สิ่งที่ควรทำให้เที่ยงแท้ (ตอนจบ)
* พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๗ มี.ค. ๒๕๓๐
ณ พุทธสถานสันติอโศก


เดี๋ยวนี้ชอบจะเรียนคอมพิวเตอร์ ราคาแพง เรียนบริหารจะได้ขึ้นมาเป็นเจ้าเป็นนาย อาตมาเคยพูด นะว่า น่าจะมีโรงเรียนจอมพล เรียนไปกี่ปีล่ะ อาตมาว่า เรียนสัก ๑๐ ปี จบออกมา ได้เป็นจอมพล เขาคงเรียนกันตายเลยนะ ลูกบ้านไหนๆมีเงินมีทอง ค่าเล่าเรียน หน่วยกิตแพงๆก็คงรีบเรียนกันนะ จบออกมาได้ดำรงตำแหน่งจอมพล หรือว่ามีโรงเรียนลัด เลยนะ โรงเรียนนี้ผลิตซี ๙ เสร็จแล้วก็ซี ๑๐ ซี ๑๑ คงเรียนหมดล่ะ เรียนลัดหมดเลย เรียนโรงเรียนนี่ จบออกมาแล้วได้เปรียบนี่ เรียนออกมาแล้ว เทียบให้ซี ๙ เลย พวกนี้ ชอบที่จะสร้างอะไรขึ้นมาล่อหลอกเขาซับซ้อนให้แก่สังคมมากเหลือเกิน

เขาตั้งวิทยาลัยธรรมกาย วิทยาลัยบางละมุง ของกิตติวุฑโฒนั่นน่ะ ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งท่ามาตั้งแต่ปี'๒๕ แต่ยังไม่สำเร็จ มาปีนี้ก็ขมีขมันเข้า ฝ่ายธรรมกายเริ่มต้นปี'๒๙ สำเร็จก่อนเลย ตั้งวิทยาลัยธรรมกาย เสร็จแล้ว เขาอนุมัติออกมาแล้ว ว่างั้นนะ ตามข่าว เขาว่างั้น เราก็มีมหาวิทยาลัยของเรานี่ สอบเข้า ยากหน่อย คนที่สอบเข้า จะต้องมีคุณธรรม มีอาริยทรัพย์ ต้องละโลกียสุขมาได้พอสมควรนะ ต้อง ละโลภ ละโกรธ ละหลง มาได้พอสมควร อย่างน้อยอบายมุขไม่มี ถ้าอบายมุขมี มาเอ็นทรานซ์ ไม่ได้ สอบไม่ติด จะทำเป็นละได้ชั่วคราวเข้ามาดู เข้ามาอยู่ อยู่ไปแล้วก็จะรู้ ประเดี๋ยวเถอะผีขึ้น เดี๋ยวก็ ต้องออก ถูกไล่ออกไปอยู่ดีนั่นแหละ ถูกเพื่อนขับออกไปอยู่ดีแหละ อยู่ไม่รอดหรอก ถ้าเผื่อว่า ไม่มีอาริยทรัพย์นั้น มาเป็นค่าหน่วยกิต ค่าเล่าเรียน

มหาวิทยาลัยนี้ที่จริงค่าเล่าเรียนไม่ใช่แค่ละโลกียสุขเท่านั้นหรอก โดยจริงแล้วอาตมาว่า พวกคุณ ให้มาเป็นชาติๆด้วย ให้ค่าเล่าเรียนด้วยชีวิต เอาชีวิตเข้ามา ไม่รู้จะเรียนจบ หรือเปล่า ระวังจะรีไทร์ [ปลด] ออกไปก็แล้วกัน สอบตกที่นี่ ไม่ว่าอะไร จะรีเอ็กแซม [สอบใหม่] กี่ที ก็ว่ากันไปให้จริงเถอะ ทนให้ได้เถอะ สอบซ้อม สอบซ่อม สอบซ้ำ สอบไปเถอะ เขาไม่รีไทร์ คุณจะสอบ ๑๐๐ ทีเขาก็ไม่ว่า ให้อยู่ได้ตามกฎตามระเบียบ เขาก็แล้วกัน แต่ถ้าสอบซ้ำสอบซากบ่อยนัก มันก็น่าอาย สอบแล้ว ไม่ได้สักที มันก็น่าอายเท่านั้น ทำไม มันขี้เก๊นัก สอบไม่ได้สักที

นี่เป็นมหาวิทยาลัยเปิด แต่สมัครเข้ามายาก จะเข้ามาเป็นนักศึกษาในนี้ยาก ศึกษาทั้งชีวิต ศึกษาแล้ว จะมีคุณประโยชน์ต่อตน ต่อสังคมจริงๆ ศึกษาแล้วได้วิชาการ ได้ความรู้ เป็นทรัพย์ ได้ความจริง เป็นทรัพย์ ได้อาริยทรัพย์ เป็นความรู้ความจริงอย่างนี้ ความจริงที่ตนเองละโลภ โกรธ หลงออกไปได้ นี่แหละ เป็นเป้าหมายของมนุษย์ ที่จะอยู่ในสังคมอย่างดี จะเป็นอาริยชน เป็นอารยชนที่แท้

