาคทำกุศล แต่กองบุญ ทุกองค์กร รับบริจาค จากผู้มีจิตกุศลด้วยนะ ใครจะบริจาคก็เชิญ รับไม่อั้น แต่ก็เฉพาะ คนที่มีสิทธิ์ เท่านั้นนะ คนไม่มีสิทธิ์ อย่างจอร์จ บุช จะมาบริจาคนี่ก็ไม่ได้ (เพราะยังไม่เคย มาศึกษา คบคุ้นถึง ๗ ครั้ง) จะบริจาค ๑๐๐ เหรียญหรือ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ ก็ยิ่ง ไม่ได้เลย เพราะยิ่งมากๆนี่ยิ่งยาก แต่พวกเรานี่มีสิทธิ์ที่จะบริจาคได้ เงินที่ จะมาบริจาคได้ ก็คือเงินส่วนหนึ่งของพนักงาน เบี้ยประชุมของกรรมการ อันนี้จะเป็น ตัวเลขตายตัว ที่จะได้ประจำ แต่ละเดือนๆ นอกนั้นก็จะเป็นส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่จะคิดกัน ซึ่งบางอย่าง ก็ไม่เอาเข้าบริษัท บางอย่างก็จะเอาเข้ากองบุญ ก็แล้วแต่ ความเหมาะสม มันเป็นที่ ยืดหยุ่น ของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้น ก็ขอให้รู้กันว่า เราต้องไป ช่วยกันนะ บริษัทขอบคุณนี่ เป็นสาธารณโภคีกลายๆ เป็นแต่เพียงเราจดทะเบียนให้เป็นนิตินัย ทางสังคม เพื่อการเติบโต ก็จะต้องมีหลักฐานอะไรต่ออะไร"

ถาม "อย่างของแต่ละฐานงานสิ้นปีเราตัดศูนย์นะคะ ในส่วนของกองบุญนี้....."

พ่อท่าน "คงตัดศูนย์ไม่ได้ เพราะมันจะต้องเอาไปหมุนช่วยบริษัทแน่นอน เหมือนกับที่ ปฐมอโศกเขาก็มีกองหนึ่งที่ตัดศูนย์ไม่ได้"

ถาม "แล้วถ้าเกิดมีการซื้อหุ้นเกินบัญชีก็ตัดศูนย์เอาจากส่วนกลางหรือคะ คือถ้าเกิดมีคน มาถอนหุ้นเกินน่ะค่ะ"

พ่อท่าน "อ๋อ ถอนหุ้นเกินเหรอ อันนี้กลุ่มสาธารณโภคีก็น่าจะช่วยกัน นี่เป็นกรณีพิเศษ"

ถาม "ถือว่าสาธารณโภคีซื้อหุ้น"

พ่อท่าน "ใช่ มันก็เป็นของส่วนกลางอยู่ดี ถ้ามันเป็นเช่นนั้นก็คงต้องเป็น อย่างที่คุณคิดไกล ไปถึงขนาดนั้น แต่เราต้องพยายามจัดสรรจัดการให้รักษาตัวรอด ซึ่งเราก็ต้องพยายาม ให้บริษัทเลี้ยงตัวให้รอด ถ้ามันจะเกิดอุปัทวเหตุขนาดนั้น ก็ต้องยินดีว่า เอ่อเราได้ทำบุญ กันนะพวกเรา สาธารณโภคีส่วนกลางไม่ค่อยมีก็ต้อง ไปหมุนช่วย เพราะฉะนั้น ในวิธีคิดนี่ ก็ค่อยๆศึกษาไปแล้วเราก็จะรู้ อาตมาบอกนโยบายไปแล้ว เดี๋ยววันประชุม พาณิชย์ บุญนิยม ที่จะถึง ก็คงจะต้องสาธยายแล้วต้องใช้กระดานดำ แล้วก็เขียนโยง ให้ดูอันโน้น อันนี้จะได้ ไม่สับสน หลายคนยังเข้าใจไปคนละอย่าง มันไม่เหมือนธรรมะ แม้ธรรมะบางที สภาพที่ลึก ละเอียด ซับซ้อนก็เข้าใจไม่ได้ง่าย"



*** กับการรักษาแพทย์แผนจีน
๒๑ เม.ย. ๔๗ ที่สันติอโศก หมอหลิวซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของ คุณแผ่นฟ้า ได้มาตรวจรักษา สมณะซาบซึ้ง สิริเตโช สมณะสู้ซื่อ หสิโต สมณะถนอมคูน คุณกิตตโณ สมณะ ธรรมทาบฟ้า รวิวัณโณ และสมณะเด็ดแท้ วิเสสโก คุณเพ็ญเพียรธรรม พยาบาลผู้ดูแล จึงได้นิมนต์พ่อท่าน ให้หมอหลิวช่วยตรวจและวินิจฉัยในการรักษาด้วย โดยได้รายงาน ให้หมอหลิว ทราบประวัติ อาการไอของพ่อท่านดังนี้ พ่อท่านมีปัญหา เรื่องไอบ่อย ก็เลย อยากจะรู้ว่า พ่อท่านมีปัญหาการไอ จากอะไร เดิมความดันพ่อท่าน อยู่ในช่วง ๑๓๐/๙๐ mm.Hg เมื่อก่อนนี้ดีมากเลยความดัน ๑๒๐/๘๐ mm.Hg แต่ตอนนี้ เริ่มเปลี่ยน แล้วสองสาม วันมานี้ลงมาที่ ๑๑๐/๗๐ mm.Hg บางวันก็ ๑๖๐ และชีพจร ก็ไม่ค่อยเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน งานของพ่อท่านก็คืองานเขียนอยู่กับที่ นั่งอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ ๑๐ กว่าชั่วโมงต่อวัน

