สิบห้านาทีกับพ่อท่าน - ทีม สมอ. -

ขยะทองฉลอง ๗๒ ปี


นานมาแล้ว มีผู้เตือนว่า "ขยะล้นอยู่เป็นนิตย์ บัดนี้เธอคิดทำอะไร"

แต่วันนั้นเสียงนี้แผ่วเบาเกินกว่าจะสะกิดจิตสำนึกใครบางคนได้ ขยะจึงหมักหมมเพิ่มขึ้นๆ และถ้าวันนี้ ทุกฝ่ายยังไม่ลุกขึ้น คิดทำอะไร รอจนสักวัน ได้สำนึกอาจสายเกินกว่าจะเตรียมรับมือ

จากบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เรื่อง ขยะเอ๋ย จนถึงดำริควรมีการเรียนการสอน วิชา ขยะวิทยาในโรงเรียน และ คณะขยะวิทยา ในมหาวิทยาลัย ด้วยเห็นความสำคัญอย่างยิ่ง และด้วยวิสัยทัศน์ ที่ก้าวไกล......


ถาม พ่อท่านพูดเรื่อง ๓ อาชีพกู้ชาติ ซึ่งมีกสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด และขยะวิทยามาเกือบ ๒๐ กว่าปีแล้ว พ่อท่านเห็น ความสำคัญอย่างไร?

ตอบ ความสำคัญของเรื่องขยะ มันสาธยายไม่หมดหรอก อาตมาเขียนเป็นบทนำ ลงพิมพ์ซ้ำซาก อยู่เป็นปี หลายปี ในหนังสือ แสงสูญ เตือนสังคมเกี่ยวกับเนื้อหาของขยะ คือ ของทิ้ง และสิ่งที่ทิ้ง โดยถ้าใครไม่ทิ้ง ก็จะเกิด การหมักหมม ซึ่งสำนวน ในพระไตรปิฎกเรียกว่า เกิดการหมักหมมเน่าใน และเกิดเป็นพิษ โดยเฉพาะ อาตมาเข้าใจในเรื่องคุณธรรม ที่เป็นปรมัตถ์ เข้าใจในเรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่มีกิเลส มีขยะ มีสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม อกุศลต่างๆหมักหมมเน่าใน ทุจริต ปิดบัง โกหก ซับซ้อน มันยิ่งทำให้หมักหมมเน่าใน กิเลสจึงเป็นขยะ ที่เลวร้ายอันเป็นขยะขนาดละเอียด ซึ่งอาตมาเข้าใจ แล้วก็มองออกมา ที่ขยะข้างนอก ทำให้เข้าใจได้ดีว่า อนาคตคนจะสร้างขยะมากขึ้น เราเห็นอยู่แล้วมันมีเปลือก มันมีสิ่งห่อหุ้ม ปรุงแต่ง มีสิ่งที่ จะเป็นเศษ เป็นกาก มากเหลือเกิน หรือแม้แต่ที่ทิ้งขว้างก็เยอะ เมื่อคนเยอะขึ้น กินใช้เยอะขึ้น เศษกากจาก สิ่งที่กินใช้ สิ่งที่บริโภค อุปโภคมันจะทับถมอีกมากมาย และในส่วนต่างๆเหล่านี้ วิเคราะห์วิจารณ์ว่า มีส่วนที่เป็นขยะ ซึ่งแบ่ง ออกได้เป็น ๑. คนมือห่างตีนห่าง สุรุ่ยสุร่าย ทิ้งขว้าง ของไม่น่าทิ้งก็ทิ้ง อันนี้ก็เป็นขยะ ซึ่งมันไม่น่า จะเป็นขยะ ยังน่าจะใช้ได้ ซึ่งเขาเรียกว่า เอามาใช้ใหม่ได้หรือ re-use เอามาทำอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็นำกลับมาใช้ใหม่ได้แล้ว หรือบางอย่างอาจจะชำรุด ก็ซ่อมแซมได้ หรือเรียกว่า repair หรือบางอย่าง นำไป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แล้วนำมาใช้ประโยชน์ได้เรียกว่า recycle เอามา หมุนเวียนกลับ มาใช้ในรูปใหม่ สภาพใหม่ ซึ่งอาจจะลดคุณภาพลงไปบ้าง หรืออาจเป็นสภาพดีขึ้นกว่าเก่ายังได้เลย recycle บางทีดีกว่า ที่ใช้อยู่เดิม ด้วยซ้ำไป แล้วแต่ความสามารถของผู้ที่ recycle ส่วนที่ใช้ไม่ได้ต้องทิ้งจริงๆก็ทิ้งไป หรือที่เรียกว่า Reject อย่างนี้ เป็นต้น

ขยะพวกที่ Re-use repair recycle reject อะไรพวกนี้ อาตมาก็เห็นว่ามันมีแท้จริง ก็เข้าใจ ก็รู้อยู่อย่างนี้ และ เห็นว่า น่าจะต้อง เล่าเรียนกัน อาตมามองเห็นว่ามันน่าจะมีมหาวิทยาลัยที่ตั้งคณะขยะวิทยาขึ้นมาด้วยซ้ำ เพราะเป็น เรื่องจำเป็น ของสังคม

คนยิ่งเยอะก็ยิ่งจำเป็นต้องมีวัตถุดิบทั้งปรุงแต่ง ทั้งผลิตใหม่ ทั้งสังเคราะห์ขึ้นมา อะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของวัตถุ ต่างๆเหล่านี้ มันจำเป็นที่จะต้องหมุนเวียนนำไปใช้ประโยชน์ จะต้องแปรรูป หรือแม้แต่ นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือซ่อมแซมใช้ ก็จำเป็นทั้งนั้น แต่ก็ไม่ค่อยจะมีคนสอนให้เป็นระบบกัน ยิ่งไม่เป็นวิชาการ อย่างดีๆ อาตมาก็เห็นว่าทำไมคนไม่คิดถึงเรื่องนี้ น่าจะมีอยู่ทั่วโลก ไม่ใช่มีแค่เฉพาะในเมืองไทยด้วยซ้ำ ที่จริง ในเมือง ในกรุงเรายิ่งเยอะ ยิ่งบอกว่าเจริญยิ่งมีขยะเยอะ เพราะว่า ใช้เยอะ สุรุ่ยสุร่ายเยอะ เพราะฉะนั้น ก็สูญเสียเยอะ

เมื่อสูญเสียเยอะมันก็แน่นอนวัตถุดิบ ทรัพยากรโลกมันก็ไม่พอใช้ เพราะมันก็ต้องร่อยหรอลง คนต้อง กระเบียด กระเสียร แย่งชิงกันมากขึ้น ความทุกข์จะเกิดขึ้นในโลกมากเลย นี้คือ จุดที่อาตมาเห็นมา ตั้งแต่ก่อนๆ แล้ว พยายามพูดอยู่ แต่อาตมาเอง ทำงานหลายด้าน ด้านนี้ก็พยายามบอกกันอยู่ แต่พวกเรา ก็ยังไม่เห็นความสำคัญ เท่าที่ควร อีกอย่างหนึ่งก็คือขยะ นี่คนมัน รังเกียจ มันเหม็น มันเน่า มันเป็นของ ทิ้งขว้าง ก็รู้ๆอยู่แล้ว ขยะคนก็เข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมอะไร เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง น่าเกลียด คนก็เลยมองว่าเป็นของชั้นต่ำ มองเป็นของระดับต่ำ จึงไม่ค่อยอยากทำ แม้จะเป็นคนจน คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีทองแท้ๆยังมีความรู้สึกเดียวกัน ไม่ยินดีที่จะไปเกี่ยวข้อง ไปแตะต้อง ไปจัดการ มันก็เลยกลาย เป็นเรื่อง เสียหาย ถ้ามองในแง่ของสัจธรรม มองในแง่ดีมานด์ ซัพพลาย มองในแง่ของ ความจำเป็น หรือมีความต้องการ ให้มาจัดการ กับสิ่งเหล่านี้ ก็จะเห็นว่านี่เป็นอุปสงค์หรือดีมานด์ของสังคม เพราะถ้า ไม่มีคนมาจัดการ กับสิ่งเหล่านี้ แน่นอนสิ่งที่จะเป็นขยะ มันจะเกิดพอกพูน เพิ่มทับทวีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนทำลายไม่หมด และสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสิ่งหมักหมม เป็นพิษเป็นภัย ขึ้นมาแน่นอน

อาตมาว่าสักวันหนึ่งในโอกาสข้างหน้าจะเกิดพิษภัย จะเกิดโรคระบาด เกิดอะไรๆจากขยะ หรือเกิด ความสูญเสีย จากเหตุ ของขยะแน่นอนในอนาคตถ้าคนเราไม่จัดการเรื่องนี้ตั้งแต่บัดนี้ ขณะนี้ แม้แต่พวกเราเอง ที่อาตมาพาทำ ก็ยังไม่เข้าไป ถึงจิตถึงใจ ยังไม่ยินดีที่จะทำ ยังไม่เต็มใจ ยังไม่รู้คุณค่าว่า ควรจะจัดการ กับเรื่องนี้ ขนาดละกิเลสความรังเกียจ ความไม่ติด ยึด ความไม่ยึดถืออะไรลงไปเยอะแล้ว ก็ยังยากเลย เพราะฉะนั้นคนข้างนอกยิ่งไม่ต้องพูดเลย ถ้าเขาไม่ได้เงิน ไม่ได้สิ่งที่ ตอบแทนเขาก็ไม่อยาก ทำหรอก ในโลก แต่ถ้าในทางธรรม คนทางธรรมซึ่งละลดกิเลสลงไปแล้ว ไม่ติด ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ความรังเกียจ ก็ลดลงไปก็น่าจะเป็นไปได้ ชาวธรรมะน่าจะเป็นตัวหลักที่จะต้องทำสิ่งเหล่านี้ แต่อาตมาก็ไม่ใช่ นักบังคับคน ก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร ก็ได้แต่พูดได้แต่เตือนกันไป พยายามปลุกเร้ากันไป ให้ความรู้กันไป ถ้าใครจะเกิดจิต เกิดใจยินดี เต็มใจที่จะเข้ามามุ่งมั่นจัดการเรื่องเหล่านี้ก็คงจะเป็นบุญของโลกเป็นบุญของสังคม ซึ่งก็หวังว่า น่าจะมีขึ้นได้


ถาม โครงการ "ขยะทองฉลอง ๗๒ ปี" พ่อท่านคิดว่าถ้าชาวอโศกมารณรงค์เรื่องขยะกันทุกๆชุมชน จะก่อให้เกิด ประโยชน์ ในด้านใดบ้าง?

ตอบ โอ้โฮ วิเศษเลย ถ้ารณรงค์ได้จะด้วยวิธีระดมพล รวมแรงรวมใจกันเพื่อที่จะมาปฏิบัติกิจนี้ เอาเรื่องนี้ มาพัฒนา และก็พยายาม ทำให้มันเป็นผล เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ให้เป็น กิจจะลักษณะก็วิเศษ วิเศษแน่ๆเลย ขอสนับสนุนอย่างยิ่ง ก็หวังใจว่าจะเป็นของขวัญอันวิเศษยิ่ง สำหรับ อาตมาเหมือนกัน




ถาม โลกวิกฤติเกือบทุกด้าน แต่ชาวอโศกมาทำกันเฉพาะกลุ่มเล็กๆของตัวเอง มันจะพอช่วยโลกได้ทันหรือไม่

ตอบ คำว่า "ทัน" อาตมารู้คำตอบตั้งแต่นานแล้วว่ามันไม่ทันหรอก มันจะต้องเกิดกลียุค จะไปช่วยโลก ไม่ให้เกิด วิกฤติ ไม่ให้เกิด ไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลก ไม่ให้เกิดล่มสลาย หรือไม่ให้เกิด สิ่งที่เลวร้าย แก่มวลมนุษยชาติ มันห้ามไม่อยู่หรอก ไม่มีใครห้ามได้ อาตมารู้มานานแล้ว แต่อาตมาทำนี่ เพื่อเพิ่มส่วนที่ดี ให้มัน ช่วยผู้คนส่วนหนึ่ง ซึ่งแทนที่จะถูกไฟบรรลัยกัลป์ กินไปต้องตาย อย่างน่าเวทนา ต้องรับทุกข์ รับภัย จากไฟบรรลัยกัลป์ ซึ่งเป็นภาษาศัพท์ที่ใช้แทนความวินาศสันตะโร ในอนาคต โดยมันบอกไม่ได้ว่า จะเกิดอะไรกันบ้าง อาตมาว่ามันจะมากเรื่องเลย ทั้งมนุษย์ทำ ทั้งธรรมชาติเกิดการวิปริตด้วย มันจะเป็น จริงๆเลย เพราะฉะนั้น อาตมาก็เพียงแต่ทำหน้าที่ช่วยคนที่เห็นด้วย คนใดเห็นดีก็พยายามพัฒนา ตัวเอง แก้กรรม แก้วิบาก มันก็จะช่วยตัวเองขึ้นมาได้ ถ้าใครมาปฏิบัติ มาประพฤติ มาสั่งสมส่วนที่เป็น กุศลวิบาก ให้แก่ตนเอง ก็จะช่วยตัวเองได้ เมื่อช่วยตัวเองขึ้นมาแต่ละคนๆ มากคนเข้าก็เป็นมวลเป็นสังคม เป็นกลุ่มมนุษย์ ที่จะมีแรงซับซ้อนขึ้นมา มีพัฒนาการ เป็นกลุ่มก้อน เป็นคณะที่จะไปช่วยมนุษย์ ในสังคม ในโลกอื่นๆ ต่อไปๆ เพิ่มขึ้นๆไปเป็นปฏิภาคทวี ทำสุดแรง ทำสุด ความสามารถ สุดความตั้งใจเท่านั้น และมันก็จะเกิดผล ช่วยรื้อขนสัตว์ ช่วยสัตว์มนุษย์โลกเพิ่มขึ้นได้เท่านั้นเอง

แต่ถึงอย่างไรอัตราของความเสื่อมที่วิ่งไปหาไฟบรรลัยกัลป์ กับอัตราของความดีหรือความเจริญ หรือ ความที่ไม่ตกไป ในความเลวร้ายนั้น ที่อาตมาทำอยู่นี้อัตราผลได้ที่อาตมาทำ กับอัตราคนที่ช่วยกันละเลง ช่วยกัน ระดม ช่วยกันถล่มทลาย ให้ไปสู่ความเสื่อมความฉิบหาย หรือความเป็นไฟบรรลัยกัลป์ อัตราทางโน้น ก้าวหน้าไป มากมาย อาตมาไล่ตามไม่ทัน ถึงอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน แต่อัตราการก้าวหน้าของอาตมา ที่ทำอยู่นี้ ก็มีปฏิภาคทวี เหมือนกัน แต่ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น ที่ถามมา แต่ต้นว่า จะช่วยโลกได้ทันไหม มันไม่ทันแน่ๆอยู่แล้ว มันได้เท่านั้นเอง แม้พยายามอย่างยิ่ง ก็ได้เพิ่ม ขึ้นมา เท่านั้นเอง เท่าไรก็เท่านั้น เราไม่ได้ไปกะเกณฑ์ ไม่มีความรู้ความสามารถ จะไปพยากรณ์ คำนวณเอาได้หรอก




ถาม ความหมายที่ว่าธรรมะชนะอธรรม

ตอบ คำนี้เป็นสัจจะ สัจจะคือชนะอย่างที่บอกว่า เอาละคนที่เป็นอธรรมแน่นอน ใครจะมุ่งแต่ในทางอธรรม ก็จะถูกไฟ บรรลัยกัลป์ไหม้ ก็ตาย ก็พินาศ มันก็แพ้แล้วไง ส่วนคนที่เป็นฝ่ายธรรมะจะไม่ต้องไปตก สู่ความพินาศ ก็ชนะแล้วไง สัจธรรมก็ชนะ อย่างนี้ ส่วนคนที่ไม่เป็นสัจธรรม เป็นอสัจธรรม ก็จะถูกความพินาศ กินตัวไป มันเป็นของที่ห้ามไม่ได้ มันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น ใครอยากจะทำอย่างนั้นอยู่ ก็ได้อย่างนั้น สัจธรรม ก็ได้สัจธรรม อสัจธรรมก็ได้อสัจธรรม ใครทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น


ถาม อัตราความเลวร้ายที่เพิ่มขึ้นคือความพ่ายแพ้ของอธรรม

ตอบ ใช่ อธรรมมันมาก แม้เราพยายามจะพูด พยายามจะอธิบาย พยายามจะชี้ยืนยัน ๑. คนก็ไม่มีปัญญา จะเข้าใจ ๒. แม้มี ปัญญาเข้าใจแต่กิเลสของเขามันแรงมันมาก เขาก็ไม่เอาตาม เขาก็ไปทางโน้น ซึ่งมีปริมาณ มากกว่า ไม่สามารถสู้กันได้ มันต้านทานกันไม่ไหว


ถาม เมตตากับอัตตามีความต่างกันตรงไหน อย่างไร

ตอบ ถามเรื่องอัตตากับเมตตาที่จะแยกประเด็นในเนื้อแท้สาระของความหมายของเมตตากับอัตตา ว่ามัน มีประเด็น หรือมีจุดต่าง ตรงไหน แยกกันตรงไหน จุดต่างของเมตตากับอัตตาก็คือเมตตามันปรารถนาดี ที่จริง อัตตาในเชิงปรารถนาดีก็มี แต่เมตตา เป็นความปรารถนาดีที่ต้องการให้คนพ้นทุกข์ ให้คนพ้นตกต่ำ เมตตา เมื่อเห็นคนตกต่ำไปสู่ทุกข์ หรือเห็นคน ลำบากลำบนอะไร ก็มีใจต้องการช่วย คำว่าเมตตา มีใจเริ่มต้องการ และเป็นจุดเริ่มต้นของกรรมทั้งหลาย มโนปุพพังคมา ธัมมา แล้วจึงลงมือทำ พอลงมือทำด้วยกายด้วยวาจา ก็เป็นกรุณา เมตตาจึงเริ่มต้นที่จิตด้วยการคิดช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ พ้นตกต่ำ กรุณาก็ลงมือช่วย มุทิตา ก็หมายความว่า ช่วยสำเร็จแล้วก็ยินดีในผลงาน ยินดีในสิ่งที่ดีแล้ว ได้แล้ว แล้วจึงอุเบกขา คือหยุดยึดถือ วาง ปล่อย เฉย ไม่ต้องไปยินดีในสิ่งที่ได้ดีแล้ว นี้เป็นพรหมวิหาร ๔ ที่จะต้องเข้าใจความหมาย แต่ทุกวันนี้ เขาอธิบายไม่ออกกัน อาตมาก็พยายามอธิบายอยู่ แต่เขาไม่ยอมฟังกัน

เมื่อเมตตาแล้วก็กรุณาลงมือช่วย แต่ทีนี้วิธีช่วยนี่แหละ มันจะเกิดอัตตาเพราะจิตของเราไม่ประมาณ หรือ ประมาณตน ประมาณกรรมไม่เป็น กรรมแรงไป กรรมมากไป วจีกรรมก็ดี กายกรรมก็ดี ที่กระทำ ออกไป เพื่อช่วยเขามันเกินขอบเขต มันไม่พอเหมาะ มันประมาณไม่พอดี ไม่มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ไม่ถูก โอกาสบ้าง ไม่ถูกกาละบ้าง ไม่ถูกสัดส่วน ที่ควรจะเป็นบ้าง เพราะไม่มีปัญญารู้ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา ไม่รู้องค์ประกอบ ไม่รู้เนื้อแท้ ธัมมัญญุตาก็คือ องค์ประกอบ ทั้งหมด อัตถัญญุตา คือเนื้อแท้ เนื้อจุดสำคัญ เมื่อไม่มีความรู้ในสัปปุริสธรรม เพราะฉะนั้นมัตตัญญุตาการประมาณจึงไม่พอ แม้จะเป็นความปรารถนาดี เช่น แม่ปรารถนาดีต่อลูก เห็นลูกไม่ดีก็พยายามเคี่ยวเข็ญ พยายามที่จะช่วยเหลือ ซึ่งการช่วยนั้น คือ เมตตา กรุณา แต่การประมาณไม่พอเหมาะพอดีต้องการทำได้ดั่งใจตนเองอย่างเดียว แรงไปบ้าง เกินไปบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง หรืออะไร ก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านั้นตัวเองไม่รู้ตัว มันจะเอาแต่ใจตัวเอง ถือดีตัวเองว่าเป็นแม่ อย่างนั้น ก็จะเกิดเป็นอัตตา เพราะฉะนั้น อัตตาก็คือสิ่งที่ตนเองทำไม่พอเหมาะพอดี เอาแต่ตามใจตัว ประมาณ ให้มันเหมาะสมไม่ได้ ถ้าช่วยอย่าง เหมาะสม ก็ได้ผลดี ได้สัดส่วนที่ดี ทำได้อย่างพอเหมาะพอดี เกิดประโยชน์ผลดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในความลึกละเอียด ของธรรมะแล้ว ถึงจะปรารถนาให้คนอื่นเขาได้ดี และ เราช่วยเขา ให้ได้ดีแล้วก็ตาม ถ้าเราไปยึดติดความได้ดีนั้น ยังไม่เกิด ครบสมบูรณ์ในพรหมวิหาร ๔ โดยไม่มี อุเบกขา ยินดีในสิ่งที่เขาได้ดี แล้วก็ติดยึดในสิ่งที่ตัวเองทำดีนั้นอีก ก็ยังเป็นอัตตา ที่ติดยึดทั้งนั้น ยังไม่ถึงขั้นการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึง อุเบกขา ซึ่งเป็นองค์ธรรมขั้นฌาน ๔ ถึงขั้นฐานนิพพาน อุเบกขา คือ ฐานนิพพาน ถ้าไม่ทำไปถึงขั้นนั้นก็จะกลายเป็นอัตตาทุกทีไป ซึ่งเป็นความลึกซึ้ง สรุปแล้ว ประเด็นของอัตตา กับเมตตา มันต่างกันตรงที่ว่า ต้องการช่วยคนอื่นให้ได้ดี เป็นเมตตา แต่ถ้าเอาแต่ใจตัว ไม่ประมาณ ความพอเหมาะพอดี หรือแม้แต่ ยึดผลดีของสิ่งที่ได้ดีนั้น ก็คืออัตตา และคนที่มีอัตตา ไม่ได้ดั่งใจก็จะทุกข์ มีผล คือทุกข์ อย่างแน่นอน แม้เขาจะยินดี ในสิ่งที่เขาทำดีได้แล้ว ไม่ทุกข์ เป็นสุข แต่สุขนั้นก็ยังเป็นอัตตา เป็นปรมาตมัน เป็น อาตมัน ซึ่งเมื่อยังยึดสุขอยู่ ก็ยังต้องมีทุกข์ แฝงอยู่อีก เพราะสุขทุกข์ เป็นของคู่กัน ถ้ายังมีสุข ก็ยังมีทุกข์ มันเป็นทวิลักษณ์ ที่ทำให้เหลือเพียงหนึ่ง อย่างถาวร หรือ สูญยังไม่ได้


ถาม คนที่ทำอย่างมีอัตตา ประมาณไม่เป็น ทำให้ผู้รับเป็นทุกข์ เดือดร้อน และคนทำก็ไม่รู้ตัว จะเกิดผลวิบาก อย่างไร

ตอบ เมื่อคนที่ได้รับการกระทำจากเรา เกิดความไม่ชอบใจเกิดความลำบาก เดือดร้อน ก็จะเป็นวิบาก ที่คนนั้น เขาอาจยึดถือ เขาอาจจะจองเวรจองกรรม เกิดความแค้นพยาบาท แต่ถ้าเขาไม่ถือสาอย่างลูกถูกพ่อแม่ดุ ด่า ก็ไม่ถือสา ให้อภัย มันก็อาจ ไม่เป็นวิบาก ไม่มีภัย แต่ถ้าเขาถือสาขึ้นมาก็มีภัย เป็นเวรานุเวรไป เพราะฉะนั้น เมตตา หรือ อัตตาอยู่ที่การประมาณ และการเรียนรู้ สาระของธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ ถ้าไม่มีปรมัตถ์ ไม่เรียนรู้ ปรมัตถ์ ก็ไม่รู้จักอัตตาหรอก คนในโลกจึงสร้างอัตตา อยู่ตลอดเวลา ทั้งโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา แล ะอรูปอัตตา ซึ่งเป็นตัวร้ายที่สุด เรื่องเมตตาคนสามัญก็มีได้ คนสามารถ จะมีเมตตาได้ทั่วไป แต่เรื่องอัตตา คนไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยรู้จัก ทั้งที่อยู่ในตัวเองมากมายและก็ทำอัตตา สร้างอัตตาให้ตัวเอง มากมาย ทั้งนี้ เพราะไม่เรียนรู้ อัตตา เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ตัวหรอก จะเกิดอัตตากันอย่างไร เมื่อไร อัตตาเกิดจากเหตุอะไร ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัว แต่เมตตายังพอรู้กันโดยปริยาย เพราะเมตตาเกิดง่ายมีกันได้ มีความปรารถนาดีต่อคนอื่น หวังให้คนอื่น พ้นทุกข์ พ้นเดือดร้อน พ้นลำบาก เป็นเมตตาทั้งนั้น เป็นอาการเบื้องต้นของจิตกุศล


ถาม คนที่มีอัตตามากแสดงว่ามีเมตตาน้อยเป็นปฏิภาคทวีกันใช่หรือไม่ ?

ตอบ เมตตากับอัตตาไม่เกี่ยวกัน มันเป็นคนละลักษณะ ถ้าจะพูดง่ายๆเลยเมตตาเป็นกุศลจิต อัตตาเป็น อกุศลจิต มันคนละ ตระกูลกันใช่ไหม อัตตาคือตัวเหตุแห่งทุกข์ ส่วนเมตตาเป็นเหตุแห่งสุข ล้างอัตตาหมด คนก็มีเมตตาได้ พระอรหันต์มีเมตตา มีพรหมวิหาร ๔ ไม่มีอัตตา


ถาม คนที่มีเมตตาเยอะ และในขณะเดียวกันก็มีอัตตาเยอะ คนคนนั้นจะเป็นอย่างไร

ตอบ คนมีเมตตาเยอะ อัตตาก็เยอะ นี่แรง ลำบาก เพราะอัตตาไปเสริมเมตตา อัตตาทำให้ไปเสริม ความแรง ทำได้ดีก็ดีนะ แต่มีอัตตามันไม่ค่อยรู้ตัว ทำอะไรมันจะเกิน มันจะเลย มันมากไป จะทุกข์ร้อน เพราะจะเอา ให้ได้ดั่งใจ แล้วก็ยึดมากอีก โอ้โฮ!! มันหนักนะอัตตาแบบนี้ คนรับก็งงๆไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เพราะเขา ก็แสดง ด้วยเมตตานะ แต่คนทำ คนที่มีเมตตา ก็ทำโดยที่ไม่รู้อัตตาตัวเอง ทำแล้วคนอื่นก็รับยาก



ความเมตตา คือ ความรู้สึกดีๆ ที่มอบให้แก่ทุกคน โดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกคนมีกรรม เป็นของตัวเอง และในโลกนี้ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวเลย
ความเมตตา ทำให้จิตใจเราสงบ ด้วยความเห็นใจ รอคอย และให้อภัย
ความเมตตา จึงเป็นบ่อเกิดของทุกกรรมดี ที่เรากระทำต่อผู้อื่น
ความเมตตา สอนให้เรารู้จักสัปปุริสธรรม โดยมีอัตตาในตัวเรา เป็นเครื่องตรวจสอบและชี้บอก

-สารอโศก อันดับ ๒๔๗ กันยายน ๒๕๔๘ -