ทุกแห่งเขาบอกว่าเมืองอารยะ เดี๋ยวนี้ไปเรียนเอาปริญญาตรี โท เอก จากเมืองอารยะ ที่จริงก็ไปรับ วิชาการประเภทถูกเขาหลอกลวงมาครอบมางำนั่นแหละ จริงมันมีการ สร้างสรร แต่เป็นการ สร้างสรร ประเภทที่ไม่ลดละกิเลสอะไร มันเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ แล้วก็มาแก่งแย่งแข่งขัน ยิ่งมีความสามารถมาก ยิ่งมีความรู้พวกนี้มากๆ คนอื่นสู้ไม่ได้ ก็ยิ่งเอาเปรียบได้ง่ายๆ กลายเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก มันก็กิน ง่ายๆน่ะซิ มันถึงเป็นอยู่อย่างนั้น ปลาใหญ่ต้องช่วยปลาเล็ก

ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เราจะมาเป็นปลาใหญ่ที่ช่วยปลาเล็ก เพราะปลาเล็ก มีสมรรถภาพน้อย มีความสามารถน้อย เราปลาใหญ่ เรามีสมรรถภาพมาก ต้องช่วยกัน ปลาใหญ่ทนได้มากกว่า ก็กิน น้อยกว่า มีน้อยกว่า ก็ทนได้อยู่ได้ เพราะแข็งแรงกว่า สมรรถนะสูงกว่า ไม่จำเป็นต้องมีมากกว่า ได้มากกว่าเลย จึงจะช่วยปลาเล็ก ให้เขาอยู่ได้ ทั่วถึงกว้างขวางครบถ้วน พัฒนาให้เขาเป็นปลาโลมา เหมือนเรา ช่วยตนและช่วยผู้อื่นได้ แบบนี้สังคมถึงจะไปรอด

พวกเราเมื่อได้ดีมาพอสมควรแล้ว อย่าหยุดยั้งในความดี อย่าสันโดษในความดี ต้องไม่สันโดษในกุศล ต้องพยายามพากเพียร อุตสาหะ วิริยะ อย่าติดแป้น มาละล้างกิเลสเรามีอีก ความเห็นแก่ตัวเรา ยังเหลือ เรามาติดตัวเอง เสพติดสบายแค่นี้ เราก็พอสบายแล้ว เราเอาแค่นี้พอแล้วละ อย่าไปขวนขวาย อีกเลย ขวนขวาย อีกประเดี๋ยวเขาว่ามีกิเลส อย่าบ้าจี้ บอกซ้ำซากอีกทีหนึ่ง อย่าบ้าจี้ ต้องไม่หยุดอยู่ ต้องก้าวหน้าอย่างอุตสาหะ

เมื่อเรารู้ความหมายคำว่า ไม่เที่ยง ความดีมันไม่เที่ยง ถ้าเราไม่บูรณะไว้ มันจะเสื่อม เพราะฉะนั้น เราต้องบูรณะความดี ยังความดีให้ถึงพร้อม ยังความดีให้มาก เกื้อกูล หาหมู่หาพวกเพิ่มขึ้น ยังมีคน ที่ใยดี มีคนที่สามารถทำให้เขามาเข้าใจทิศทางนี้ มาเรียนรู้ มาอบรมตนเป็นคนอย่างนี้อีก มันพอมี ต้องทำ ถ้าเราคนหนึ่งไม่ทำ คนหนึ่งๆ คนนั้นๆ คนไหนก็ได้ ตัวเองไม่ทำ มันผิดทฤษฎีแล้ว เราต้องทำ คนหนึ่งก็ต้องทำ สองคนก็ต้องทำ เราต้องทำ เมื่อต่างคนต่างเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ขวนขวายกันอยู่ ขวนขวายกันจริงๆ มันก็จะเกิด

ถ้ามีความจริงนี้ เราขวนขวายกันจริงๆนะ ช่วยไม้ช่วยมือกัน เกื้อกูลกันไป อุ้มชูกันไป อาตมาว่า อโศก ได้พิสูจน์มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ได้พิสูจน์การสันโดษ การมักน้อย ได้พิสูจน์การไม่หลง โลกโลกีย์ ไม่เป็นทาสโลกีย์ มาพิสูจน์ มีรูปธรรมแล้วนะ แม้จะเล็กอยู่ ถ้าพวกคุณมีภูเขาในดวงตา คุณก็มองไม่เห็นแหละ แต่ถ้าคุณมีธุลีในดวงตา ต้องเห็นน่า มันพอเห็นได้แล้ว รูปของพฤติกรรม ต่างๆ ของความเป็นมนุษย์ ในสังคมอโศกนี่ มีภราดรภาพอย่างไร มีอิสรเสรีภาพอย่างไร มีสันติภาพอย่างไร มีสมรรถภาพอย่างไร สมรรถภาพเหล่านั้นต้องทำ เราจะไม่ด้อยสมรรถภาพ เราจะเก่งคอมพิวเตอร์ เราจะเก่ง ปรมาณู เราจะเก่งอะไรๆทั้งนั้นได้ มีความจำเป็นเราก็ใช้ เราจะไม่เป็นทาสสิ่งเหล่านั้น เราใช้ปรมาณูเป็น แต่ไม่เป็นทาสปรมาณู เราใช้ไฟฟ้าเป็น แต่ไม่เป็นทาสไฟฟ้า เราใช้วิดีโอเป็น แต่ไม่เป็นทาส วิดีโอ เราใช้เสื้อผ้าเป็น แต่ไม่เป็นทาสเสื้อผ้า

ถ้าสังคมประเทศไทยเกิดความสมดุลขึ้นมา มีทรัพยากร มีความอุดมสมบูรณ์ เสื้อผ้าหน้าแพรเหลือใช้ นอกจากเหลือใช้แล้ว ยังเป็นสินค้าออกที่จะเอาไปให้ข้างนอก เผื่อแผ่ข้างนอกได้อีก เกื้อกูลข้างนอก ได้อีกด้วย ในราคาถูกตีตลาดโลกได้ เพราะเรามีของดีราคาถูกไปตีตลาดโลกได้แล้ว ข้างใน เราก็มี แรงงาน มีศิลปวิทยา มีสมรรถนะสูง ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงอยู่กับอเมริกานะ ไปต่อล้อ ต่อเถียงทำไม เสียเหลี่ยม อาตมาว่ามันเสียท่านะ อาตมาดูแล้วมันน่าสังเวชใจว่า คนไทยทำไม เสียศักดิ์ศรี ถึงปานฉะนี้ ไปต่อล้อต่อเถียงเขาไม่เข้าเรื่องเขาจะลดราคาตีเรา เขาจะอย่างโน้นอย่างนี้มา เชิญเลย เราจะอุดมสมบูรณ์จนลดราคา ไม่ต้องไปตีเขาด้วย คุณขาดแคลนใช่ไหม เอาไปให้คุณด้วย ให้ฟรีๆเลย อุดมสมบูรณ์ถึงปานนั้น

อาตมารื้อฟื้นรัฐศาสตร์ขึ้นมาในใจมหาศาลเลยตอนนี้ ทุกวันนี้ความรู้รัฐศาสตร์ของอาตมา มันเกิด ขึ้นมา โดยญาณ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดยอาตมาไปเรียนมา อาตมาไม่ได้ไปเรียนหรอก ไม่ได้สนใจด้วย เรื่องรัฐศาสตร์นี่ ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้ว อย่ามาพูดการเมือง รัฐศาสตร์ ไม่เกี่ยว ฉันจะสนุกของฉัน รักศิลปะ การเมืองไม่เกี่ยว อย่ามาพูดเสียให้ยากเลย การเมือง รัฐศาสตร์ บ้านเมือง ใครจะเป็นอย่างไร ช่าง ฉันอร่อยของฉันอย่างเดียวพอ เห็นแก่ตัว อย่างนั้นนะ ตั้งแต่เป็น หนุ่มๆเด็กๆนี่ อาตมาไม่สนใจเลย เรื่องรัฐศาสตร์การเมืองนี่ ไม่เกี่ยวละ อย่ามายุ่งกับฉัน ไม่เอาไม่เกี่ยว แต่เดี๋ยวนี้อาตมารู้ว่า ตัวเองมีพื้น สิ่งเหล่านี้ มีความจริงเหล่านี้แล้ว เป็นรัฐศาสตร์ที่เป็นสัจจะด้วย ไม่ใช่รัฐศาสตร์โลกๆ โลกีย์ มาเล่นเล่ห์ เล่นเลศ เรียนเพื่อที่จะปกครองเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เพื่อตัวเองจะได้ร่ำรวยลาภยศ รัฐศาสตร์แบบเห็นแก่ตัวแบบนี้ อาตมาเข้าใจ เหลี่ยมคูของเขา มันซ้อนเชิง อธิบายให้คุณฟังหมด ไม่ไหวละ เพราะอาตมา ไม่มีภาษา ทางเทคนิค ไม่มีภาษาวิชาการ แม้อาตมาไม่มีภาษาทางเทคนิค แต่อาตมารู้ว่า อาตมามีเนื้อหาสิ่งเหล่านี้