หมอหลิว "สิบกว่าชั่วโมงต่อวันเลย อายุของท่านเท่าไรแล้ว"

พ่อท่าน "จะเต็ม ๗๐ อยู่ในเดือนมิถุนายนนี้แล้ว"

หมอหลิว "โอ้โฮ แข็งแรงออกหน้าออกตาเลย" จากนั้นหมอหลิวได้แมะตรวจและขอดู ภายในคอ ของพ่อท่าน อีกทั้งวัดความดันและชีพจร ถามเรื่องการขับถ่าย และเรื่อง การนอนหลับ "เคยแน่นหน้าอกไหม"

คุณเพ็ญเพียรธรรม รายงาน "ก่อนจะล้มตัวลงนอนพ่อท่านจะมีอาการเหมือนโหยๆ"

พ่อท่าน "มันหายไปหมดแล้ว"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "เคยค่ะ ใช้คำว่าเคย"

หมอหลิว "เคยใช่ไหม เพราะแมะแล้วฝั่งทางปอดรู้สึกจะอ่อนและหัวใจอ่อนสองจุดนี้ เราแมะนะ คือทางซ้ายมือคือหัวใจแล้วก็ปอด ตับ และก็ไต ไตคือไตหยิน ไม่ใช่ไตหยาง เขาจะแบ่งเป็น หยินกับหยางนา แล้วก็ทางขวามือก็จะมาปอด ตับอ่อน แล้วก็ไต พลัง คือหยาง แต่ทางฝั่งนี้ ทางหัวใจกับทางปอดนะอ่อนกว่า แล้วก็ตับกับไต หยินไม่ค่อย พอเท่าไหร่ ก็คือ การผสม พลังงานในร่างกายไม่ค่อยพอเท่าไหร่ คือใช้งานเยอะ พักผ่อน ไม่เพียงพอ อาหารยังกิน ไม่เพียงพอด้วย"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "คือไม่มีพลังงานสะสม"

หมอหลิว "คือใช้หมด"

พ่อท่าน พูดติดตลก "บุญนิยม" (มีเสียงหัวเราะโดยทั่ว)

หมอหลิว "ขอดูผลเลือดด้วยนะคะ" ขณะดูผลเลือด

คุณเพ็ญเพียรธรรม "ชีพจรวันนี้ของพ่อท่านเท่าไหร่นะคะ"

หมอหลิว "๗๔ แต่เต้นแล้วบางครั้งหยุดด้วย ก็คือพักผ่อนไม่เพียงพอ ใช้งานเยอะไป อาจจะใช้ สมองเยอะ หรือว่านอนแล้วไม่สนิทจริงๆ คือร่างกายยังต้องการอยู่ พูดง่ายๆ คือใช้งานเยอะไป ร่างกายหยางจะไม่พอ"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "ผลเลือดของพ่อท่านค่อนข้างจะสมบูรณ์ คือไม่ผิดปกติ แต่ปกติ แบบต่ำๆ"

หมอหลิว "หัวใจจะอ่อนกว่า อวัยวะข้างในทุกอย่างก็ยัง OK อยู่ แต่ถ้าใช้งานถูกต้องนะ หัวใจกับปอดเราก็ต้องรักษาไว้ก่อน สองอย่างนี้จะอ่อนกว่า"

สมณะเด็ดแท้ "ภายในของอาตมายังไม่ OK ใช่มั๊ย"

หมอหลิว "ของท่านยังแย่กว่า อาการไอของพ่อท่านอาจมีสาเหตุสองอย่าง พูดถึงว่า สมัยก่อน เคยเป็นไอ แล้วนานๆไม่ได้กินยารักษาให้หาย เคยไว้แบบว่าหลายเดือนเลย คนจีนเขาเรียกว่า ไอร้อยวัน"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "อันนี้พ่อท่านใช้เสียงเยอะ เวลาเทศน์ เวลาสอน คือพูดเยอะ"

หมอหลิว "แน่นอนเลย ใช้เสียงเยอะ แบบนี้ก็บวมเลย แต่ท่านยังไม่รู้สึกว่าเจ็บ คนปกติ เขาก็เจ็บแล้ว ยาบำรุงเราต้องมีนิดๆหน่อยๆ ดื่มแทนน้ำ อย่าให้ดื่มแบบดื่มน้ำเปล่าๆ แบบว่า มันช่วยชุ่มคอ บำรุงคอและบำรุงปอดด้วย คือแบบต้มเป็นน้ำแล้วให้จิบบ่อยๆ เพราะใช้เสียง เยอะ แล้วก็หยินตับกับไตก็ไม่ค่อยพอ"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "พ่อท่านเป็นคนเหงื่อออกง่ายและร้อน"

หมอหลิว "อันนั้นไม่ใช่ร้อนจริงๆ คือท่านใช้งานตลอดเวลา เพราะว่าดูจากลิ้นและแมะ พ่อท่านไม่ใช่เป็นคนที่เหงื่อออกง่าย ถ้าตามอาการกับชีพจรนะ พ่อท่านไม่ใช่คนที่เป็น อย่างนั้น แต่ว่าดูลิ้นค่อนข้างจะอ่อนแอหน่อย ต้องการบำรุง แต่อันนี้เกี่ยวกับคอ ที่มีปัญหา อาจจะอักเสบ คือเย็นเกินไป คือคอดีแต่กระเพาะทนไม่ไหว แนะนำว่าให้ยาต้มหน่อยหนึ่ง ก็ชงแบบชวนป๋วย (ชื่อยาจีน) จะได้ช่วยทางคอ ช่วยทางปอดด้วย เพราะว่าผู้สูงอายุ ส่วนมาก หลอดลม จะมีปัญหา"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "มันหวาน"

น้องชายสมณะซาบซึ้ง สิริเตโช "ไม่ๆ เป็นผงสีขาว ผมกินประจำ"

คุณเพ็ญเพียรธรรม "ต้องกินนานไหม"

หมอหลิว "อาจจะแนะนำให้กินสักระยะหนึ่งนะ คือดีต่อคนอายุมากขึ้น เรียกว่าหลอดลม อักเสบ จะเป็นจุดอ่อนด้วย แล้วยิ่งเป็นพ่อท่านวิ่งไปวิ่งมาพักผ่อนก็ไม่เพียงพอ แล้วใช้ เสียงเยอะ อันนี้จำเป็น ต้องบำรุง อาจจะต้องกินเป็นระยะเวลาเดือนหนึ่ง ถึงสามเดือน โดยกินแทนน้ำ แล้วยา ก็ไม่ได้กินยาก คือจะเสริมไปเรื่อยๆ ต้มไว้สัก ครึ่งชั่วโมง ต้มครั้งหนึ่งก็พอ ไม่ต้องต้มบ่อยๆ แต่ต้มให้เหลือเยอะหน่อย แล้วเก็บเอาไว้ เวลากิน ก็ค่อยๆจิบ ให้ชุ่มคอ ร่างกายจะได้บำรุง แบบอ่อนๆ ท่านไม่ได้ร้อนในจริงๆ เป็นแต่เพียง หยินไม่พอ หยินหยางไม่พอดี แล้วก็เลย เหมือนร้อนใน เพราะฉะนั้น จึงต้องกิน บำรุง ไม่ใช่กินแก้ร้อนใน แล้วบางทีไอยิ่งหนัก กว่าปกติ บางคนไอๆๆ กินยาอย่างไร ก็ไม่หาย คือท่านร่างกายเย็น"



*** สิ่งที่ผู้มีทรัพย์ล้นฟ้า และอำนาจล้นแผ่นดินพึงไตร่ตรอง
๒๔ เม.ย. ๒๕๔๗ ที่ศีรษะอโศก จากการแสดงธรรมทำวัตรเช้ากับญาติธรรม และชาวบ้าน ที่มาร่วมต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ ของสังคม ที่ได้ให้เกียรติ จรมาพักค้างคืนที่ศีรษะอโศก จากเนื้อหา บางส่วนที่น่าสนใจดังนี้

"ชีวิตเกิดมาด้วยอวิชชา เกิดมาด้วยไม่รู้ ผู้ที่เกิดมาอย่างรู้นั้นก็คือพระอรหันต์ พระอรหันต์ นี่เกิดมาด้วยรู้ เพราะว่าท่านหมดอวิชชาแล้ว เมื่อพระอรหันต์จะเกิดมาอีก ท่านก็เกิดมา ด้วยรู้ว่า จะต้อง เกิดมาทำไม เกิดมาเพราะอะไร เพื่ออะไร อย่างนี้เป็นต้น ส่วนคนธรรมดา โดยเฉพาะ ปุถุชน ไม่รู้เรื่องหรอก เกิดมาเพราะอะไร เพื่ออะไร เกิดมาทำไม ไม่รู้เรื่อง หลายคนเกิดมา เพื่อทำบาปมากด้วย

ชีวิตจริงๆแล้วนี่ ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง ชีวิตของแต่ละคน ศาสนาพุทธเรานี่ เกิดมาเพราะกรรม ของเรา เราเองเราไม่รู้ว่าทำไมต้องเกิดมา แล้วเกิดมาเพื่ออะไร เราไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว เกิดมาเพราะอวิชชา ซึ่งมีแรงพาให้เกิดก็คือ แรงของบาปของบุญ แรงของ วิบากกรรม ผู้มี บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็จะระลึกได้ว่า โอ....คนเราเกิดมา เกิดมา ผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ถ้าผู้ใดที่ได้เคยอ่านพระไตรปิฎก อ่านดูใน บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วก็จะรู้ว่า อ้อ.... มันก็หมุนเวียนไปอย่างนั้นเอง ออกจาก บ้านโน้น เข้าบ้านนี้ ตายจากบ้านโน้น ก็ไปเข้าบ้านโน้น อะไรอย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นใครจะได้ดี ใครจะตกยาก ใครจะผิวพรรณดี ใครจะผิวพรรณทราม เกิดจาก กรรม จากวิบากทั้งสิ้น ไม่ใช่พระเจ้าบันดาลให้เป็นอย่างนั้น เพราะศาสนาพุทธ เราเป็น อเทวนิยม ไม่ใช่ศาสนา เทวนิยม

เราสร้างกรรมใดๆไว้ กรรมเหล่านั้นเป็นของเราทั้งหมด กรรมใดที่ทำแล้ว ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ทำไปว่าเราเองเราทำเพราะแรงโลภ มีความโลภแล้วก็ทำ โลภไปจนทุจริตแล้วเราก็ทำ สำเร็จ ทุจริตสำเร็จด้วย ถึงไม่มีใครจับได้ ได้ลาภ ได้ยศมา ฉลาดจนกระทั่ง ทำให้คนอื่น เข้าใจผิดว่าเราทำดีด้วย ทั้งๆที่ทำชั่ว ชั่วซ้ำชั่วซ้อน บาปซ้ำบาปซ้อน ฉลาดมาก ยิ่งซ้ำซ้อนมาก ยิ่งบาปหลายชั้น ด้วยกรรมด้วยวิบากแล้ว ตัวเองได้บาปซ้ำ บาปซ้อน บาปหนา บาปแรง บาปมาก ซ้ำซ้อนเข้าไปด้วยความฉลาดอันอวิชชา คือ ฉลาดอย่าง โลกๆ แบบปุถุชน ขี้โกง คนอื่นไล่ไม่ทัน จับไม่ได้ แต่ตัวเองได้ทำกรรมนั้นแล้ว กรรมนั้นเป็นจริง เป็นทรัพย์ของ บุคคลนั้น ไม่เอาไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท คนทุกคนมีกรรมเท่านั้น เป็นของของตน ตนต้องเป็นทายาทของกรรม ไม่ใช่ชาติเดียว เราทำกรรมชาตินี้แล้ว ชาติหน้า ยกเลิกกรรมต่างๆ ไม่ ไม่เอา ไม่ได้ ไม่มีการล้มเลิก เราทำกรรมใดไว้แล้ว แต่ปางไหนเราไม่รู้

แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ว่า เราไม่รู้ที่ต้น หมายความว่า ไม่รู้ที่ต้นแห่งการเกิดของ มนุษย์ ไม่เหมือนศาสนาอื่น เขารู้ที่ต้น คือพระเจ้าเป็นผู้สร้าง สร้างแม้แต่มนุษย์คนแรก เขาก็ว่า ของเขาไป ลัทธิเทวนิยม ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสตรงๆ ท่านระลึกชาติไป ไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ล้านชาติ ระลึกไป....เพื่อที่จะหาที่ต้น ตามไป สังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป ตามไปไอ้ชาติที่มันนึกได้บ้าง นึกไม่ได้บ้าง ในกัปที่มันเป็นกัปบ้าง ไม่เป็นกัปบ้าง ระลึกไปหมด ย้อนชาติไป ก็ไม่เจอที่ต้นว่า เออ....เริ่มต้นเราเกิดมาอย่างไร เกิดมาจากไหน เกิดมาอย่างไร ไม่รู้ พระพุทธเจ้าเองท่าน ก็รับสารภาพตรงนี้ว่า เราไม่รู้ ที่ต้น เมื่อต้นไม่รู้ ก็เลยต้องเรียกว่า อวิชชา เกิดมาจากความไม่รู้ ซึ่งมีความไม่รู้นี้ มีความหมายลึกล้ำ หลายนัย

ทางด้านวิทยาศาสตร์เขาก็บอกว่าเรามาจากลิง ค่อยๆ มาเป็นสัตว์โลก ค่อยๆพัฒนา มาเป็นสัตว์ จนกระทั่งมาเป็นลิง แล้วลิงมันมาจากอะไรล่ะ...เออ จากลิงมาก็วิวัฒนาการ มาเป็นคน อะไรอย่างนี้ ตามหลักเขา ว่าไป ทางวิทยาศาสตร์ก็ว่างั้น แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่ตรัส เรื่องนี้ แล้วก็ค้น ไม่พบเรื่องนี้ สืบสาวราวเรื่องไป เคยเกิดเป็นสัตว์ก็มีมากมาย พระพุทธเจ้า ย้อนระลึกชาติ เป็นสัตว์ เกิดบางชาติเป็นสัตว์ เป็นเดรัจฉาน เป็นนั่นเป็นนี่ อะไร แล้วก็มาเป็นคน เป็นอะไรก็มี สลับไปสลับมา มันจะไม่เหมือนกันกับที่ชาร์ลดาร์วิน หรือว่านักวิทยาศาสตร์ ทางชีววิทยา เขาพิสูจน์ ตามทฤษฎีบทพิสูจน์อะไร เขาอนุมานเอา คาดคะเนเอา พิจารณาเอาว่า มันน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่แล้วก็จริงเท็จไม่รู้ พระพุทธเจ้า ท่านก็เอา สิ่งที่รู้แจ้ง เห็นจริงชัดๆ มาบอกกัน พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ อย่างยิ่ง สิ่งใดที่ไม่จริง ท่านก็พยายาม พิสูจน์โดยตัวของท่านเอง อย่างถึงที่สุด เมื่อพิสูจน์ ได้แล้วว่า อันนี้เป็นอย่างนี้ ท่านก็ตรัส ท่านก็บอกว่า อย่างนี้เป็นอย่างนี้ ท่านเป็นนัก วิทยาศาสตร์ แม้จะเป็นทางนามธรรม นามธรรม อย่างไรๆ ก็เป็นวิทยาศาสตร์ ศาสนาพุทธ นั้นได้ชื่อว่า เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะตามพิสูจน์ได้ อย่างที่อาตมาได้พยายามอธิบาย หยิบมา ให้พวกเราพิสูจน์ แต่ละคนๆ ก็พิสูจน์ของตนเอง

คนทำทุจริตนั้น เอาเปรียบก็เป็นบาป ลักษณะทุนนิยมนี่ บาปทั้งสิ้น ได้เปรียบเอาเปรียบ ด้วยกลวิธีที่เราเป็นคนคิด ถึงแม้ว่าคนอื่นคิดเชิงกลนี้ คนอื่นคิดเชิงกลนี้ได้เปรียบไว้แล้ว ในเรื่องของธุรกิจการค้าพาณิชย์ เมื่อคิดเชิงกลนั้นไว้แล้ว เราใช้เชิงกลนั้นมาใช้ตามเขา เชิงกลนั้นเป็นการเอาเปรียบแน่แท้ คุณไปเอาเชิงกลนั้นพัฒนาเชิงชั้นต่ออีก แม้ไม่ได้เป็น ต้นคิด ก็บาป บาปซ้ำซ้อน กำไรหลายชั้น เขาเรียกว่าความเจริญของเศรษฐศาสตร์ด้วยนะ แต่เศรษฐศาสตร์ขี้โกง หาทางเอาเปรียบให้แก่ตนเองได้มาก แล้วก็ซับซ้อนจนคนเขาจำนน ด้วยวิธีการใดๆก็แล้วแต่เถอะ

จะมีวิธีเก่งขนาดไหน คุณก็ขูดรีดเขาได้มากๆ เอาเปรียบเขาได้มากๆ ก็ยิ่งบาปมากๆ คนไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก ฟังไม่รู้สึกสะทกสะท้าน แต่คนที่เชื่อกรรมเชื่อวิบากแล้วนี่ ฟังแล้วจะสะอึก

เพราะฉะนั้นความโลภ ความเห็นแก่ตัวนี่ มันร้ายกาจจริงๆ ถ้าไม่ศึกษาสัจธรรมจริงๆ จนกลัวบาปกลัวกรรม มีหิริ มีโอตัปปะ จนกระทั่งเลิกละไม่ทำ แล้วก็มาพิสูจน์ตนเองว่า เราเองเราไม่ต้องได้เปรียบ ไม่ต้องสั่งสมกรรมบาป ทำแต่บุญ เสียสละ จะเรียกเป็นภาษา ธรรมดา เสียเปรียบ รู้ว่าเราเสียเปรียบ ไปเปรียบไปเทียบแล้วเราเป็นคนเสีย เราเป็นคนให้ เราเป็นคนไม่ได้ เราเป็นคนไม่เอา เป็นคนเกื้อกูลคนอื่น เราเป็นคนมีประโยชน์แก่ผู้อื่น เราได้ให้เขา จากของที่เป็นสิทธิของเรา

ระบบทุนนิยมนี่ มันเป็นระบบที่ไม่มีบุญเลย ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นเลย เป็นระบบ ที่เลวร้ายของโลก แล้วก็จะร้ายกาจขึ้นไปทุกที ตอนนี้ก็ ผู้ที่มีอำนาจใหญ่ ในระดับ ทุนนิยมของโลก ก็หาวิธีการเพื่อที่จะได้เปรียบโลก ใช้เชิงกลที่ชาญฉลาด ล่าอาณาจักร เพื่อที่จะเอาอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เปรียบ เอาเปรียบ ทุกวัน จึงเป็นเชิงคิด ที่เลวร้ายที่สุด พวกเราจึงมาพยายามหาวิธีที่จะอยู่อย่าง ไม่เอาแบบ ทุนนิยม จึงมาทำ แบบบุญนิยม

ชาวอโศกเราทุกวันนี้ อาตมาพูดอย่างภาคภูมิ พวกเรานี่เป็นลูกพระพุทธเจ้า เช่น มาทำงานฟรี มาทำงานเสียสละได้ ไม่ต้องเอามาเป็นของเรา ไม่ต้องคิดว่าเราทำมาก แล้วเราควรได้มาก ทำมากก็เอาไปให้หมดเลย ไม่เอารายได้ ไม่เอาแลกเปลี่ยนคืนมาเลย จะเก่งเท่าไรก็เก่ง เราก็ศึกษาความรู้ในการสร้างสรรสิ่งที่ดีที่งาม อะไรที่มันสำคัญ อย่างเช่นปัจจัย ๔ สำคัญ เราก็ต้องสร้างเอง เพื่อพึ่งตนเอง อาตมาภาคภูมิใจจริงๆว่า พวกเรานี่ ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร ถ้าเป็นทุนนิยมเราก็จะได้เงิน เอาไปขาย แล้วเอาเงิน เข้ากระเป๋า ใครมีความรู้ ความสามารถมาก ก็จะได้รับส่วนแบ่งเยอะ แล้วก็เอามาเป็น ของตัวของตนได้เยอะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่พวกเราก็ไม่ นี่เป็นเรื่องพิสูจน์ได้จริงๆ ในยุคนี้ ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ล้อมรอบไปด้วย ลัทธิทุนนิยม อันจัดจ้านขนาดนี้ เรายัง เป็นไปได้ แล้วก็อยู่กัน เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน เช่นหมู่บ้าน ศีรษะอโศก เรานี่ เป็นหมู่บ้าน บุญนิยม มีสาธารณโภคี มีของส่วนกลาง ทรัพย์สิน ส่วนกลาง เงินทอง ใช้รวมกัน ร่วมกัน

ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของชาวอโศก อยู่ในศีรษะอโศก ขนาดอยู่ที่อื่นก็มีส่วนมีสิทธิ์ ที่จะเป็น เจ้าของที่นี่ได้ ชาวอโศกเรานี่ เพราะเป็นส่วนกลางสาธารณโภคี ระบบนี้นี่โอ้โฮ....วิเศษ สุดยอดเลย ดีกว่าระบบทุนนิยมนี่ เราก็ช่วยกันทำ ทำเสร็จแล้วก็เข้ากองกลาง ได้มามากๆ ก็สะพัด ไปสู่ผู้อื่น ไปสู่สังคม เผื่อแผ่สังคม เพราะฉะนั้นจึงเป็นบุญ เพราะเราทำมาก คิดเป็น มูลค่า เรามีส่วนเป็นมูลค่ามาก เราใช้วันๆหนึ่ง ใช้เป็นมูลค่าไม่มาก วันหนึ่ง เราหาได้ ประมาณ วันละ สมมุติค่าแรงงานของเรา เราจะมีรายได้ประมาณ ค่าตัวของเรา นี่สักพันหนึ่ง หมื่นหนึ่ง วันละหมื่นนี่ก็ยังไม่แพง เพราะทุกวันนี้ทุนนิยมนี่ คนบางคนนี่ มีรายได้วันหนึ่งไม่ใช่หมื่น มีรายได้วันหนึ่ง เป็นล้าน วันหนึ่งเป็นหลายล้าน ด้วย เพราะว่า คนที่มีเงินมีทรัพย์สิน หลายๆ หมื่นล้าน หลายๆแสนล้านนี่ เฉลี่ยแล้ว ไม่ใช่เขามีรายได้ วันละล้าน ถ้าวันละล้าน เดือนหนึ่งมัน ๓๐ ล้านเอง เอ้าคิดเป็นวันเลย ก็ได้ ปีหนึ่งก็ ๓๖๕ วัน ก็ ปีหนึ่งก็จะได้เงินแค่ ๓๖๕ ล้านเอง ๑๐ ปีก็ได้ ๓๖๕๐ ล้านเอง ๑๐ ปีนะ แต่จริงๆนั้นมีคนที่เขามีรายได้ ยิ่งกว่านี้ เขาหาได้ ทุกวันนี้นี่ ๑๐ ปี ไม่ใช่ ๓๖๕๐ ล้าน ๑๐ ปีเขามีทรัพย์ห้าหมื่นล้าน-แสนล้าน และกว่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจะได้รายได้ วันหนึ่งเท่าไร ลองหารกลับดูเถิด รายได้วันหนึ่งของเขา ได้ไม่รู้กี่สิบล้าน เห็นไหม แค่รายได้ ในวันหนึ่งเท่านั้น เขาได้ตั้ง ๓๐-๔๐ ล้าน คนระดับล่าง อีกกี่สิบล้านคน ทั้งชาติ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย กี่ชาติยังไม่เคยได้เคยมีเลย ๓๐-๔๐ ล้าน นี่คือความจริง

เอาละอาตมาก็พูดไปเท่านั้นเอง ให้เห็นว่าสังคมที่มันเหลื่อมล้ำกัน เอาเปรียบเอารัดกัน กอบโกย กันนี่ มันเป็นอย่างนี้ แล้วมันรุนแรง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ดูดไปมาก ความขาดแคลน ของสังคม ก็เกิดขึ้นมาก เมื่อความขาดแคลนของสังคมเกิดขึ้นมาก ความจำเป็นดิ้นรน กลัวตาย ก็ต้องขโมย ต้องแย่งชิง ต้องทุจริต ต้องหาทางอยู่รอด ความเลวร้ายหลากหลาย นานา ก็เกิด นี่เป็น ความเดือดร้อน ของสังคม เป็นบาปของผู้กระทำโลภ

สังคมชาวอโศกเราไม่ได้สะสมกอบโกย ไม่เอาเปรียบ ไม่สร้างบาปจริงๆ ทำแล้วเราตั้งใจ ขาดทุน เพราะทุกคนมีส่วนเหลือ เมื่อกี้อาตมาสมมุติแล้วนี่ ค่าตัวเราคนนี้มีมูลค่า ประมาณหมื่น เรากิน เราใช้สองพัน เหลืออีกตั้งแปดพัน ก็เข้ากองกลาง คนนี้ห้าพัน กินใช้สองพัน เหลือสามพัน เป็นต้น และสังคมเราก็ไม่ใช่มีคนๆเดียว แต่ละคนมีส่วนเหลือ จึงมีรวมกันแบ่งแจก ไปสู่สังคม ข้างนอกได้มาก

สรุปคือ พวกเราพึ่งตนเองรอด ทำงานคุ้มตัวเอง ก็มีส่วนกินใช้อยู่ในนั้นแล้ว เหลือทุกคน หรือเกือบทุกคน มันไม่ทุกคนหรอก บางคนไม่คุ้มตัวเองอย่างเด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ คน ๕ ประเภทนี้ เราก็เผื่อเขา แต่มันมีอีก ๒ คน คนขี้เกียจกับคนขี้โกงนี่ ไม่อยากจะเผื่อมันเลย แม้ในสังคมของเราจะมีน้อย แต่มันก็ยังแทรกแซงอยู่ในนี้มีบ้าง

พรรคการเมืองเพื่อฟ้าดินจำเอาไว้ ซึ่งเป็นรัฐศาสตร์แบบของเราหรือการเมืองแบบของเรา รัฐศาสตร์ของเรา จะไม่สร้างอำนาจให้แก่ตนเอง แต่จะเป็นไปตามสัจธรรม ใครให้เรา มีอำนาจ ก็ให้เขาให้มา แล้วเราจะปฏิเสธด้วย เราจะพยายามไม่มาดูดอำนาจ ไม่มาเอา อำนาจ มีแต่จะรับ เท่าที่ประชาชนให้ รับเท่าที่ควรรับ ใช้เท่าที่ควรจะเป็น ตามความเหมาะ ความควร อยู่ในคติแห่งความมักน้อยสันโดษ นี่เป็นประเด็นในแง่ของรัฐศาสตร์ ส่วนการบริหารนั้น บริหารอย่างมีธรรมะ บริหารอย่างเน้นคุณธรรม สร้างคนให้มีคุณธรรม ก่อนสร้างคน ให้รวย สร้างคนให้มีคุณธรรม ก่อนสร้างคนให้เก่ง สร้างคนให้รวยให้เก่ง แต่ไม่มีคุณธรรมนั้น เสร็จแล้ว ก็เท่ากับสร้างคนให้มาฆ่ากัน รบกัน แล้วก็มาข่มกัน เบ่งกัน แล้วก็มาอวดอ้าง ต่างคนต่างรวย นี่อวดอ้าง กันใหญ่เลย คุณหญิงคุณนายก็เบ่ง กันใหญ่เลย โอ้โฮ....เพชรของฉัน โตกว่าเพชร ของเธอนะ อะไรต่ออะไรต่างๆนานา หมั่นไส้ มันมาก ก็จ้างมันไปขโมยเพชร ไปประมูลเพชรมา ไปเอามาให้เป็นของข้า มันจะเป็น อย่างนั้น ไม่มีใจรู้จักสันโดษ ไม่รู้จักความเหมาะ ความควร มีเงินรวย มาแล้วก็จะเหลิง หลงไปตามโลกีย์ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรูหรา ฟู่ฟ่า สังคมก็ไปไม่รอด เศรษฐศาสตร์ ก็เป็น เศรษฐศาสตร์ฟ่ามๆ เศรษฐศาสตร์ฟุ้งเฟ้อเศรษฐศาสตร์ หลงแบบ ลัคชัวรี่ (Luxury = สะดวกสบาย) หลงหรูหรา เป็นสังคม ที่ไปไม่รอด ต่อให้สำเร็จด้วย สร้างความรวย ให้แก่สังคม ให้สำเร็จ ก็ไปไม่รอด ถ้าไม่สร้างสังคม โดยสร้างคนให้รู้จักตามหลัก พระพุทธเจ้าก่อน เป็นคนเจริญ ๙ ระดับ (วรรณะ ๙) เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลา เป็นคนที่มีศีลมีธรรมเคร่งได้ เป็นคน มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นคนที่ ไม่สะสม และเป็นคน ยอดขยัน สุดยอด ข้อที่ ๙ นี่ ยอดขยัน เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรรตามหลักของ พระพุทธเจ้า เลยนี่ ถ้าเราไม่ สร้างคน ให้มีคุณภาพ คุณธรรม อย่างนี้ก่อน ก่อนรวย ไปไม่รอด ถ้าสร้างรวย ก่อนมี คุณธรรม อย่าไปหวังเลย รวยแล้ว ไม่มีใครกล้าสอน สอนไม่ได้หรอก รวยแล้วมีแต่สูง ใครจะกล้า นอกจากคนจะมีบุญบารมี ส่วนตัว อาตมามองนึกอยู่เหมือนกันนา คนที่จะมา ให้เขารวย เมื่อรวยคนก็จะมานิยม คนนี้ ว่าสูงส่งด้วยบุญบารมี แต่ไม่ใช่คนมีบารมีธรรม จริงๆ ยิ่งยุคกาลนี้ ยุคใกล้กลียุค คนที่มีกิเลสมาก เพราะฉะนั้น คนที่มีบุญบารมีธรรมน้อย มีแต่รวย ด้วยการทำบาป ไปตามโลกีย์ แล้วก็เบ่งข่ม แย่งชิง รวยไม่รู้จักจบจักพอ ไม่เกื้อกูล ยิ่งรวย ยิ่งมีอำนาจ เงินยิ่งมากยิ่งเอาเงินไปต่อบาป เอาเงินไปเป็นอำนาจต่อรอง เพื่อที่จะไปเป็น เชิงกล ที่ได้เปรียบมากๆๆๆขึ้น เป็นวิธีคิดของทุนนิยม เขาทำกันอยู่ตลอด ไม่เคยหยุดคิด ไม่เคยหยุด ครีเอท วิธีการที่จะได้เปรียบ ไม่เคยมีคนรวยคนไหนที่หยุด ครีเอท วิธีการ ที่จะได้เปรียบ ไม่มีๆ ตัวเองไม่คิดเองก็ตาม ให้คนอื่นคิดให้เรา ให้ตัวเรา เพราะฉะนั้น มันถึงไปไม่รอด วิธีนี้ไปไม่รอด นี่คือ สภาพของสังคมที่อาตมาเห็น

สังคมอโศก มาถึงวันนี้แล้ว อาตมามั่นใจว่าไม่ล้ม ไม่ได้ท้าทาย แต่มันเป็นความเข้าใจ เรารู้ดีว่าเราเล็ก แล้วเราก็ไม่ได้ไปยิ่งใหญ่อะไร เราไม่ได้มีอำนาจ เราไม่ได้สร้างอำนาจ ให้แก่ตัวเองเลย เพราะฉะนั้นไม่ท้าทาย ในชีวิตอาตมาไม่ท้าทายอะไรใคร เพราะเราไม่ได้สร้าง อำนาจไว้ให้แก่เราเอง คนอื่นจะให้อำนาจ ก็คนอื่นให้เท่านั้น ถ้าขืนไปท้าทาย เขามีอำนาจ แล้วเราไม่มีอำนาจแล้วจะไปท้าทายได้อย่างไร อาตมาว่า อาตมามีปัญญาเข้าใจจริงๆ ไม่อย่างนั้น อาตมาจะเชิญชวนพวกคุณพิสูจน์ได้อย่างไร แล้วก็จะอยู่ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่กันอย่าง ที่จะเกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟาย เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ เป็นผู้ยอมแพ้ แต่ช่วยเขา เป็นผู้ช่วยโลก นี้คือคุณลักษณะของ พระเจ้า เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ ด้วยจิตบริสุทธ์ ที่จะเกื้อกูลให้เขาดีกว่า เพราะฉะนั้น เราจะเป็น คนเช่นนี้ไปอีกตลอดกาลนาน อีกกี่ชาติๆๆๆ ก็จะเป็นคนเช่นนี้ เอาไหม (เอา) เอวัง"


*** Phra Jingxiang ซักถามเรื่องสติปัฏฐาน
ฌาน วิตกวิจาร และองค์คุณของพระอาริยะ

๓๐ เม.ย. ๔๗ ที่สันติอโศก Phra Jingxiang จิ้งเซี่ยงฝ่าซือ หรืออดีตสมณะสมณลักขโณ ได้มาสนทนาสอบถามเรื่องการอธิบายสติปัฏฐาน ฌาน วิตกวิจาร และการอธิบายถึง องค์คุณ ของพระอาริยะที่พ่อท่านอธิบาย ก่อนที่ท่านจะได้นำไปอธิบาย ให้ชาวจีน ในที่ต่างๆ ได้เข้าใจ

อ่านต่อหน้าถัดไป

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ -