- ทีม สมอ. -

การเมืองบุญนิยม

มีผู้กล่าวถึงอาชีพแพทย์ ครู และพระสงฆ์ มีอุดมการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อการทำความดี และสร้างบุญสะสมให้แก่ตัวเองตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็กลายเป็นอาชีพ ที่สะสมบาป ได้มากที่สุด เมื่อไม่ได้มุ่งปฏิบัติตามนั้น

อาชีพการเมืองก็เป็นนัยะนี้ เมื่อนักการเมืองปวารณาตัวเข้ามาทำงานเพื่อสังคม ประกาศ เจตนารมณ์ที่จะรับใช้ประชาชนด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ แต่ถ้าตระบัดสัตย์ กอบโกย เอาแต่ผลประโยชน์ใส่ตน ญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของตน นั่นคือการสะสมมหันตบาป ที่ต้องรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง

จากบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ วิเคราะห์เจาะลึกควันหลงการเลือกตั้ง กทม. พร้อมกับเปิดตัวการเมืองระบบบุญนิยม ซึ่งเป็นพรรคการเมืองพันธุ์ใหม่( Alien species) ที่มีทั้งนโยบาย ทั้งวิธีประพฤติ และอุดมคติที่แตกต่างไปคนละอย่าง กับการเมือง ที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้ทั้งหมด



การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านไป ชี้บอกอะไรของสังคมไทยบ้าง และพ่อท่านรู้สึกนึกคิด อย่างไรคะ ?

การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. คราวนี้ ทำให้เห็นว่าสังคมไทยมันยิ่งไปกันใหญ่ จับความคิด ที่เป็นทิศทางที่ดีงามไม่ได้เลย สังเกตได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ มีทั้งผู้มุ่งมั่น เพื่อที่จะเอา ชนะคะคานอย่างเดียว มีทั้งผู้ที่ทำเพื่อแก้แค้น มีทั้งผู้ทำเพื่อประชดประชัน มีหลายๆ ลักษณะที่ดูแล้วเป็นความปั่นป่วนของสังคม มันไม่เป็นเอกภาพเลย มันเป็นความแตก แยก ของสังคมที่เด่นชัด ไม่เป็นความนิ่มนวล ไม่เป็นความสงบ อบอุ่น แต่มันกลายเป็น เรื่องรุนแรง ทั้งความอาฆาตมาดร้าย รุนแรง ทั้งการทำลายกันในเชิงชั้น เกิดความแตก แยก เป็นริ้วๆๆๆ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าสังคมมันไม่ไหว มันแตกกระสานซ่านเซ็น ไปกันใหญ่แล้ว ชี้ชัดถึงความไม่เจริญอย่างสุจริต จึงไม่เป็นกุศลแก่สังคมแก่ประเทศ

อาตมารู้สึกว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ เป็นการบ่งชี้สภาพของสังคมว่า มันยิ่งแย่ และเราคงจะต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อที่จะสร้างมนุษยชาติ สร้างคุณงามความดี ให้แก่มวลมนุษยชาติตามหน้าที่ของเรา ถึงแม้อาตมาจะมีอายุมากแล้ว ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อ กำลังวังชาของเรายังดีอยู่ ก็ทำไปเรื่อยๆแล้วกัน

ส่วนในรายละเอียดของพฤติกรรมการหาเสียงก็ดี พฤติกรรมของการเมืองที่เกิดขึ้นก็ดี ต่างๆนานา มันยิ่งแสดงถึงความล้มเหลว เราต้องพยายามช่วยสอน ช่วยแนะให้เกิด พฤติกรรมการเมืองที่ดีงามกว่านี้ บริสุทธิ์สะอาดเป็นประชาธิปไตย อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่านี้ให้ มากขึ้นๆ จนมีรูปมีแบบพอเป็นตัวอย่างให้ดูกันบ้าง ต้องอุตสาหะกัน หนักหน่อย เพราะสังคมมันแสดงให้เรารับรู้แล้ว เราจะไม่รับรู้ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ หรือไม่เอาตาดูหูฟัง อะไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้


พ่อท่านมีข้อติติงอย่างไร ?

ในเรื่องพฤติกรรมการเลือกตั้งนั้น อาตมาคงไปติติงอะไรไม่ได้ ถ้าจะบอกอะไรออกไป ก็เป็นการบอกความจริงและความรู้ตามประสาคนอย่างอาตมา ที่ไม่ได้เรียนได้รู้ จากสถาบันไหน อาตมาเห็นมาอยู่ตลอดเวลาว่า การเมืองทุนนิยม หรือการเมืองโลกีย์ มันก็เป็นตระกูลนี้ อย่างที่เขาเป็นกันอยู่แล้ว มันก็เป็นแบบนี้ และจะจัดจ้านยิ่งขึ้น เพราะคนโลกีย์ก็พัฒนาแบบโลกีย์ นั่นคือสร้างขุมนรกที่ร้อนร้ายยิ่งๆขึ้น จะเห็นได้ว่า การเมืองทุกประเทศ การเลือกตั้งรุนแรงมากขึ้น ห้ำหั่นกันมากขึ้น ใช้ทุนรอนหนักขึ้น ในการพยายามหาเสียง เหน็ดเหนื่อยมากขึ้น โหดมากขึ้น ซับซ้อนซ่อนเชิงยิ่งๆขึ้น ลงทุนลงแรงไปกับการหาเสียง เพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งยิ่งขึ้น อาตมารู้สึกเหนื่อยแทน จริงๆ เพราะฉะนั้นจึงขอแนะว่าการเมืองอย่างนี้ ถ้าขืนยิ่งทุ่มโถมไปในทิศทางนี้ ทวียิ่งๆ ขึ้นไปแล้ว ตายลูกเดียว และจะเป็นการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น

ประชาธิปไตยที่อาตมามองเห็น และคิดว่าจะช่วยเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นผู้ช่วย ให้คำแนะนำ โดยที่ว่าเราเองอยู่ในทางธรรม ซึ่งคนก็มักจะบอกว่า อยู่ทางธรรมแล้ว ไปยุ่งอะไรกับการเมือง และเขาก็พูดกันว่า อย่าเอาธรรมะไปวุ่นวายกับการเมือง คำพูด คำนี้ยิ่งน่าคิด อย่าเอาศาสนา หรืออย่าเอาธรรมะไปวุ่นการเมือง การเมือง จึงไร้ธรรมะ ไร้ศาสนา และเขาก็ปฏิบัติจริงด้วย ไม่ใช่แค่พูดเปล่า โดยไม่ให้คนที่มีธรรมะ ไม่ให้คน ที่มีศาสนาเข้าไปสัมพันธ์ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเมือง เข้าไปแนะนำ เข้าไปพูด ไปวิจารณ์ ไปปราม ไปให้ข้อคิด หรือติงเตือนอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้เลย มันก็เสื่อม มันก็ทรุดโทรม ลูกเดียว เพราะฉะนั้น อาตมาก็ว่าเอาเถอะ อาตมาเป็นนักบวชจริง อยู่ในฝ่ายธรรมะ อยู่ในฝ่ายของศาสนา แต่ใครเขาจะว่าอย่างไร ไม่มีปัญหา อาตมายอมให้เขาถล่ม ยอมให้เขาว่า เพราะอาตมามั่นใจว่าอาตมาชัดเจนในความจริงใจ ในเหตุผล ที่เราจะต้อง เอาธรรมะเข้าไปใส่การเมือง แต่แน่นอนอาตมาไม่ไปเล่นการเมืองหรอก ไม่ไปรับตำแหน่ง ไม่เข้าไปวุ่นวายกับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองเขาแน่ เพียงแต่อยากช่วยเหลือ อยากให้ ข้อคิดและอยากให้ปฏิบัติพัฒนากันให้ได้จริงว่า การเมืองต้องมีสำนึกมาก ต้องหันมาหา ธรรมะให้มากจริงๆ นักการเมืองนั่นแหละตัวจริงเลย เป็นตัวหลักที่ต้องหันหน้า เข้าหา ธรรมะ ศึกษาธรรมะ ฝึกฝนธรรมะเพื่อให้มีคุณธรรมมากยิ่งๆขึ้นจริงๆ นี่พูดโดยรวม พูดโดยไม่มีรายละเอียด เพราะว่ารายละเอียดพูดกันในที่นี้คงไม่ได้ สรุปแล้วก็คือ ต้องมาหา ธรรมะที่เป็นสัจธรรมแท้ๆ สัจธรรมที่มีฤทธิ์ มีแรง สัจธรรมที่เป็นโลกุตระ ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง

โลกุตระไม่ได้หมายความว่า ฆราวาสมีไม่ได้ ความจริงฆราวาสก็มีได้ โดยการลดละกิเลส ความเห็นแก่ตัวลงไปให้ได้จริงๆ นี่แหละคือโลกุตระ เราต้องรู้ทิศทางว่าหลักมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติอย่างไร ลดละกิเลส จับตัวกิเลสอย่างไร จนลดโลภโกรธหลงได้จริงๆ นั่นแหละ ตัวผู้ไปปฏิบัติงานการเมืองต้องทำจริงๆ จึงจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองจริง เป็นประโยชน์ ต่อการบริหาร การทำงานอย่างดีมาก

นี่เป็นการแนะ เมื่อแนะได้ก็แนะว่าควรหันหน้าเข้าหาธรรมะ เพราะฉะนั้น ตอนนี้อาตมา ยิ่งเห็นว่า อาตมาต้องยอมให้เขาว่า เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ อาตมาจะพยายามดันเอา ธรรมะนี้เข้าไป พยายามจะเอาธรรมะไปวิจารณ์การเมืองก็จะทำ เอาธรรมะไปพูด ไปเสริม การเมืองควรเป็นอย่างนี้ ถ้ามองในแง่ธรรมะจะต้องเป็นอย่างนี้ เช่น ต้องมาลดกิเลส กันจริงๆ ลดโลภ โกรธ หลงลงให้ได้จริง ลดโลภในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขให้ได้ ลดการ อวดตัวอวดตน การหาเสียงการโฆษณาตัวเอง นั่นไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ประชาธิปไตยเนื้อแท้ ยิ่งต้องไปซื้อเสียง ยิ่งต้องเอาเงินหว่าน มันไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ เราต้องไปเสียสละกันจริงๆ อย่างนี้เราต้องพยายามทำ โดยไม่ใช่พูดสอนเฉยๆ แต่จะแนะวิธีปฏิบัติว่าควรทำอย่างไร ถ้าสนใจว่าเป็นเรื่องควรทำก็มาทำ

ในสายของชาวอโศกที่อาตมาเกี่ยวข้องอยู่ เราก็มีพรรคการเมือง มีนักการเมือง มีคนไป ช่วยงานการเมือง ก็ต้องพยายามเสริมหนุนให้เป็นอย่างนี้ โดยไม่ไปแสวงหาอำนาจ ไม่แสวงหา ธุรกิจการเมืองเป็นอันขาด


พรรคการเมืองชาวอโศก มีลักษณะอย่างไรคะ ?

พรรคการเมืองของเรา จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป พรรคเพื่อฟ้าดิน จะแสดงตัวมันเอง หรือไม่แค่ไหน ก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามสัจจะของมัน เราไม่โชว์ หรือหาเสียง ไม่เอาไปโฆษณาทางโทรทัศน์ให้คนรู้จัก แต่เราจะทำงานให้มากขึ้น เมื่อมีพรรคเกิดขึ้น ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรค เป็นกรรมการพรรค เป็นเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานที่รับผิดชอบ งานที่ได้ รับมอบหมาย หากเป็นงานการเมืองของพรรคที่ทำกับประชาชน เราก็ทำให้หนักยิ่งขึ้น ทำให้มาก ทำให้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนจะประกาศโฆษณา หรือจะหาเสียง เราไม่ทำหรอก


 

การที่มีคนพยายามแยกงานศาสนาออกจากการเมือง เพราะอะไรคะ ?

ความจริงก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกัน จริงๆแล้วเขาก็รักธรรมะ เขาเห็นธรรมะเป็นของสูง เป็นของสะอาด ส่วนการเมืองเขาก็เห็นกันอยู่ทั่วไปว่า เป็นเรื่องของความเลอะเทอะ เป็นความสกปรก เป็นเรื่องโกหกตอแหล ชิงดีชิงเด่น เมื่อเขารักศาสนา รักธรรมะ และรู้สึก กับการเมืองว่าไม่สะอาด เขาจึงไม่อยากให้สิ่งที่สูง สิ่งที่สะอาด เข้าไปแปดเปื้อนกับ การเมือง เพราะการเมืองมันสื่อสภาพออกมาเป็นอย่างนั้น มันกลายเป็นความเข้าใจ ไปอย่างนั้น เขาก็เลยกันเรื่องศาสนาออกมา ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว เพียงแต่วิธีคิดอย่างนี้ กลับมีข้อเสียในอีกมุมเท่านั้นเอง แม้กระทั่งกฎหมายก็เขียนไว้ว่า ห้ามศาสนา ห้ามคนทำงานด้านธรรมะด้านการกุศลยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เมื่อบัญญัติ อย่างนั้นออกมาแล้ว ก็เลยทำให้ต้องถามกันจริงๆว่า ถ้าไม่ให้การเมืองมีธรรมะแล้ว จะปล่อยให้การเมืองเสื่อมโทรม จนสร้างความเสื่อมเสียต่อบ้านเมืองอย่างนั้นหรือ


การที่คิดเช่นนั้น เพราะไม่เข้าใจศาสนาใช่ไหมคะ ?

ไม่เข้าใจศาสนา ก็เป็นข้อหนึ่ง เป็นข้อสำคัญยิ่งใหญ่ทีเดียว ที่จะต้องแก้ไขกันอย่างหนัก และ สอง ก็ไม่มีศาสนาที่จะมีฤทธิ์มีแรงพอ เพราะผู้ที่อยู่ในฝ่ายศาสนา บางทีก็ไม่ได้เป็น นักการศาสนาที่แข็งแรงจริง ไม่มีภูมิคุ้มกันสำหรับตัวเอง พอเข้าไปยุ่งกับการเมือง ก็ถูก พลังของการเมือง หรือถูกพลังงานของสนามแม่เหล็กทางการเมือง เหนี่ยวนำดึงดูดไปเป็น อย่างการเมือง ซึ่งเลอะเทอะอยู่แล้ว ก็เลยทำให้นักการศาสนาเสื่อมไปด้วย เพราะนัก การศาสนาไม่มีความแข็งแรงเพียงพอ เมื่อภูมิคุ้มกันตัวเองอ่อนต่ำ ก็ถูกเชื้อโรคต่างๆ เข้าง่าย เกิดโรคแทรก ถูกดูดดึงไปสร้างความเสื่อมเสีย เป็นอย่างนี้จริงๆด้วย

แต่ถ้านักธรรมะที่แข็งแรง นักธรรมะที่มีเนื้อธรรมะในตนจริง นักธรรมะนั้นจะไม่ถูก กลบกลืน ไปในทางโน้น ก็มีแต่จะไปให้สติ ให้ความรู้ ให้ความเกื้อกูลแก่นักการเมือง ช่วยเหลือนักการเมือง โดยนักธรรมะจะช่วยนักการเมืองที่ยอมให้ช่วยได้จริงๆ โดยจะไม่ถูก ครอบงำ ให้ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง ซึ่งถ้านักการศาสนา อ่อนด้อย เป็นเครื่องมือนักการเมืองแล้ว ก็ใช่เสียหายแน่ แต่ถ้าไม่เป็นเครื่องมือของนักการเมือง และสามารถช่วยนักการเมืองให้ดีขึ้น เจริญขึ้นมาได้ อันนั้นก็ย่อมจะเป็น สิ่งที่ดีงาม


เมื่อใดที่นักการเมืองมีอุดมการณ์เพื่อรับใช้ประชาชน ด้วยความเสียสละ
จนเป็นที่ประจักษ์ชัดของผู้คนในสังคม
เมื่อนั้นการเมืองจะเปลี่ยนโฉมหน้าอย่างสิ้นเชิง
เนื่องเพราะนักการเมือง จะคือ นักการศาสนา
และนักการศาสนา จะคือ นักการเมือง
ด้วยต่างมีเป้าหมาย อุดมคติเดียวกันอย่างแท้จริงๆ

-สารอโศก อันดับที่ ๒๗๔ สิงหาคม ๒๕๔๗-