แม้แต่รัฐศาสตร์การทูต ทูตทุกวันนี้คือไส้ศึก ฟังแล้วน่ากลัว พวกทูตนี่คือไส้ศึก ส่งไปไว้ประเทศนั้น ประเทศนี้ เพื่อไปล้วงความลับของประเทศนั้นประเทศนี้! ฟังแล้ว อยู่กันยังไง มนุษย์โลกนี้ อยู่กันอย่างไร ต่อหน้าต่อตาก็เคารพนับถือยกย่องกัน ทำเป็นหวังดีต่อกัน แต่ที่ไหนได้ กำลังล้วงตับ กินไส้กัน มาอยู่เพื่อจะหาผลประโชน์ ให้แก่ประเทศตน ฟังแล้วสังเวชจริงๆ ถ้าเราเป็นทูต ก็เพื่อจะไป ช่วยเขา ไม่ใช่ว่าไปเป็นทูต อยู่เมืองนั้น เพื่อล้วงความลับของเขา จะส่งข่าวมาให้ทางเราได้เปรียบ ฟังให้ดีนะ รัฐศาสตร์การทูตไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่สัจจะเลย เราเองเราสามารถที่จะไป เอาละ จะไป เป็นทูต ถ้าเขาต้องการ จะสัมพันธไมตรีกับเรา มา คุณมาสร้างสัมพันธภาพกัน มีทูต ให้เราไป เป็นทูตประเทศนั้น เราก็จะไป การไปเป็นทูตในประเทศนั้น ทูตนี่จะไปดูซิว่า ประเทศเขา ขาดแคลน อะไร ไปดูความจริง เขาบอกเราว่าขาดแคลน แต่แท้จริง เขาหลอกลวงเราหรือเปล่า เออ! ไปดูว่า บ้านเมืองเขาขาดแคลนอะไร เพื่อจะไปช่วยเขา ถ้าเรายังไม่มีความสามารถจะไปช่วยเขา อย่าไปเป็นทูต เมืองนั้น จะไปช่วยอะไรเขาได้ ให้เขามาเป็นทูตในเมืองเรา แล้วเราจะบอกเขา ช่วยฉันหน่อย ถ้าเรา เป็นทูตในบ้านเขา เขาก็จะได้มาบอกว่า เออ! ติดต่อตรงไปประเทศคุณหน่อยเถอะ ฉันขอ ความช่วยเหลือ คุณนะ เออ! เราก็จะบอกประเทศเราให้มาช่วยเขาหน่อย นี่เป็นความจริง ที่เขาเดือดร้อน อย่างนี้จริง เราอยู่ใกล้ชิด เราเป็นทูตก็รู้ความจริงสัมพันธ์กันด้วยความจริง อย่างสัมผัสอยู่ เห็นอยู่แท้ๆทันทีทันการ

ถ้าไม่มีทูตอยู่ในที่อย่างนี้ ก็จะต้องสอบกันอีก กว่าจะช่วยกันได้ ตายแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น การทูตช่วยให้เร็วขึ้น ให้มันได้ความจริงที่เร็ว จะได้ช่วยเหลือเฟือฟายกัน ระหว่างประเทศต่อประเทศ ในโลก อาตมาพูดต่อหน้าคนทำงานอยู่ในวงการทูต เป็นที่ปรึกษาทูตก็นั่งอยู่นี่ อาตมาไม่ได้เรียน วิชาทูตหรอก ไม่ได้เรียนจากตำรับ ตำรา รัฐศาสตร์อะไรหรอก แต่อาตมาเห็นว่าความจริงต้องเป็นอย่างนี้ ญาณอาตมาบอก เพราะฉะนั้นในพวกเรานี่จะไปเป็นทูต ก็จะเป็นทูตที่ดี จะไม่เป็นทูต ในลักษณะ อย่างนั้นนะ ในลักษณะที่ไปเป็นไส้ศึก เป็นผู้ที่จะจ้องหาทางเอาเปรียบเอารัด มาให้แก่ประเทศกู ต้องใช้ภาษาอย่างนี้ ถึงจะถึงใจ ไม่เอาหรอก เราไปเป็นทูต เพื่อจะไปช่วยประเทศนั้น ถ้าเรายังไม่มี เราอย่าเพิ่งไปเลย คุณมาเป็นทูตในประเทศเรา เรารับ แต่ว่าเราไม่ไปเป็นทูตในประเทศคุณหรอก ถ้าเรายังไม่มีฐานะพอ จะช่วยคุณได้ เราเองต้องช่วยอะไรคุณได้จึงจะไปเป็นทูต

คนที่ไปเป็นทูตประเทศไหนๆ จะต้องเอาทุนของตัวเองไปสร้างนะ ไปสร้างที่อยู่ ต้องใช้เงิน ตัวเอง ไม่ใช่ ไปใช้เงินของประเทศเขานะ ทูตนี่จะต้องใช้ค่าใช้จ่าย ของประเทศของตนนะ ไปเป็นทูตนี่จะต้อง ช่วยตนเองได้แล้วก่อน และจะต้องช่วยผู้อื่น แม้แต่ทูตการค้า เราจะไปค้าไปขาย เราก็จะไปขาย ให้ประเทศ ที่สมควรจะขายให้ ประเทศนี้มีพออยู่พอกิน ไม่ต้องขายให้หรอก สินค้าของเราดี ของของเรา ขายถูก ประเทศนี้มีพอ ประเทศนี้ ต่างหากที่ขาดแคลน ประเทศนี้ต่างหากควรให้ หรือ ควรขายให้อย่างถูก เพราะเขาจน เพราะเขาเดือดร้อน เพราะเขาช่วยตัวเองไม่ได้ เราจะเกื้อกูลเขา ถ้าเข้าใจ อย่างนี้ ทั่วโลกไม่มีประเทศไหนขาดแคลน ถ้าการทูตสมบูรณ์และถูกต้องโดยธรรม อย่างนี้นะ ไม่ขาดแคลน

แต่ทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ซับซ้อนซ่อนเชิงกัน ทูตนี่สารพัดที่จะต้องดีดยี่ต๊อก อาตมาว่า มันเมื่อยนะ อย่างนั้นมันไม่จริงใจ แล้วมันเมื่อยๆ มันซับซ้อน แต่ถ้าตรงๆ ซื่อตรง มันไม่เมื่อย ไม่ซับซ้อน มีความจริงใจ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ช่วยเหลือกัน แล้วก็จะเป็นมิตรภาพ กันทั่วโลก ไม่ต้องไปร้องหาสันติภาพ ไปตั้งสหประชาชาติ ยิ่งซับซ้อนอยู่ในสหประชาชาติ นั่นแหละ เป็นทางกอบโกยลาภ ยศ สรรเสริญ หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรซ้อนเชิงลงไปอีก แล้วก็เป็นเสือกระดาษ ไม่เข้าท่า พอเอาเข้าจริงแล้ว ประเทศไหน ไม่ยอม ก็ทำอะไรไม่ได้ เซ็นสัญญากันอย่างไร ก็สัญญากระดาษ เขาเลยเรียก เสือกระดาษ สัญญาเปล่า ทำอะไรไม่ได้ ฆ่าแกงกันก็ไม่ลง หนักเข้า อะไรให้เกิดก็ต้องเกิด สงครามจะต้องเกิด สหประชาชาติ ก็ทำอะไรไม่ได้ พูดไปแล้ว เดี๋ยวสหประชาชาติหาว่าอาตมาดูถูกเสียอีก

วิธีการทางโลกเขาก็ต้องใช้อย่างนั้น เขาไม่ได้เก่งกว่านั้น ถ้าเป็นสัจธรรม ทำถูกสัจธรรมแล้ว สิ่งเฟ้อเกิน อย่างนั้นจะไม่เกิด สหประชาชาติได้เงินจากสมาชิกทั่วโลก มีเงินเยอะ ก็ไปผลาญกัน เลขาธิการ สหประชาชาติ เงินเดือนตั้งเท่าไหร่ ไปไหนก็ฟรีด้วย ค่าเรือบินค่าโน่นค่านี่ได้ฟรีหมด ไม่รู้กินอะไร กันนักกันหนา แล้วใช้ไม่หมดหรอกนะ นี่คืออัตราความเอาเปรียบ

ผู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งจะต้องไม่มีเงินเดือน ผู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งจะต้องเงินเดือนน้อย ผู้น้อยยิ่งต้อง มีเงินเดือนมาก เพราะว่าช่วยตนไม่ได้ สมรรถภาพน้อย ต้องให้เงินมากหน่อย ผู้ที่ยิ่งเก่งยิ่งสามารถ ให้เงินน้อยหน่อย ยิ่งมีความสามารถทำงานกับประชาชนมากมาย มีคนนับถือ ไปไหนก็ได้กิน แล้วจะมีเงินทำไม ไปไหน เขาก็รับส่ง ให้กินให้อยู่ เพราะเรา มีคุณธรรม ความดี ไปไหนเขาก็ต้อนรับ เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ ควรได้ของคำนับ เป็นปาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ที่ควรแก่การต้อนรับ ไปไหนก็ควรได้รับของทาน ไปไหน เขาก็ต้องให้ด้วยสุจริตใจ ยิ่งให้เรายิ่งไม่เอา เรายิ่งหอบคืนเขา

ถ้าเขาขาดแคลนอยู่ เราจะหอบเขามาทำไม ถ้าเขาร่ำรวย เอา เราเอามา จะได้เอาไปแบ่ง ให้ส่วนที่ ขาดแคลน อย่างนี้เป็นผู้มีคุณธรรมจริง เป็นอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยยบุคคล ทักขิเณยยบุคคล ที่แท้จริง สัจธรรมพวกนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ละเอียดหมดแล้ว แล้วเป็นให้ถึง เป็นให้จริง ถ้าเป็นจริงแล้ว รับรองเลย สังคมนี้แก้ปัญหาตก

พวกเราแต่น้อยนี่แหละ รับฟังธรรมแล้วก็ศึกษาอบรมตนฝึกฝนให้ได้ ให้เป็น อาตมามั่นใจ มากยิ่งขึ้น ทุกวันเลยว่า สัจจะนี้มีของจริง สัจจะนี้พวกเราเป็นได้ ในยุคกาลนี้ อกาลิโก ไม่จำกัดกาล ท้าทาย ให้มาพิสูจน์ พวกคุณก็มากันแล้ว ได้มากน้อยบ้างก็ตาม เราได้คนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจตัวเองตก เป็นผู้ที่รู้จักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์เราก็ใช้กันอย่างแข็งขัน เราใช้ความรู้ ที่โลกเขามี เราไม่ได้บกพร่องอะไร ยิ่งครุศาสตร์ยิ่งเยอะ เป็นครุศาสตร์ หรือว่าศึกษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ แต่แท้จริง ออกมาเป็นครูทั้งนั้น เยอะแยะไป แล้วเรามีจริง เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นปุโรหิต ครูคือ ผู้ที่มีสิ่งดีนี้จริง เราจะต้องได้ก่อน แล้วสอนเขา สรุปง่ายๆ เราเป็นก่อนแล้วสอนเขา เราสละ ให้ได้ก่อน แล้วสอนให้เขาสละตาม ถ้าคนเราสละแล้ว ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร โลกนี้ไม่ร่อยหรอ มันไม่พร่อง ขนาดนี้หรอก ต้นหมากรากไม้ก็จะอุดมสมบูรณ์ ดินน้ำไฟลมก็สังเคราะห์ตัวมันอยู่อย่างดี คนจะมี มากกว่านี้ก็ได้

ทุกวันนี้คนคนหนึ่งผลาญตั้งเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คนหนึ่งสร้างน้อยกว่าผลาญ ถ้าคน แต่ละคนสร้าง มากกว่าผลาญ โลกจะพร่องอะไร ดิน น้ำ ไฟ ลม วัตถุแท่งก้อน ทรัพยากรจะไปพร่องอะไร นี่พร่อง หมดแล้วนี่ คนหนึ่งทำลายมากกว่าสร้างสรร มันไม่ใช่ลูกพระเจ้า ไม่ใช่ลูกพระผู้สร้าง เป็นลูกพระ ผู้ทำลาย ไม่ใช่ลูกพระด้วย ลูกไอ้ตัวทำลาย แหม! ไปเรียกให้เกียรติว่าเป็นพระ พระผู้ทำลาย มันเป็น ไอ้ตัวทำลาย ไม่ใช่เป็นพระผู้สร้าง พวกเราต้องมาเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระผู้สร้าง เป็นผู้ที่สร้าง มากกว่า ทำลาย มาเป็นคนมักน้อยสันโดษ สร้างสรร ขยันหมั่นเพียร อุตสาหะวิริยะ เราเอง จะกอบกู้โลก ให้อุดม สมบูรณ์ขึ้นมา ทรัพยากรจะกลับคืนมา ดินน้ำไฟลมจะเข้าที่ ฤดูกาล ก็จะเป็นไปตามเดิม ไม่ใช่อะไร ก็แปรปรวนไปหมดเลย ฤดูกาลเปลี่ยน ทุพภิกขภัยก็เกิด เกิดวาตภัย อุทกภัย ภัยอะไร ก็เกิดหมดแหละ มันกระเทือนไปหมด ถึงระบบฤดูกาล นานาสารพัด เพราะความเห็นแก่ตัว และ ความโลภ เป็นเหตุ

พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วว่า มนุษย์เราเกิดมาแล้ว ตรงนี้นี่แหละเหตุใหญ่แห่งความไม่เป็นอยู่สุข เมื่อเรา ทำได้แล้ว จะค้นพบความเที่ยงก็ได้ คือค้นพบความไม่มีกิเลสอันสัมบูรณ์ในความเที่ยง กิเลสไม่มี ให้สัมบูรณ์บริบูรณ์เลย ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดาในกิเลส ถ้ายิ่งกิเลสหมดแล้ว ยิ่งเป็นพระอาริยะ ที่มีพลังงาน มีการสร้างสรร เป็นลูกพระเจ้าที่มีคุณค่าประโยชน์ในโลกในสังคม ไม่ใช่กิเลสหมด เป็นผู้สงบแล้ว ก็เลยทำอะไรก็ไม่ได้ นั่งสงบ ไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ อะไร ฉันก็ไม่ต้องการ ไม่ทำอะไร นั่งสงบนิ่งอยู่นั้นนะ อย่างนั้นมันไม่จริง พระพุทธเจ้า ค้นพบแล้วว่า อันนั้นไม่ใช่ทาง อันประเสริฐ ท่านถึงได้ค้นพบของท่าน ของผู้ประเสริฐ ที่เป็นพระพุทธเจ้าตั้งแต่ปางบรรพ์มา มหายาน เขาบอกว่า พระพุทธเจ้านี่ เกิดมาแล้ว จำนวนเท่ากับเม็ดกรวดเม็ดทรายในมหานที คุณไปนับเม็ดกรวด เม็ดทรายซิ มีกี่เม็ด พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วมากเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านก็รับถ่ายทอดธรรมะ อันมีมา นานกาลนี้ สายพระพุทธเจ้านี้เท่านั้นแหละสัมบูรณ์ พูดแล้วยิ่งใหญ่นะ สายพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา เท่านั้นแหละ สัมบูรณ์และเป็นไปได้

อาตมายังไม่ตาย แม้จะแก่จนผมขาวมากแล้ว ความแก่ความเจ็บยังไม่รู้นี่ คนก็ห่วงว่า จะลงสมอง จะลงตา ตาจะบอด ไวรัสจะลงสมอง ตอนนี้มันใกล้สมอง เหลือเกิน พันตำรวจเอกกฤษณ์บอก ผมห่วงท่าน นี่ถ้าลงสมองละแย่เลย เอ้า! มันลงก็ลง มันติดกะโหลกอยู่หรอก ยังไม่ลงสมองง่ายนัก ก็รักษาอยู่ มันจะลงตา ตอนนี้ตา ก็หายไปแล้ว หมอพจน์บอกว่าห่วงตา ตาจะบอด เวลานี้ก็รู้สึกว่า ตาจะคลายไป คุณกฤษณ์ก็มาห่วง จะลงสมองเสียอีก สมองก็รู้สึกว่าคงจะไม่เป็นไรมั้ง เพราะว่า มีกะโหลกกันอยู่ มันต้องลงกระดูก ก่อนสมอง ลงกระดูกกะโหลกก่อน ก็เลยเปลี่ยนกะโหลก กันเสียที ความเจ็บความแก่มาก็ตาม อาตมา จะไม่หยุดยั้ง เพราะว่าเกิดเป็นคนอย่างอาตมา เลือดโพธิสัตว์นี่ ไม่มีงานอื่น ขอให้พวกคุณรู้

แม้คุณไม่เป็นโพธิสัตว์ก็ตาม คุณก็ต้องพยายามเรียนรู้ของตนเองก่อน เป็นขั้นตอน ละกิเลสอันนี้ อันเดียวตรงกัน โพธิสัตว์ก็ดี หรืออรหัตตภูมิก็ตาม ที่จะเอาความเป็น พระอรหันต์กันให้ได้ก่อนก็ตาม อันเดียวกัน ทำงานทฤษฎีพระพุทธเจ้า สร้างสรรความคิด การงาน วาจา ต่างๆนานา ทำไปพร้อมกับ การทำงาน พยายามเรียนรู้มรรคองค์ ๘ หรือ ทฤษฎีโพธิปักขิยธรรม ที่อาตมาพยายามยืนหยัด ยืนยัน อธิบาย ไม่ง่าย อาตมา ก็รู้ว่ามันไม่ง่าย กว่าจะเป็นได้ลงตัว ถูกต้อง ไม่ง่าย เราได้แต่ตนแล้ว มันขี้มัก จะติดแป้น เราได้พออยู่พอกินแล้ว สบายกันพอสมควรแล้ว อย่ามางอมืองอเท้า ขวนขวายอุตสาหะ ขึ้นมาให้เห็นหน่อยเถอะ ก็มีนะ พวกเราเข้าใจมากขึ้น ดีขึ้น ส่วนพวกที่ยังหลบๆเลี่ยงๆอยู่ ก็รู้ตัว พยายามช่วยตนช่วยท่าน มันยังไม่ถึงที่สุดได้ง่ายๆ ถ้าเราขวนขวายเพิ่มขึ้นอีก เราจะถึงที่สุด อาตมา จะต้องดันพวกเรา พิสูจน์ได้ แล้วคุณจะได้พบพระอรหันต์ กันจริงบ้าง ยังไม่มีตัวอย่างกี่คนกันเลย

จริตต่างกันนะแต่ละคนแต่ละองค์ ถ้าสมมุติอาตมาเป็นพระอรหันต์ จริตของอาตมา ก็จะอย่างนี้ พระอรหันต์บางองค์สงบเสงี่ยม ไม่เหมือนอาตมาหรอกนะ พระอัสสชิ อย่างนี้เป็นพระอรหันต์ที่สงบ พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ที่วูบวาบหวือหวา พระสารีบุตรก็ต้องศรัทธาพระอัสสชิ ท่านสงบเสงี่ยม ดีนะ ประโยชน์ของ ความสงบเสงี่ยม ก็ได้คนละด้าน หวือหวาก็ได้ประโยชน์อย่างหวือหวา เพราะฉะนั้น มีพระอรหันต์หลายๆรูปต่างจริตกันไป คุณจะได้เข้าใจพระอรหันต์ อ๋อ! อย่างนี้น่ะหรือ พระอรหันต์ อรหันต์ แบบนี้ก็มี แบบนี้ๆๆๆ ก็มีอ้อ! สุดวิสัยก็อีกเรื่องหนึ่ง ทำได้แค่นี้ โดยไม่เจตนา ไม่ได้ให้ผิดนะ มันผิดไปโดยอาตมามีภูมิเท่านี้ ช่วยไม่ได้นะ จับอาตมาก็ไม่ได้ เอาอาตมาไปลงโทษก็ตายเปล่า เพราะว่า อาตมาไม่ได้มีเจตนา ที่จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ และพยายามที่สุด ไม่ประมาท ประมาทก็เป็นทาง แห่งความตาย ก็ค่อยๆแนะนำกันไป

สรุปว่า เราจะต้องเข้าใจความไม่เที่ยงให้ถูกเหลี่ยมถูกทิศชัดๆ ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล จะช่วยให้เรา ไม่ติดแป้น จะต้องพยายามสร้างมิตร สร้างเพื่อน สร้างฝูง ต้องขวนขวาย ต้องอุตสาหะ วิริยะ เห็นใจผู้อื่น มีน้ำใจกับผู้อื่น ไม่ใช่จะตัดก็ตัด จะวางก็วาง ช่างเขาเถอะๆ ฉันถูกแล้ว ฉันดีแล้ว ฉันพอแล้ว ฉันทำดีแล้ว คุณไม่เอาช่างคุณ พวกนี้ขอบ้าง ขอเสียทีเถอะ พอ อย่าทำอย่างนั้นมากไปเลย พยายาม ขวนขวายบ้าง ส่วนผู้ขวนขวายมากไป ยัดเยียดเขาเกินการ ก็ระวังอีกเหมือนกัน ถูกชกถูกต่อย ปากเจ่อมา อาตมาไม่ใส่ยาแดงให้นะ ไปบุกรุกเขามากเกินไป ยัดเยียดเขามากเกินไป ก็ระวัง มันมีสุดโต่ง ๒ ด้านอีกเหมือนกัน

อันใดขาด เราพยายามเพิ่ม เราไม่ขวนขวายเท่าที่ควร ไม่สร้างบุญกิริยาวัตถุ เวยยาวัจมัย กลายเป็น คนดูดาย กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัว เอาแต่เสวยภูมิของตัวเอง ขวนขวาย อีกหน่อย อุตสาหะอีกหน่อย ก็ไม่ทำ พยายาม พยายาม เราต้องบูรณะ ส่วนดีสิ่งดี ถ้าแน่ใจว่านี่เป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐ ต้องช่วย ต้องบูรณะ อุตสาหะวิริยะเพิ่มขึ้น ถ้าไม่เช่นนั้น เราไม่เจริญกว่านี้ ประโยชน์ตนไม่ใช่จบง่ายๆ คนที่รู้อยู่ว่า ประโยชน์ตน ยังมีอีก อย่าพร่าประโยชน์ตน ฟังแล้วมันจะค้านแย้งอีก อย่าพร่าประโยชน์ตน เพราะประโยชน์ผู้อื่น แม้มาก อันนั้นก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คุณดูแลผู้อื่น ไม่เอาใจใส่ผู้อื่น ไม่ขวนขวายกับผู้อื่น จะต้องประมาณ จะต้องรู้กาลเทศะ รู้ตัวเราเองว่า เราพอจะช่วยเขาได้หรือไม่ ถ้าช่วยเขาได้ เอา พยายามขวนขวายหน่อย ไม่เช่นนั้นสมรรถนะเราก็ลดและการเจริญเชื่อมต่อไปก็ไม่มี ตัวเราเอง ก็จะไม่รู้ว่า มีอะไรอีกบ้างที่จะต้องขัดเกลา บางทีเรากระทำกับคนนี้ คนนี้จะให้บทเรียนแก่เรา เราจะได้รู้ว่า กิเลสอะไรของเราเหลือ จริตของแต่ละบุคคลที่จะได้สัมพันธ์กัน ที่จะโต้ตอบแก่กัน และกันนี่ เป็นโจทย์ เป็นอุปกรณ์ที่จะทำให้เราได้รู้กิเลสของเรา และละกิเลสของเราอีกไม่ใช่น้อยเลย โจทย์จากคนอื่นนี่แหละ กระแทกกิเลสลึกๆ ของเราออกมาได้ดียิ่งนัก ตราบเท่าที่กิเลสาสวะของเรา ยังไม่ดับสิ้นเป็นอนัตตา-สุญญตาอย่างเที่ยงแท้

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ -